Suradji Ahmad กินน้ำลายเพิ่มพลัง

เรามักได้ยินแต่ฆาตกรต่อเนื่องในตะวันตก เช่น อเมริกาหรืออังกฤษเป็นส่วนใหญ่
หากแต่ในบทความนี้เราลองเปลี่ยนบรรยากาศ ในประเทศเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงเรานั่นคือ
ประเทศอินโดนีเซียบ้าง ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้เองได้มีการจับกุมและประหารชีวิตฆาตกร
ต่อเนื่องคนหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่เลวร้ายที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย

สุราจี อะห์หมัด (Suradji Ahmad)



เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 1997 ตำรวจอินโดนีเซียได้ทำการจับกุมชายคนหนึ่งชื่อสุราจี อะห์หมัด อายุ 48 ปี ที่เขาอ้างตัวว่าเป็นพ่อมดหมอผี ซึ่งสังหารหญิง 42 ราย โดยตำรวจพบศพผู้หญิงจำนวนมากฝังอยู่ในไร่อ้อยรกร้าง ไม่ไกลจากบ้านของเขาในเมดานซึ่งเป็นเมืองหลวงทางเหนือของเกาะสุมาตรา

ก่อนหน้าที่จะสุราจีจะถูกจับกุม ตำรวจได้ไปหาที่บ้านของเขาหลังจากที่พ่อของหนึ่งในเหยื่อของเขาได้แจ้งความว่าลูกสาวของเขาหายไปหลังจากไปหาเขา เมื่อตำรวจทำการเริ่มขุดในเขตไร่อ้อยที่อยู่ติดกับบ้านของเขาก็พบศพของผู้หญิงที่กำลังเริ่มเน่าเปื่อยถึง 10 ศพด้วยกันและด้วยเหตุนี้สุราจีจึงถูกจับกุม

สุราจีเป็นเกษตรท้องถิ่นที่ชาวบ้านรู้จักกันในชื่อนาซิบ เคลเล่วัง หรือนามแฝงคือ ดาตุ้ก ได้สารภาพว่าเขาฆ่าผู้หญิง
มากกว่า 16 ในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามจากการค้นบ้านตำรวจ ตำรวจพบเสื้อผ้าและนาฬิกาหญิงที่ถูกแจ้งว่าสูญหายไปในช่วงหลายปีผ่านมาถึง 25 คน ทำให้เขาสารภาพเพิ่มว่าเขาได้สังหารผู้หญิงถึง 42 คนในช่วง 11 ปีที่ผ่านมา โดยมีภรรยา 3 คนของเขาให้ความร่วมมือ โดยภรรยาคนแรกของเขา ได้สารภาพว่าตนเป็นคนหนึ่งที่ให้ความร่วมมือสามีของตนเองในการฆาตกรรมเหยื่อตั้งแต่ต้นจนจบตลอดระยะ 11 ปีของเขา

เมื่อทำการสอบถามแรงจูงใจเพิ่มเติม สุราจียอมรับกับตำรวจ ว่า ส่วนมากเขาบีบคอผู้หญิงเหล่านั้นจนตาย และดื่มน้ำลายของพวกเธอ หลังจากที่พวกเธอมาหาเขาเพื่อให้ช่วยในเรื่องการเงิน และให้สมหวังในความรัก โดยบอกว่า
น้ำลายของหญิงสาวจะช่วยเพิ่มพลังวิเศษให้กับเขา

สำหรับชาวบ้านแล้วสุราจีคือบุคคลที่พวกเขาควรให้ความเคารพในหมู่บ้าน เพราะเขาคือหมอผี ผุ้วิเศษที่มีพลังอำนาจ
เหนือธรรมชาติที่พวกเขามักปรึกษาเขาเพื่อขอคำแนะนำเรื่องการแพทย์และจิตวิญญาณ หญิงหลายคนมักมาขอ
ความช่วยเหลือให้เขาใช้พลังอำนาจให้สามีหรือแฟนของพวกเธอมีความรักและมีความซื่อสัตว์ต่อพวกเธอแต่เพียงผู้เดียว บางคนก็เชื่อว่าพลังอำนาจของเขาทำให้สุขภาพดียิ่งขึ้น หรือโสเภณีบางคนก็มาขอให้เขาทำพิธีเพราะเชื่อว่าพลังของเขาจะช่วยให้พวกตนมีเสน่ห์เย้ายวนผู้ชายมากขึ้น



แม้ว่า อินโดนีเซียจะเป็นประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามเป็นส่วนใหญ่ ประมาณ 143 ล้านคน หรือ 86.9%
ของชาวอินโดนีเซียนับถือศาสนาอิสลาม ทำให้อินโดนีเซียเป็นประเทศมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในโลก

แต่กระนั้นในท้องถิ่นชนบทก็ยังคงมีบุคคลบางกลุ่มที่เชื่อถือในมนต์ดำอยู่บ้าง

สำหรับมนต์ดำของอินโดนีเซียนั้นค่อนข้างจะมีความเชื่อศรัทธาพอๆ กับมนต์ดำในไทย บางทีอาจน่ากลัวกว่าด้วยซ้ำ
แม้ว่ามนต์ดำของอินโดนีเซียส่วนมากเน้นช่วยรักษาอาการป่วยทั้งทางกายและทางจิตใจให้แก่ผู้คน หากแต่หากเล่นเอาถึงตาย มนต์ดำของอินโดนีเซียก็มีพลังอำนาจน่ากลัวเหมือนกัน อย่างกรณีที่เกิดขึ้นกับเด็ก 2 ขวบคนหนึ่งที่มีอาการผิดปกติและเมื่อมีการเอ็กซ์เรย์ดูก็พบว่ามีเข็มทิ่งแทงอยู่ภายในท้องเป็นจำนวนมากและเด็กน้อยได้เสียชีวิตลงหลังญาตินำตัวส่งโรงพยาบาลไม่นานเนื่องจากเกิดอาการปวดท้องรุนแรง ซึ่งในเบื้องต้นแพทย์ระบุสาเหตุการเสียชีวิตว่า"โดนของ"



อินโดนีเซียเรียกหมอปีเหล่านี้ว่า “Dukun” ซึ่งเป็นหมอผีสายมนต์ดำที่แม้ว่าจะมีส่วยผสมของ
ศาสนาอิสลามเข้าไปบ้าง หากแต่ว่าหมอผีดังกล่าวมีพิธีกรรมโบราณและมีความเชื่อที่แข็งแกร่ง ถนัดในเรื่อง การบูชาบรรพบุรุษ การติดต่อสื่อสารกับวิญญาณ(เข้าทรง) พลังอำนาจเหนือธรรมชาติ ด้วยเหตุดังกล่าวทำให้ชาวบ้านแถบนั้นให้ความเคารพสูงมาก แม้แต่ผู้มีชื่อเสียงของประเทศอย่างอดีตประธานาธิบดีซูการ์โนหรือซูฮาร์โต้ยังให้ความเคารพหรือมาเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวเลยก็มี

ดังนั้นจึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่ชาวบ้านไม่สงสัยสุราจี แม้เขาจะมีพฤติกรรมแปลก แต่เนื่องด้วยพ่วงหมอผีอยู่ตรงหน้าชื่อทำให้ชาวบ้านไม่กล้าจะสอดรู้สอนเห็นความลับของเขา ส่งผลทำให้สุราจีลอยนวลหลายปีในการฆาตกรรมหญิงสาวหลายคน ก่อนที่จะถูกจับในเวลาต่อมา

นอกจากนี้ตำรวจยังเชื่อว่าสาเหตุที่สุราจีรอดจนถึงทุกวันนี้เพราะครอบครัวไม่ทราบว่าผู้ตายไปหาหมอผี เพราะสำหรับหญิงสาวแล้วมันเป็นเรื่องหน้าอายเกินไปที่จะบอกพวกเขาที่จะไปขอความช่วยเหลือจากหมอผี อีกทั้งแม้ว่าว่าเหยื่อไปหาสุราจีแต่ครอบครัวก็ไม่แจ้งความเพราะเชื่อว่าหากแจ้ง สุราจีจะใช้มนต์ดำอันตรายต่อครอบครัวของเขาทำให้มีอันเป็นไปก็ได้

หลังจากที่สุราจียอมรับความผิดว่าสังหารผู้หญิงกว่า 42 คน และร่างกายของผู้หญิงก็ถูกขุดขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งชาวบ้าน
แถบนั้นได้ให้การว่าผู้หญิงในหมู่บ้านของพวกเขาหายไปโดยไป โดยไม่รู้ว่าพวกเธอหายไปไหน มาจนบัดนี้ก็รู้แล้วว่า
เธออยู่ใกล้ไม่ไกลจากเรานี่เอง หากอยู่ในสภาพศพ ไร้วิญญาณ และถูกฆ่าโดยหมอผีที่พวกเขานับถือ



จากการชันสูตรศพทั้งหมด พบว่าเหยื่อส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 11-30 ปี และถูกรัดคอด้วยสายเคเบิ้ลจากด้านหลัง
ซึ่งทำให้เหยื่อไม่มีโอกาสรู้ตัวหรือป้องกันตัวได้เลย และเมื่อฆ่าสำเร็จแล้วเขาก็เปลือยกายศพเหยื่อ ก่อนที่ถูกฝัง
ในพื้นที่ของสุราจีด้วยความลึกถึงเอว และมีร่องรอยของการประกอบพิธีกรรม เช่น มีการหันหัวเหยื่อไปทางบ้านเขา
ซึ่งเขาเชื่อว่ามันจะทำให้เขาได้รับพลังวิเศษเหนือธรรมชาติ และดื่มน้ำลายของเหยื่อ

ที่น่าตกใจคือหลังจากสุราจีฆ่าเหยื่อแล้วเขายังไปขอเงินของผู้ตกเป็นเหยื่อของเขาอีก และของใช้ส่วนตัวของเหยื่อ
ที่เขาทำการเปลือยกาย ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาหรือเสื้อหาเขายังเก็บไว้เป็นที่ระลึก

สุราจีได้บอกตำรวจว่าสาเหตุที่ต้องดื่มน้ำลายและฆ่าคน เนื่องจากในปี 1988 ผีพ่อของเขาได้มาฝันบอกให้เขา
ฆ่าผู้หญิง 70 คนและดื่มน้ำลายพวกเธอเขาจะได้กลายเป็นหมอผีมนต์ดำ ซึ่งเขาเชื่อความฝันของเขามาก
จึงก่อเหตุดังกล่าวขึ้น

ระหว่างที่มีการพิจารณา ชาวอินโดนีเซียทั่วประเทศที่ทราบข่าวดังกล่าวก็ตกใจมาก เนื่องจากคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น
โดยฝีมือของหมอผี บุคคลที่พวกตนให้ความเคารพนับถือสำหรับประเทศอินโดนีเซียหมอผีเป็นอาชีพที่ปรากฏอยู่ทั่วไป แม้กระทั้งห้างสรรพสินค้ากลางกรุงกาตาร์ก็ยังมีหมอผีมาบริการให้คำปรึกษาและการใช้เรื่องเหนือธรรมชาติ
เป็นเครื่องยึดเหนียวจิตใจผู้คน โดยเฉพาะในชนบทที่คนในพื้นที่มีการศึกษาต่ำหมอผีมีความจำเป็นมาก และเป็นอาชีพที่ได้รับความนิยมพอสมควร หากแต่เมื่อเกิดคดีสุราจีทำให้อาชีพหมอผีเริ่มมีการจับตามากขึ้น พวกหมอผีเถื่อนถูกจับกุม และเริ่มกวดขัน

ในชั้นศาลสุราจียังทำหน้าตาไร้เดียงสา ระหว่างที่มีการพิจารณาคดี จนกระทั้งวันที่ 27 เมษายน 1998 สุราจีถูกตัดสิน
ลงโทษในข้อหา 42 คดีฆาตกรรม อย่างไรก็ตามก็มีครอบครัวกว่า 80 รายออกมาอ้างว่าสมาชิกครอบครัวของพวกเขาได้หายไปในช่วง 10 ปีและมีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาตกเป็นเหยื่อของหมอผีสุราจี



วันที่ 10 กรกฎาคม 2008 สุราจีถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า อย่างไรก็ตามร่างกายของเขาถูกเก็บไว้โรงพยาบาล
สาเหตุเพราะญาติของผู้ตายออกมาขู่ว่าจะหาโอกาสทำลายศพเพื่อระบายแค้น แสดงให้เห็นว่าคนอินโดนีเซียรู้สึกกับ
ฆาตกรรายนี้อย่างไร และเรื่องราวของสุราจีถือได้ว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องฆ่าคนสุดเลวร้ายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในที่สุด