หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ตำนานรักดอกทานตะวัน

โพสท์โดย wowticktock

ชาวกรีกและโรมันในยุคคลาสสิคมีเทพปกรณ์เกี่ยวกับเรื่อง ‘นางพราย’ (water nymph/ Oceanids) ที่ไปหลงรัก ‘ดวงอาทิตย์’ ก็เลยต้องกลายร่างเป็น ‘ดอกไม้’ ชนิดหนึ่งไปในที่สุด ซึ่งจะว่าไปแล้ว เรื่องมันก็จบลงอย่างแสนเศร้า แต่ก็ชวนให้รู้สึกว่าช่างเป็นเรื่องราวที่จับใจเสียเหลือเกิน 

 

          แถมปกรณัมรันทดเรื่องที่ว่านี้ ยังปรากฏอยู่ในเอกสารโบราณหลายฉบับอีกด้วย แต่ฉบับที่พรรณนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างละเอียดลออที่สุดก็คือ เอกสารภาษาละตินที่ชื่อ ‘Metamorphōseōn librī’ ของ ปูบิลุส โอวิดิอุส นาโซ่ (Pūblius Ovidius Nāsō) หรือที่ในโลกภาษาอังกฤษรู้จักเขาในชื่อว่า ‘โอวิด’ (Ovid) นั่นเอง

 

         เจ้าหนังสือ ‘Metamorphōseōn librī’ หรือที่เรียกกันอย่างแพร่หลาย ในหมู่นักศึกษาวรรณกรรมคลาสสิคของโลกตะวันตกในชื่อภาษาอังกฤษว่า ‘Metamorphoses’ นี้ มีความหมายแปลเป็นภาษาไทยตรงตัวได้ว่า ‘หนังสือที่ว่าด้วยการกลายร่าง’ ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรเลยที่หนังสือเก่าแก่ฉบับนี้จะเล่าถึงที่มาที่ไป ของการกลายร่างจากนางพรายไปเป็นดอกไม้อย่างละเอียดยิ่งกว่าที่หนังสือ หรือกวีในโลกยุคคลาสสิคคนอื่นๆ ได้พรรณนาเอาไว้

 

         และถึงแม้ว่าเอกสารของโอวิดจะเป็นงานในช่วงหลังจากพวกกรีก เพราะโอวิดเป็นชาวโรม ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงระหว่าง 43 ปีก่อนคริสตกาล-ค.ศ. 17 (หรือ 18) ตรงกับโรมันในยุคเปลี่ยนผ่านจากสาธารณรัฐ ไปสู่การเป็นจักรวรรดิ ซึ่งเป็นช่วงหลังยุครุ่งเรืองของวัฒนธรรมกรีก ที่เป็นต้นกำเนิดของปกรณัมปรัมปราเรื่องนี้อยู่นานนับร้อยๆ ปีเลยทีเดียว แต่เนื้อหาส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้มีรายละเอียดสำคัญที่แตกต่างไปจากในยุคก่อนหน้านัก

 

          ดังนั้นในที่นี้ผมจึงขอเล่านิทานปรัมปราเรื่องนี้ โดยใช้โครงเรื่องที่โอวิดพรรณนาเอาไว้เป็นหลัก และจะใช้ข้อมูลจากเอกสารชิ้นอื่นๆ เสริม เพื่ออธิบายในสิ่งที่ที่โอวิดไม่ได้เล่าเอาไว้

 

    ในหนังสือที่ว่าด้วยการกลายร่างของโอวิดเล่มที่ว่านี้ ได้เล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับดอกไม้ที่กลายร่างมาจากนางพรายดังกล่าวเอาไว้ในช่วงหนึ่งของบรรพที่ 4 ของหนังสือเล่มนี้ โดยนางพรายผู้จะมารับบทเป็นตัวละครแสนอาภัพในที่นี้ เธอมีชื่อว่า ‘ไคลตี’ (Clytie)

 

          เรื่องของเรื่องนั้นมีอยู่ว่า ‘ไคลตี’ นั้นเป็นหนึ่งในบรรดาคนรัก (แน่นอนว่า หมายถึงไม่ได้มีแค่คนเดียว) ของ ‘โซล’ (Sol) ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ แต่บังเอิญว่า โซลนั้นเกิดไปมีเรื่องผิดใจกับเทพีแห่งความรัก, ความงาม และดาวพระศุกร์ที่ชื่อว่า ‘วีนัส’ (Venus, กรีกเรียก ‘อะโฟรไดที’ [Aphrodite]) เพราะว่าโซลนั้นเอาเรื่องที่วีนัสกับมาร์ส (Mars, อนุโลมได้ว่าตรงกับเทพ ‘เอเรียส’ [Ares] ของกรีก) ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม และดาวอังคาร ที่ชนชาวโรมันถือว่าเป็นเทพบิดรของพวกตน ลักลอบกระทำชู้กันไปเล่าให้กับสามีของวีนัสคือ เทพแห่งไฟ และงานโลหะกรรมที่ชื่อว่า ‘วัลแคน’ (Vulcan, กรีกเรียก ‘เฮเฟสตุส’ [Hephaestus]) ฟัง

 

          แน่นอนว่า วัลแคนนั้นถึงกับจิตใจแหลกสลาย ดังนั้นเขาจึงวางอุบายล้างแค้นด้วยการนำทองสำริดมาทำเป็นเส้นเชือกบางเบา จากนั้นค่อยนำมาถักเป็นแห ก่อนจะแอบนำมาซ่อนเอาไว้บนเตียงอย่างแนบเนียน จนเมื่อวีนัสกับมาร์สมาประกอบกามกิจกันบนเตียงจึงได้ถูกแหวิเศษของวัลแคน คลุมไว้จนดิ้นไม่หลุด วัลแคนจึงค่อยเปิดประตูห้องเพื่อให้เหล่าเทพเจ้าเข้ามาเป็นประจักษ์พยาน จนเป็นที่ขบขันกันไปทั่วทั้งสรวงสวรรค์

 

          ด้วยเหตุนี้เองวีนัสเธอก็เลยแค้นโซลอย่างจับจิต และในฐานะเทพีผู้ครองความรัก ไท้เธอจึงได้ดลบันดาลให้โซลนั้นหันไปคลั่งรักเจ้าหญิง ‘ลิวโคโธ’ (Leucothoe) ผู้เลอโฉม แห่งราชวงศ์อะคีเมนิค (Achaemenid) ผู้ปกครองจักรวรรดิเปอร์เซีย

 

          เมื่อโซลถูกวีนัสสาปเรียบร้อยแล้ว เขาก็หลงรักเจ้าหญิงลิวโคโธเข้าอย่างหัวปักหัวปำ จนในที่สุดเขาก็อดรนทนไม่ได้ โซลก็เลยเนรมิตร่างกายเป็นแม่ของเจ้าหญิงลิวโคโธ เพื่อหลอกให้เจ้าหญิงแสนงามองค์นี้ยอมอยู่กับตนเองเพียงสองต่อสอง จากนั้นจึงค่อยแปลงกลายกับมาเป็นสุริยเทพโซลดังเดิม

 

          และเรื่องราวหลังจากนั้นผมคงไม่ต้องบอกนะครับว่า เทพเจ้าแห่งดวงตะวันองค์นี้จะทำอะไรกับเจ้าหญิงที่เขาถูกสาปให้หลงรัก?

 

          เมื่อนางพรายไคลตีรู้เรื่องเข้าก็หึงหวง โกรธเจ้าหญิงลิวโคโธเป็นฟืนเป็นไฟ นางจึงได้นำเรื่องไปฟ้องกับกษัตริย์ออร์คามุส (Orchamus) ผู้เป็นพ่อของลิวโคโธ จนทำให้องค์กษัตริย์รู้สึกอับอายมาก จึงสั่งให้ทำโทษลูกสาวของตนเองด้วยการฝังดินทั้งเป็น ระหว่างที่กำลังถูกฝังนั้น เจ้าหญิงผู้อาภัพนางนี้ได้ชูมือขึ้นไปต้องแสงอาทิตย์ พร้อมกับพร่ำพูดว่า “เขาบังคับข้า ข้าไม่ได้สมยอม”

 

          โอวิดเล่าต่อไปว่า โซลไม่เคยประสบพบเจอกับความเศร้าสลดถึงเพียงนี้มาก่อน หลังจากคร่ำครวญอยู่นาน เขาจึงโรยฝุ่นดิน และพรมน้ำทิพย์หอมจรุงลงไปบนผืนดิน ที่เจ้าหญิงคิวโลโธถูกกลบฝัง แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าจงสัมผัสกับอากาศได้ดังที่เคยเป็น” จากนั้นร่างกายที่เปียกชุ่มด้วยน้ำทิพย์ที่หอมกรุ่นจากสวรรค์ของนางก็ละลายลง และทำให้โลกรู้จักกลิ่นหอมของสวรรค์ด้วยร่างกายที่กลายมาเป็นต้นไม้ที่ชอนไชขึ้นจากพื้นดิน

 

          ถึงแม้โอวิดจะไม่ได้เอ่ยออกมาว่า เจ้าหญิงลิวโคโธได้กลายร่างเป็นต้นไม้ชนิดไหน แต่ในเอกสารอื่นๆ ก็ระบุเอาไว้ตรงกันว่า นางได้กลายมาเป็นไม้กำยาน

 

          ส่วนนางพรายไคลตีนั้น สุริยเทพไม่มีเหตุผลให้ต้องมาพบนางอีก และเขาก็ไม่เคยเฉียดกรายไปใกล้นางพรายตนนี้อีกเลยนับแต่เกิดเรื่อง ไคลตีรู้สึกเจ็บปวดกับความรักที่สูญสลาย เธอนั่งกระสับกระส่ายอยู่บนพื้นดินเปล่าๆ โดยปราศจากน้ำ และอาหารอยู่ถึง 9 วันเต็มๆ ตลอดช่วงระยะเวลาที่ว่านี้นางพรายไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากจ้องมองไปที่ตัวสุริยเทพโซลอย่างไม่คลาดสายตา ร่างกายของเธอเริ่มเปลี่ยนแปลง ผิวซีดจนคล้ายพืชไม่มีสีเลือด แขนและขาเกาะติดกับดินจนกลายเป็นรากไม้ ในที่สุดไคลตีก็กลายสภาพไปเป็นดอกไม้ที่เอาแต่จ้องมองดวงอาทิตย์ตั้งแต่เช้าจนจรดสิ้นแสงฉาน

 

          ร้อยทั้งร้อยของคนที่ฟังเรื่องราวข้างต้นนี้แล้ว ก็มักจะเดาว่าเจ้าดอกไม้น้อยที่นางพรายไคลตีต้องเป็น ‘ดอกทานตะวัน’ แน่ๆ แต่เจ้าดอกไม้ที่ว่านี้ไม่ใช่ดอกทานตะวันหรอกนะครับ เพราะมันคือดอกไม้ที่มีชื่อเรียกในโลกภาษาอังกฤษทุกวันนี้ว่า ‘ดอกเทิร์นโซล’ (turnsole) ต่างหาก

 

 

    โอวิดพรรณนาเอาไว้ใน Metamorphoses เล่มเดิมอย่างชัดเจนนะครับว่า “เธอเปลี่ยนรูปลักษณ์ร่างกายเป็นพืชที่ไม่มีเลือด แต่บางส่วนกลับแดงฉาน และมีดอกไม้สีม่วงซ่อนอยู่ในวงหน้าของนาง” ดังนั้น นางพรายไคลตีย่อมไม่ได้กลายร่างไปเป็นดอกไม้สีเหลืองอ๋อย จนชวนแสบลูกนัยน์ตาอย่างดอกทานตะวันแน่

          เป็นเจ้าไม้ดอกต้นน้อยๆ อย่างเทิร์นโซลต่างหากที่มีดอกสีม่วงเล็กๆ รวมหมู่กันอยู่เป็นช่อ จึงจะมีรูปลักษณ์เหมือนกับที่โอวิดได้พร่ำพรรณนาเอาไว้ ที่สำคัญก็คือ เจ้าดอกไม้ชนิดนี้มันก็หันหน้าตามหาดวงอาทิตย์ทั้งวัน ไม่ต่างอะไรกับดอกทานตะวันเสียด้วย

          คำว่า ‘turn’ ในชื่อของเจ้าดอกไม้จิ๋วนี่ มีรากมาจากคำในภาษาละตินคือ ‘tornare’ ที่แปลว่า ‘เลี้ยว’ ซึ่งก็คือรากศัพท์เดียวกันกับคำว่า ‘turn’ ในภาษาอังกฤษปัจจุบันนั่นเอง ส่วนคำว่า ‘sole’ มีรากมาจากภาษาละตินอีกเช่นกันคือคำว่า ‘sol’ ที่แปลว่า ‘ดวงอาทิตย์’

     ในหนังสือ Metamorphoses นั้น โอวิดเรียกเทพเจ้าองค์นี้ว่า ‘โซล’ ตามชื่อในภาษาละติน ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ในการประพันธ์หนังสือที่ว่าด้วยการกลายร่างเล่มนี้ แต่ถ้าเราไปอ่านดูจากเอกสารที่ใช้ภาษากรีก เรียกเทพเจ้าองค์นี้ว่า ‘เฮลิออส’ (Helios) ซึ่งก็คือ เทพแห่งดวงตะวันเหมือนกัน

 

           อ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้ว หลายคนอาจจะนึกเถียงผมอยู่ในใจว่า สุริยเทพของพวกกรีกนั้นคือ ‘อพอลโล’ (Apollo) ต่างหาก ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ ‘เฮลิออส’ นั้น เป็นกลุ่มเทพเจ้ารุ่นเก่าก่อนอพอลโล โดยถือว่าเป็นหนึ่งในคณะเทพไททัน (Titan) ที่ปกครองสวรรค์ตามจักรวาลวิทยาของพวกกรีกมาก่อนคณะเทพโอลิมเปียน (Olympian, หมายถึงคณะเทพบนเขาโอลิมปุส [Olympus]) ของเทพอพอลโล ตามปรัมปราคติของกรีกนั้น พวกเทพโอลิมเปียนที่นำโดย เทวราชชื่อ ‘ซุส’ (Zeus) ผู้เป็นพ่อของอพอลโลนั้น ได้จับเอาคณะเทพไททัน (ซึ่งก็คือคณะเทพที่นำโดยพ่อแท้ของซุสอย่าง ‘โครนอส’ [Cronos]) โยนลงในชุมนรก ‘ทาร์ทารุส’ (Tartarus) ที่มืดทมิฬเพราะอยู่ลึกที่สุดในจักรวาล

 

           และนี่ยังไม่นับด้วยว่า เมื่อชื่อของอพอลโลปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกๆ ในเอกสารนั้น ชาวกรีกไม่ได้นับถือไท้เธอในฐานะ ‘สุริยเทพ’ แต่นับถือในฐานะ ‘เทพแห่งแสงสว่าง’ ต่างหาก อพอลโลเพิ่งจะถูกโยกมากินตำแหน่งเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์เอาพร้อมๆ กับที่พวกกรีกสถาปนากลุ่มเทพโอลิมเปียนเท่านั้นเอง ดังนั้นอพอลโลกับเฮลิออสจึงมีคุณลักษณะที่ปนๆ กันอยู่มาก อย่างไรก็ตาม ในส่วนของชาวโรมันนั้น มักจะเรียกสุริยเทพว่า ‘โซล’ มากกว่าชื่ออื่นๆ

 

          ชื่อดอก ‘เทิร์นโซล’ จึงหมายถึง การหันตามพระอาทิตย์ ซึ่งก็ดูเหมือนว่า ชื่อเจ้าดอกไม้ชนิดนี้ จะปรากฏในภาษาฝรั่งเศสโบราณเป็นแห่งแรกๆ โดยสะกดใกล้เคียงกับรากในภาษาละตินว่า ‘tournesole’ ต่อมาเมื่อชาวฝรั่งเศสได้รู้จัก ‘ดอกทานตะวัน’ แล้ว ก็มีหลักฐานว่าพวกเขาเคยเรียกดอกทานตะวันว่า tournesole ด้วยเหมือนกัน ซึ่งคงจะเป็นเพราะเจ้าดอกไม้ชนิดนี้ ก็หันหน้าจ้องเขม็งไปที่ดวงอาทิตย์ทั้งวันเหมือนกันด้วย

 

           ชาวฝรั่งเศสเพิ่งจะมารู้จักกับดอกทานตะวันทีหลัง เพราะเจ้าดอกไม้สีเหลืองอร่ามชนิดนี้ เป็นพืชพื้นเมืองในทวีปอเมริกาเหนือ เพิ่งจะถูกนำเข้ามาในยุโรปเมื่อหลังจากที่ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) ค้นพบทวีปอเมริกาเมื่อ ค.ศ. 1492 โน่นเลย

           และนั่นก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า เจ้าดอกไม้ที่กลายร่างมาจากนางพรายไคลตีนั้น ต้องไม่ใช่ดอกทานตะวันแน่ เพราะโอวิดย่อมไม่เคยเห็นเจ้าดอกไม้ชนิดนี้ และก็ย่อมหมายรวมไปถึงผู้คนในวัฒนธรรมกรีกและโรมันทุกชีวิตด้วยนั่นแหละครับ

 

โพสท์โดย: wowticktock
แหล่งที่มาภาพ: https://en.wikipedia.org/wiki/Metamorphoses
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
wowticktock's profile


โพสท์โดย: wowticktock
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
วิจารณ์สนั่น! เวที Miss Planet "แคมโบเดีย" โชว์เปิดการประกวด ด้วยรำไทย โดนจวกด้านมาก!หนุ่มไรเดอร์อมของหลวง ชี้เกิดใน สน.จริงคุณแม่เลี้ยงเดี่ยววัย 43 ปีเผยเสียใจ หลังเผลอมีความสัมพันธ์กับหนุ่ม 19 ปี"แพท ณปภา" สะดุด! นั่งฟัง "พี ชานนท์"คุยกับเพื่อน แต่เพื่อนหล่อเกินต้านรวมเลขเด็ด! หวยแม่จำเนียร งวดวันที่ 1 ธันวาคม 2567ตาแพ้แสง ตาสู้แสงไม่ได้ อาการ สาเหตุ การรักษา มีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้างลูกค้ากินบุฟเฟ่ต์ 210 บาทไม่ยั้ง ชาวเน็ตห่วงร้านขาดทุน เจ้าของเผยคำตอบพลิกความคาดหมายขมิ้น สมุนไพรที่มีส่วนช่วยให้ผิวสวย ช่วยบำรุงผิวพรรณให้มีสุขภาพดีการติดเกม อาจเสี่ยงมีปัญหาทางจิตเวชแอบซ่อนอยู่ ?คอดำ วิธีแก้คอดำด้วยวิธีธรรมชาติบ๊อบ ทูน หิรัญทรัพย์ เผยป่วยเบาหวานขึ้นตา ตาขวาบอดสนิท ตาซ้ายเห็นเพียง 30%ตำนานตลอดไป!! กับการประกวด Miss planet international 2024 บอกเลยว่า.. ที่สุด
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
บ๊อบ ทูน หิรัญทรัพย์ เผยป่วยเบาหวานขึ้นตา ตาขวาบอดสนิท ตาซ้ายเห็นเพียง 30%หวยเจ้าพายุ"แพท ณปภา" สะดุด! นั่งฟัง "พี ชานนท์"คุยกับเพื่อน แต่เพื่อนหล่อเกินต้านเพจดัง โพสต์ ขอช่วยด่วนที่สุด คนงานกว่าร้อยคน ติดอยู่บริษัทยางไทยปักษ์ใต้ ยะลา น้ำท่วมถึงคอไขข้อสงสัย ทะเลาะวิวาท จ่ายแค่ 500 แล้วเรื่องจบ จริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่?
กระทู้อื่นๆในบอร์ด นิยาย เรื่องเล่า
เรื่องหลอน "ดงผีสุเหร่า"อาถรรพ์ "บ้านไม้ริมน้ำ"สุดเฮี้ยนผีหัวขาดอาถรรพ์สยอง "รถบัสผี"
ตั้งกระทู้ใหม่