ต้นฉบับวรรณคดีอิเหนาจากอินโดนีเซีย "หิกะยัต ปันหยี สะมิหรัง"
สาระน่ารู้เกี่ยวกับเรื่องอิเหนาในฝั่งของต้นตำหรับจากอินโดนิเซียจากคุณ เชษฐา สมาชิกพันทิพดอทคอม
อิเหนาเป็นวรรณคดีเอกของไทยซึ่งได้เค้าโครงมาจากวรรณคดีอินโดนีเซียเรื่องเดียวกัน ชื่อ "หิกะยัต ปันหยี สะมิหรัง" พอดีผมได้มีโอกาสอ่านอิเหนาอินโดนีเซีย ฉบับแปลโดย สมเด็จฯเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เล่มนี้
ฉบับแปลไทยที่ผมอ่าน
ปกต้นฉบับอินโดนีเซีย
เมื่ออ่านจบ ผมพบว่าอิเหนาฉบับดังกล่าวมีความลึกล้ำพิสดารอย่างใหญ่หลวง ชนิดที่เรียกว่าอิเหนาไทยเทียบไม่ติดเลย จึงจะขอนำมาเล่าเป็นตอนๆให้ลองเทียบกันดูนะครับ (เรื่องนี้มีทั้งหมดเก้าตอน หากอยากรู้ว่าลึกล้ำอย่างไร ให้ลองอ่านไปถึงตอนที่สาม)
อนึ่งเรื่องทั้งหมดนี้ ผมลงในเพจ https://www.facebook.com/pongsorn.bhumiwat จนมีคนวาด fanart ให้ (ขอบคุณคุณ Koyubi Hime ครับ) ถ้าท่านชอบงานประวัติศาสตร์ วรรณกรรม และเรื่องต่างประเทศก็มาติดตามเพจผมได้นะครับ
รูปนางเอกของเรื่องคือจินตะหรา กำลังยิ้มอย่างโรคจิต
*** หิกะยัต ปันหยี สะมิหรัง (อิเหนาต้นฉบับ) ตอนที่ 1: ความแค้นของจินตะหรา ***
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเมืองๆหนึ่งชื่อเมืองดาหา ระตู (พระราชา) ผู้ปกครองดาหานั้นมีประไหมสุหรี (เมียเอก) ชื่อบุษบาหนึ่งหรัด มีเมียรองยศลิกูอีกคนหนึ่ง ชื่ออะไรก็ไม่รู้ เข้าใจว่ามีชาติกำเนิดธรรมดา แต่เซ็กซี่มาก ระตูดาหาเห็นศักยภาพจึงรับมาเป็นเมีย
ประไหมสุหรีมีลูกชื่อจินตะหรา มีสิริโฉมงดงามเกินหญิงใดๆ จนมีคำบรรยายว่า นาสิกดังกลีบกระเทียม นิ้วหัตถ์เรียวดังขนเม่น เพลาน่องดังท้องเมล็ดข้าวเปลือก พวงแก้มดังผลมะม่วงป่าห้อยอยู่ มันสวยยังไงลองจินตนาการตามแล้วกันนะครับ (ในเวอร์ชันไทย บุษบา และจินตะหราต่างเป็นเมียอิเหนา แต่ในต้นฉบับเป็นแม่ลูกกัน และจินตะหราเป็นนางเอก)
fanart คุณ Narin Kat Nara
สำหรับลิกูนั้นมีลูกชื่ออาหยัง นอกจากชื่อจะฟังดูบ้านๆแล้วหน้าตายังธรรมดา นิสัยเอาแต่ใจตัว ขี้อิจฉา หรือพูดง่ายๆว่าเป็นนางอิจฉานั่นเอง
อาหยังถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจมาตลอด เวลาอยากได้สิ่งใดก็จะไปกลิ้งๆเรียกร้องกับลิกู ลิกูก็จะไปกลิ้งๆเรียกร้องจากระตูดาหาต่อ ระตูดาหาเป็นคนหมกมุ่นในกามคุณ จึงมักโอนอ่อนยอมตาม
ครั้งหนึ่งระตูดาหาซื้อผ้าคลุมหัวราคาเท่ากันให้จินตะหรากับอาหยัง อาหยังเห็นว่าของตัวนั้นเป็นสีน้ำเงิน ส่วนของจินตะหรามีสีชมพู นางนึกอิจฉาก็ไปกลิ้งๆใส่ลิกูกับระตูดาหา มิใยระตูดาหาจะบอกว่ามันแพงเท่ากันก็ไม่เชื่อ ในที่สุดระตูดาหาจึงจำยอมซื้อผ้าคลุมสีชมพูอีกผืนให้อาหยัง นับแต่นั้นมีของอะไรมาก็ให้อาหยังเลือกก่อน
อีกครั้งหนึ่งจินตะหรากับอาหยังออกไปเก็บบุหงา (ดอกไม้) ด้วยกัน อาหยังเห็นบุหรง (นก) น้อยน่ารักบินผ่านมาก็ให้บริวารไปไล่จับ แต่จับอย่างไรก็จับไม่ได้ จินตะหราเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวจึงถอนหายใจแบบชิลล์ๆแล้วดีดนิ้วเป๊าะเดียว บริวารของนางก็พุ่งไปจับบุหรงมาได้แบบนินจา
อาหยังอิจฉาที่พี่สาวได้บุหรงก็กลิ้งๆใส่จินตะหราเพื่อขอเล่นกับบุหรงบ้าง แต่จินตะหราไม่ให้เพราะถือว่าบ่าวไพร่ตนเป็นคนจับได้
เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้อาหยังกับจินตะหรามีความบาดหมางกันอยู่
fanart คุณ บัณฑิต เรืองไสว
ต่อมามีราชทูตจากกรุงกุเรปันมายังเมืองดาหา ราชทูตบอกว่าเจ้ากรุงกุเรปันนั้นอยากสู่ขอจินตะหราให้กับบุตรของตนชื่อระเด่น (เจ้าชาย) อิเหนา ผู้มีหน้าตาหล่อเหลาสง่างามมาก อย่าว่าแต่สตรีเลย แม้ผู้ชายมาเห็นระเด่นยังต้องมีใจพิศวาสรักใคร่ไม่สมประดี (เขาบรรยายอย่างนี้จริงๆนะ ผมไม่ได้เขียนเอง)
ทั้งนี้กรุงกุเรปันกับกรุงดาหานั้นนับเป็นญาติที่สืบเชื้อสายมาจากชาวฟ้ากะยาหงัน ร่วมวงศ์อสัญแดหวา (วงศ์เทวดา) ระตูดาหาฟังข่าวดังกล่าวก็มีความยินดีนัก ตกปากรับคำจะยกจินตะหราให้ทำการตุนาหงัน (หมั้น)
ประไหมสุหรีกับจินตะหราได้ยินต่างก็ปลื้มปิติ หัวเราะกันดังคะลักคะลัก (เคี๊ยก เคี๊ยก)
อาหยังฟังทูตบรรยายถึงความหล่อของอิเหนาจนน้ำลายไหล จึงไปกลิ้งๆให้ลิกูช่วยเอาอิเหนามาให้ตน ลิกูคิดอุบายไปหาหมอผีทำเสน่ห์ จนได้ชานหมากเสน่ห์ยาแฝดมา
อีกทางหนึ่งลิกูเอาข้าวหมักใส่ยาพิษไปถวายประไหมสุหรี ประไหมสุหรีรับประทานแล้วก็ขาดใจตาย
จินตะหราเห็นแม่ตาย นางตกใจร้องไห้น่าสงสารมาก ระตูดาหาตกใจเช่นกัน หลังจากชำระความแล้ว ฟังว่าประไหมสุหรีตายหลังกินข้าวหมักของลิกูก็โกรธจัด จึงชักดาบเดินไปจะฆ่าลิกู
ครั้นระตูดาหามาถึงห้อง ลิกูผู้เตรียมตัวอยู่แล้วก็เอาชานหมากเสน่ห์ยาแฝดมากำไว้ แล้วแกล้งนอนใส่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยให้ระตูดาหาเห็น "อกอุระประเทศซึ่งประดับด้วยวาปีกษิรากร ตลอดไปถึงมธุวารีชลาลัยคู่หนึ่ง" (หรือเรียกสั้นๆว่า นม)
ระตูดาหาเห็นนมก็หน้ามืด ลืมความโกรธแค้นไปเล่นจ้ำจี้กับลิกู หลังจากนั้นนอกจากจะไม่เอาโทษลิกูแล้วยังยกย่องให้เป็นใหญ่แทนประไหมสุหรี
เมื่อลิกูเป็นใหญ่อาหยังก็เป็นใหญ่ไปด้วย จะกลิ้งเอาสิ่งใด แม้เป็นเรื่องชั่วอย่างการลงโทษคนบริสุทธิ์ ก็มักได้รับการอนุมัติ
ชะตากรรมของจินตะหราผู้เสียแม่จึงตกอยู่ในความดำมืด
*** หิกะยัต ปันหยี สะมิหรัง (อิเหนาต้นฉบับ) ตอนที่ 2: ตุ๊กตาของอิเหนา ***
กิระดังได้สดับมา หลังจากลิกูแห่งดาหาวางยาพิษฆ่าประไหมสุหรีตายแล้ว ก็ทำสเน่ห์เปิดนมโชว์ระตูดาหา จนสามารถขึ้นเป็นใหญ่ มีความกำเริบเสิบสาน อาศัยอำนาจผัวกำจัดผู้ต่อต้าน ทำให้แผ่นดินวิปริตไปต่างๆ
สำหรับก้าโหละ (เจ้าหญิง) จินตะหรา ซึ่งเกิดกับประไหมสุหรีนั้นเหมือนนกปีกหักได้แต่ไปอาศัยอยู่กับ มหาเดหวี เมียลำดับรองของระตูดาหาซึ่งรักนางเหมือนลูก
นอกจากจะต้องเสียใจจากการตายของมารดาแล้ว ยังต้องทนเห็นวันๆบิดาเอาแต่ไปขลุกตัวอยู่ในตำหนักของลิกู โดยไม่ยอมพูดถึงเรื่องลิกูเป็นฆาตกร ทั้งที่มีหลักฐานมากมาย
หากวันไหนจินตะหราทนคิดถึงพ่อมิได้ก็จำต้องบากหน้าไปตำหนักลิกู ให้ลิกูกับก้าโหละ อาหยังเยาะเย้ยนางด้วยประการต่างๆ นั่นแหละถึงจะได้พบพ่อบ้าง
ตัดไปที่เมืองกุเรปัน ระตูกุเรปันคิดถึงการตุนาหงัน (หมั้น) ระหว่างอิเหนาบุตรตน กับจินตะหรา จึงให้อิเหนาทำของขวัญส่งไปให้คู่หมั้น
อิเหนาได้ทราบข่าวความวิปริตของเมืองดาหามาก่อน รู้ว่าหากส่งของดีๆไปให้จินตะหราย่อมถูกอาหยังกลิ้งแย่งเอา จึงคิดอุบายให้ช่างจัดทำตุ๊กตาเด็กขึ้นมาสองตัว ตัวหนึ่งเป็นทองคำประดับเพชร อีกตัวหนึ่งเป็นเงินประดับมุก
ตัวที่เป็นเงินนั้นอิเหนาให้ห่อด้วยผ้าแพรไหมอย่างดีเลิศ ส่วนตัวที่เป็นทองนั้นให้ห่อด้วยผ้าขี้ริ้วส่งไป
ครั้นของทั้งสองถูกส่งไปถึงเมืองดาหาแล้ว ระตูดาหาซึ่งมีไอคิวไม่สูงนักมิได้ระแคะระคายว่าทำไมอิเหนากล้าส่งผ้าขี้ริ้วปนมาในของขวัญระดับรัฐ จึงนำไปให้อาหยังเลือกก่อน
อาหยังซึ่งไอคิวต่ำเช่นกัน ก็หัวเราะดังคะลักคะลัก (อุคริ อุคริ) จึงเลือกของห่อผ้าไหม แล้วส่งห่อผ้าขี้ริ้วไปให้จินตะหรา
จินตะหราเห็นห่อผ้าขี้ริ้วมาถึงตนก็น้อยใจเสียใจนัก แต่มหาเดหวีสอนว่าเราเป็นลูก เขาให้อะไรมาก็ควรรับ นางจึงจำใจรับไว้
ปรากฏว่านางต้องผิดคาดเมื่อเปิดห่อออกมาพบกับตุ๊กตาทองคำฝังเพชร! จินตะหราดีใจนักเพราะทราบว่าอิเหนาตั้งใจมอบมันแก่นางจึงเล่นกับตุ๊กตาด้วยความรักใคร่ ยึดถือเป็นสมบัติสำคัญที่สุดในชีวิต
ข้างฝ่ายอาหยังเปิดเจอตุ๊กตาเงินสวยงามก็ดีใจเหมือนกัน เดินถือมาอวดจินตะหรา แต่กลับพบว่าจินตะหรามีตุ๊กตาทองที่สวยกว่าตนอีก!
อาหยังโมโหทราบว่าอิเหนาทำอุบายก็กลิ้งๆใส่จินตะหราร้องว่า "เจ้าพี่โปรดเอาตุ๊กตามาแลกกันเถอะ เพราะน้องเป็นน้อง เจ้าพี่ต้องเสียสละให้!"
จินตะหราฟังก็ตวาดกลับว่า "ยังไงก็ไม่ให้ตุ๊กตานี้! เพราะเป็นของตุนาหงันระเด่นอิเหนา และตัวเองก็ได้เลือกไปก่อนแล้ว จึงส่งของเหลือเดนมาแก่เรา"
อาหยังบังคับพี่ไม่ได้ก็ไปกลิ้งๆใส่ลิกู ลิกูก็ไปกลิ้งๆใส่ระตูดาหาต่อ บอกว่า "พระองค์ให้ของดีกว่าแก่จินตะหราเสมอ เพราะเห็นนางเป็นบุตรีของประไหมสุหรีใช่ไหมล่ะ ส่วนหม่อมฉันมันแค่ลูกชาวบ้าน ยังไงก็ไม่มียศศักดิ์ จะทิ้งขว้างเมื่อใดก็ได้ ใช่สิพระองค์ย่อมเห็นลูกเมียหลวงสำคัญกว่านม!"
ระตูดาหาตกใจนัก จึงปลอบลิกูว่าแท้จริงตนนั้นจะเห็นนมสำคัญน้อยกว่าลูกเมียหลวงหาได้ไม่
เพื่อพิสูจน์สิ่งนี้ระตูดาหาจึงเรียกจินตะหราเข้าพบ แล้วบังคับให้มอบตุ๊กตาทองคำแก่น้อง
จินตะหราเศร้าเสียใจก็ร้องว่า "เจ้าพ่อเอาแต่มั่วสุมกับฆาตกรฆ่าแม่ มิได้รักลูกแล้วหรือ? ของนี้เป็นของเหลือเลือกแล้วยังจะมาแย่งจากลูกไปอีก"
ระตูดาหาฟังดังนั้นก็โกรธจึงขู่ว่าจะมอบตุ๊กตามาหรือเปล่า? หากไม่มอบจะตัดผมจินตะหราเป็นการลงโทษ จินตะหรายิ่งน้อยใจกว่าเดิมก็กอดตุ๊กตาคุดคู้อยู่กับพื้น พลางร้องไห้ตัดพ้อพ่อ
ถึงขั้นนี้แล้วระตูดาหาก็ยังหน้ามืดตามัว หยิบกรรไกรแล้วเดินมาจิกหัวจินตะหราขึ้น
จึงตัดฉับๆจนผมอันสวยงามของนางกุดสั้น!
ความครั้งนี้ชั่วร้ายจนฟ้าดินพิโรธ! ปรากฏอสุนีบาตกลางวันแสกๆ แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น ไก่ขันดังตะระก๊อกก๊อกก๊อก ฝูงสัตว์จตุบาททวิบาท แรด กระซู่ ปู ปลา หมาคอร์กี้ วิ่งจากป่ามาทำร้ายผู้คนในเมือง
หัวใจของจินตะหราก็แหลกสลายลงในการตัดผมครั้งนั้น
หลังจากก้าโหละ (เจ้าหญิง) จินตะหราถูกลงโทษโดยพ่อซึ่งมึนเมาด้วยมนต์เสน่ห์ของนางสนมแล้ว ใจนางก็ให้มีความทุกข์เทวษ ปั่นป่วนวุ่นวาย จนกลายเป็นความเคืองแค้นแสนสาหัส
นางกลับห้องไปร้องไห้อย่างตั้งแต่รุ่งเช้า ตลอดอาทิตย์ลบ จนพลบวัน ครั้นคืนสติ จึงคิดว่าอย่างไรก็ไม่สามารถดำรงตนอยู่ในเมืองดาหาอีกแล้ว จำจะต้องทำการมะงุมมะงาหรา (เดินทาง) ออกไปเสียให้พ้นจากที่นี้ ส่วนจะไปถึงแห่งใดนั้นก็แล้วแต่การบันดาลขององค์ปะตาระกาหรา (เทพเจ้า) เถิด
คิดดังนั้นก้าโหละน้อยจึงเรียกนางกำนัลคนสนิททั้งสอง นามว่าเกนบาหยัน และเกนส้าหงิด (เกนแปลว่า นาง) พร้อมทั้งมนตรีทั้งสี่มาเข้าพบแล้วกล่าวว่า
"ด้วยไม่อยากถูกข่มเหงรังแก เราจินตะหรา คิดมะงุมมะงาหรา ไปตามการบันดาลขององค์ปะตาระกาหรา"
"จริงหรา" มนตรีบังคมทูล "จะดีหรา พะยะค่ะ"
"จริงสิ" จินตะหรากล่าว
นางกับมหาเดหวี สองนางกำนัลและสี่มนตรีจึงปลอมกายเป็นสามัญชนลอบออกจากกรุงในวันนั้น โดยระตูดาหาซึ่งวันๆขลุกอยู่กับลิกูหาทราบไม่
ครั้นมะงุมมะงาหรามาได้ถึงทำเลแห่งหนึ่ง มนตรีแจ้งว่าเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างกรุงกุเรปันและกรุงดาหาพอดี จินตะหราจึงให้พวกเขาสร้างปะสังคราหัน (พับพลาชั่วคราว) ขึ้น
เพื่อสนองบัญชามนตรีและนางกำนัลซึ่งไม่รู้เอาเครื่องมือช่างมาจากไหนก็ช่วยกันตัดไม้ ถมดิน สร้างเป็นปะสังคราหันอันสวยงามให้เจ้านายประทับ
จินตะหราโสมนัสนักเสด็จขึ้นพักดูวิวธรรมชาติ รู้สึกครึ้มอกครึ้มจึงสั่งว่า "นี่แน่ะลุงมนตรี ท่านจงสร้างเมืองขึ้นในที่นี้สักเมืองหนึ่ง เราจะเป็นระตูปกครองเมือง"
มนตรีซึ่งพึ่งสร้างปะสังคราหันเสร็จกำลังเหงื่อแตกพลั่กๆ ถามด้วยเสียงสั่นว่า "ตวนกู (ท่านเจ้า) จะให้กระหม่อมสร้างเมืองขึ้นจริงๆหรา?"
"จริงสิ เชื้อกษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ" จินตะหรากล่าว
มนตรีถวายบังคม พวกเขาซึ่งเป็นแรงงานมีกันอยู่หกคนก็พากันแยกย้ายออกขุดดิน ขุดต้นไม้ ก่ออิฐ ฉาบปูน ค่อยๆสร้างบ้านขึ้นมาทีละหลังๆ ในขณะที่จินตะหรากับมหาเดหวีนั่งดู
เวลาผ่านไปไม่นานพวกมนตรีก็บันดาลมหานครอันโอ่อ่า ประกอบด้วยตึกรามบ้านช่อง วัดวาอาราม ปราสาทราชวัง คูคลอง กำแพง หอรบขึ้นมาได้ (เสียงแห่งเหตุผล: เฮ้ยมันทำได้ไง!?)
จินตะหราเห็นเมืองสวยงามมีความปลื้มปิตินัก จึงไปแกล้งไปอาบน้ำแล้วแต่งตัวแบบผู้ชายเดินกลับมา (เสียงแห่งเหตุผล: ไม่รู้หาชุดผู้ชายมาจากไหน เว้นแต่จิ๊กจากมนตรีคนใดคนหนึ่ง)
ก้าโหละน้อยในร่างชายนั้นหล่อเหลาสง่างามมาก ทั้งมหาเดหวี เกนบาหยัน เกนส้าหงิดเห็นแล้วต่างตะลึง ยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว เพราะนึกว่าเป็นองค์ปะตาระกาหลาจำแลงกายมา จวบจินตะหราชี้แจงว่าตนเป็นใครนั่นแหละ ทุกคนถึงมีสตินึกออก (เสียงแห่งเหตุผล: เจ้าฮะละครไทยมาก)
"ต่อไปนี้เราจะใช้ชื่อใหม่ว่า 'ปันหยี สะมิหรัง' (สะมิหรังแปลว่า แปลง) และแปลงตัวเป็นชาย" จินตะหราประกาศ "และเราจะให้เกนบาหยัน กับเกนส้าหงิดเปลี่ยนเพศเป็นเพื่อนเราด้วย" (เสียงแห่งเหตุผล: พวกเมิงทำไปทำไม?)
เกนบาหยันกับเกนส้าหงิดรับบัญชา จึงไปแย่งเสื้อพวกมนตรีมาอีก พอแต่งแล้วก็มีรูปเป็นนายทหารกล้าสง่างาม ได้ชื่อใหม่ว่า กุดาประวีระ และกุดาปะรันจา (กุดาแปลว่าม้า สามารถนำมาใช้เป็นคำขึ้นต้นชื่อผู้ชาย แสดงความเก่งกาจ ทำนองบุรุษชาติอาชาไนย)
เสร็จแล้วจินตะหราจึงไล่พวกมนตรีกลับเมือง
========= เหตุผลของเรื่องนี้ก็ได้ตายลงนับแต่บรรทัดนี้ด้วย ==========
(เสียงแห่งเหตุผล: อ่อก)
เพื่อเสริมสร้างมหานครแห่งใหม่ของนาง ปันหยีสะมิหรัง ได้สั่งให้กุดาประวีระ และกุดาปะรันจาออกไปเฝ้าหน้ากำแพงเมือง หากพบเห็นใครเดินทางผ่านมาให้ปล้นฆ่ากวาดต้อนมาเป็นทาส
ไม่ต้องสนใจว่าเป็นผู้ดีมีสกุล หรือคนลำบากยากจนอย่างไร จินตะหรายินดีรับหมด เพราะตอนนี้กำลังต้องการเพิ่มประชากรให้สร้างเมืองใหม่ จึงหยวนๆรับพวกไพร่แซมๆผู้ดีมาบ้าง
กุดาประวีระและกุดาปะรันจารับคำสั่งออกดักปล้นผู้คนที่สัญจรผ่านทางนั้น ไม่เว้นว่าจะเป็นชาวกุเรปันหรือเมืองไหน หากใครไม่ยอมเป็นทาสดีๆก็ฆ่าเสียสิ้น
คราวหนึ่งมีคาราวานพ่อค้า ถูกกุดาทั้งสองดักได้ พวกพ่อค้าไม่ยอมแพ้ลุกขึ้นต่อสู้ ถูกกุดาทั้งสองฆ่าตายหมดแล้วลากเอาลูกเมียไปถวายปันหยี
ก็ไม่รู้ว่านางกำนัลพวกนี้เอาฝีมือการรบมาจากไหน ตอนต้นเรื่องยังหงิมๆเล่นเก็บดอกไม้อยู่เลย
แต่ที่ประหลาดกว่านั้นคือ หลังจากลูกเมียพ่อค้าเห็นรูปโฉมปันหยี สะมิหรังแล้วกลับเคลิบเคลิ้มงมงายไปด้วยความหล่อ ลืมความแค้นของพ่อและผัวไปจนหมดสิ้น ต่างยอมมาปรนนิบัติปันหยีโดยบั๊กติบักดี (ภักดี)
ปันหยีดำเนินการล่าทาสมากขึ้นๆ นานวันเข้าเมืองอันเคยมีประชากรอยู่สี่คนก็กลายเป็นนครอันอันคึกคัก มีเสนามนตรี นักร้องนักแสดง ข้าทาสบริวาร ช่างฝีมือ เกษตรกร และ ecosystem ของตนเอง
ทั้งหมดยอมสิโรราบสวามิภักดิ์ด้วยหลงใหลในความหล่อของปันหยี
ในลักษณะดังกล่าวก้าโหละผู้น่าสงสารจึงกลายเป็นจอมมารผู้ชั่วร้าย และภัยคุกคามสำคัญของบ้านเมืองโดยรอบ ถูกตั้งฉายาว่า กะละหนา (โจรชั่ว) มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ เป็นที่หวาดกลัวทุกหย่อมหญ้า แม้เด็กน้อยได้ยินชื่อก็จะหยุดร้องไห้
จินตะหราได้อำนาจมากขึ้นก็มีความกำเริบเสิบสาน คิดการยึดครองโลก โดยเล็งจะเริ่มยึดเมืองมันตาหวันซึ่งเป็นเมืองเล็กๆอยู่แถวนั้นก่อน
โอ ใต้เงาอันชั่วร้ายของนางเอกอย่างนาง ชะตากรรมของปวงประชามลายูจะเป็นอย่างไร
หลังจากจินตะหราถูกพ่อและเมียน้อยกดขี่ทำร้ายจิตใจอย่างหนัก นางเคียดแค้นจนกลายเป็นโรคจิต จึงหลบออกจากเมืองปลอมตัวเป็นกะละหนา (โจรชั่ว) นามปันหยี สะมิหรัง ออกปล้นฆ่าจับผู้คนมาเป็นทาสบำเรอความสุขตนเอง
ระตูแห่งมันตาหวันซึ่งเป็นเมืองเล็กๆแถวนั้น ทราบข่าวกะละหนาอาละวาดให้ราษฎรเดือดร้อน จึงกะเกณฑ์ไพร่พลเป็นกองทัพใหญ่ ให้ดะหมัง และตำมะหงง (ตำแหน่งขุนนาง) นำทัพปราบโจร
ดะหมังตำมะหงงยกไปถึงเมืองของปันหยี พบกุดาประวีระ และกุดาปะรันจาเฝ้ากำแพงอยู่ จึงบุกเข้าจู่โจมอย่างดุร้าย!
เสียดายกุดาประวีระ ปะรันจาคือตัวละครลับที่เก่งที่สุดในเรื่องนี้แล้ว
ในสายตาของพวกนาง ไพร่มันตาหวันเหล่านี้จึงเป็นเพียงมดปลวก นางแค่ร่ายรำเพลงกริชบู๊ตึ้งอันสุดยอดเพียงครึ่งกระบวนท่า ก็สังหารดะหมัง ตำมะหงง พร้อมทหารเลวทั้งนั้นล้มตายไปหลายร้อยศพ ที่เหลือถูกจับหรือไม่ก็แตกหนีกลับเมือง
สำหรับพวกที่ถูกจับนั้น กุดาทั้งสองมัดไปให้ปันหยีเปร่งออร่าความหล่อใส่ ทุกคนถูกออร่าจนหน้ามืดตามัว ลืมความแค้นเพื่อร่วมรบ ลืมแผ่นดินเกิด เหลือจำได้แต่ความหล่อของปันหยี ต่างพากันสาบานว่าจะขอจงรักภักดีต่อระตูผู้สง่างามไปจนกว่ายิหวา (ชีวิต) จะหาไม่
ครั้นระตูมันตาหวันรู้ว่าทหารรบแพ้ถูกเกลี้ยกล่อมมากมาย และปันหยีสะมิหรังกำลังจะยกทัพมาตีตนตอบแทน ก็ตกใจทำอะไรไม่ถูก ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจอย่างกล้าหาญ
โดยยอมเป็นเมืองขึ้นปันหยี พร้อมส่งประไหมสุหรี (เมียเอก) และลูกสาวสองคนชื่อบุษบาชูวิต กับบุษบาส่าหรี เป็นบรรณาการ
ประไหมสุหรีกับลูกสาวฟังว่าพวกตนถูกยกเป็นเมียโจรก็พากันร้องห่มร้องไห้ กลัวว่าจะถูกโจรชั่วบังคับขืนใจ พากันตัดพ้อรำพันไปต่างๆ
แต่รำพันอยู่ไม่นาน พอถูกส่งไปพบปันหยีสะมิหรังตัวจริง ทั้งสามต่างก็ถูกออร่าความหล่อสะกดจนงมงายใหลหลง พากันแย่งจะให้ปันหยีมาข่มขืนตัว
ปันหยีหัวเราะหึหึ จึงบอกว่าประไหมสุหรีแก่แล้วไม่รับ ส่วนบุษบาชูวิตกับบุษบาส่าหรีจะรับเป็นนางสนม แต่ขอฝากไว้กับเมืองมันตาหวันก่อนละกันนะ
บุษบาชูวิตกับบุษบาส่าหรีได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงพากันร่ำไห้กอดขาปันหยี บอกว่าพวกตนมีความภักดีต่อสามีอย่างมากเปรียบเหมือนนางสีดาภักดีต่อพระรามฉะนั้น จะขอสู้ติดตามไปทุกหนแห่ง บุกน้ำลุยไฟเพื่อบูชาความรักอันซื่อสัตย์บริสุทธิ์!
ปันหยีฟังความจริงใจนี้แล้วจึงยอมรับนางทั้งสองมาอยู่เมืองตนอย่างหยวนๆ
แล้วทั้งหมดก็ใช้ชีวิตสนุกสนานเริงใจไปกับการแสดงละครดนตรีโดยพวกทาสที่จับมาได้ พร้อมทั้งข้าวปลาอาหารอันอุดมสมบูรณ์ซึ่งได้รับบรรณาการจากมันตาหวัน
แม้จะสำราญเพียงใด บุษบาชูวิต บุษบาส่าหรีก็อดแปลกใจมิได้ ที่ปันหยีเพียงกอดจูบลูบคลำฉิ่งฉับตน แต่ไม่เคยทำมากกว่านั้นมาก่อน
ตอนแรกก็นึกว่าสามีเป็นสุภาพบุรุษ ที่ไหนได้พอปันหยีเบื่อก็ยกนางทั้งสองให้บำเรอกุดาประวีระ กับกุดาปะรันจาต่อ ซึ่งทหารทั้งสองก็เอาแต่กอดจูบฉิ่งฉับ แต่ไม่ทำอะไรมากกว่านั้นเช่นกัน
(เสียงแห่งเหตุผล: สาบานว่านางเอก!? นี่มันเรื่องรวมดาร์คไซส์ของมนุษยชาติใช่ไม้!?
...
...
อ่อก)
========= เหตุผลของเรื่องนี้ถูกฆ่าตายอีกครั้ง ==========
สำหรับปันหยีสะมิหรังนั้น พอเบื่อนางบุษบาทั้งสองก็เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นก้าโหละจินตะหรา แล้วไปเล่นกับตุ๊กตาทองคำ โดยสมมุติว่าตุ๊กตานั้นคือลูกของตนที่เกิดกับอิเหนาจริงๆ
นางร้องเพลงกล่อมลูกอย่างไพเราะ พร้อมตัดพ้อชะตากรรมที่ตัวเองถูกลิกูกับอาหยังกลิ้งกลั่นแกล้งน่าสงสารมาก
เป็นอย่างนี้ไปหลายหน้ากระดาษ
แล้วพออยู่ในรูปผู้หญิงจนเบื่อแล้ว จินตะหราก็เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นปันหยีกลับมาเล่นจ้ำจี้กับพวกนางสนมอีก สลับกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ
ทั้งนี้มีเพียงมหาเดหวีคนเดียวที่ทราบเรื่องการป่วยเป็นสองบุคลิกจิตเภทของบุตรบุญธรรม แต่นางก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะเป็นตัวประกอบที่มีบทมากกว่าต้นไม้นิดเดียว (ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ความหล่อยังช่วยให้ทุกคนยังคงคิดว่าจินตะหรา/ปันหยีเป็นคนปกติ)
ตัดไปที่เมืองกุเรปัน ระตูกุเรปันมิได้ทราบว่าว่าที่ลูกสะใภ้สติแตกไปแล้ว ก็บัญชาให้ส่งเครื่องสินสอดทองหมั้นไปยังเมืองดาหา เพื่อสู่ขอจินตะหราตามประเพณี
ขบวนขันหมากนั้นเดินทางไปใกล้เมืองของปันหยี กลับถูกกุดาประวีระและกุดาปะรันจาดักไว้ได้
กุดาทั้งสองถามไถ่จนทราบว่า นี่คือขบวนขันหมากของระเด่นอิเหนา
พวกนางพากันดีใจ ต้อนรับพวกเขาเข้าเมือง เปิดเผยความจริง และทั้งหมดพากันกลับไปทวงสิทธิ์อันชอบธรรมที่เมืองดาหา
ซะเมื่อไหร่
เนื่องจากเหตุผลของเรื่องนี้ถูกฆ่าตายไปแล้ว กุดาประวีระ และปะรันจาจึงทำการสังหารหมู่ขบวนขันหมาก ปล้นชิงเอาทรัพย์สมบัติกุเรปันมาทั้งสิ้น!
พวกคณะทูตรอดตายมารายงานอิเหนา อิเหนาก็โกรธจนกริชสั่นจึงประกาศว่าจะยกไปรบกับปันหยีสะมิหรัง ปราบโจรชั่ว ยกแผ่นดินสูงขึ้นให้จงได้!
โปรดติดตามการเผชิญหน้าระหว่างอิเหนากับปันหยี ในตอนต่อไป
มาจะกล่าวบทไปตามเรื่องเล่าพิสดารของดาโต๊ะ (ท่านอาจารย์) เมื่อระเด่นอิเหนาทราบข่าวสินสอดทองหมั้นซึ่งส่งไปสู่ขอก้าโหละจินตะหรา กลับถูกกะละหนา ปันหยี สะมิหรังช่วงชิงไปสิ้น หทัยท้าวเธอก็ให้นึกพิโรธนัก จึงหยิบพระแสงกริชคู่กายนามกาละมิตานี ขึ้นควบม้าคู่ใจนามมหาอาชาไนยรังคะรังคิต กะเกณฑ์ไพร่พลยกออกไปกำราบเสี้ยนแผ่นดิน
เมื่อทัพกุเรปันมะงุมมะงาหรา (เดินทาง) มาใกล้เมืองปันหยี อิเหนาจึงให้ตั้งปะสังคราหัน (พลับพลาชั่วคราว) ขึ้น แล้วส่งทูตไปเจรจา ตามธรรมเนียมขัตติยะรณรงค์
เมื่อทูตของอิเหนามาขอสินสอดคืนจากปันหยี ปันหยีได้ตอบว่า "เฮ้ย ทูต จงไปบอกระเด่นอิเหนานายว่า มีดีก็จงมาเอาคืนด้วยตนเอง!"
ความนี้บวกกับออร่าความหล่อของผู้พูดทำให้คณะทูตฟังแล้วต่างรู้สึกปลาบปลื้มยินดี ประดุจได้น้ำทิพย์สวรรค์ ต่างคิดว่าชายนี้เป็นกะละหนาได้อย่างไร หน้าตาก็ดี บะฮาซา (วาจาภาษา) ก็สุภาพอ่อนหวาน (?) ควรที่จะมาเป็นพระอนุชาในเจ้านายเรามากกว่า
พอทูตกลับไปรายงาน อิเหนาฟังเนื้อความอย่างเดียวไม่ผสมออร่าก็โกรธจัด วันต่อมาจึงกวัดแกว่งกริชกาละมิตานี ควบรังคะรังคิตมาประชิดกรุง
ศัตรูมาแบบนี้หากเป็นเมื่อก่อนปันหยีคงให้สองนินจา เอ้ย! กุดา ไปรับมือ แต่เนื่องจากคู่ตุนาหงัน (คู่หมั้น) มาหา นางจึงแต่งองค์ทรงเครื่องออกไปรณรงค์เอง
แน่นอนครับ การพบกันของทั้งสองระเด่นคือการปะทะกันของออร่าอันสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นสามโลก
ปันหยีเห็นอิเหนาก็ตกใจเขินอาย ด้วยนึกไม่ถึงว่าจะหล่อเหลาสง่างามถึงเพียงนี้ หัวใจเต้นตึกตักทำอะไรไม่ถูก
ส่วนอิเหนานั้นหนักกว่า เพราะนึกไม่ถึงเช่นกันว่าปันหยีจะหล่อถึงขนาด ต้องเขินหน้าแดง ดวงใจเต้นระส่ำไม่อาจระงับ โอ้ นี่แหละสเปค เอ๊ะ แต่เราก็มีคู่หมั้นแล้ว อ๊ะ หรือว่าตูจะเป็นเกย์ โอ้ย สับสน! อิ๊! อ๊ะ! อุ๊!
สำหรับม้ารังคะรังคิต และม้าทรงของปันหยีนั้นทราบโดยสัญชาตญานสัตว์ว่าฝ่ายตรงข้ามมิใช่ศัตรู ต่างก็ยืนนิ่งอยู่ อิเหนากับปันหยีจะเฆี่ยนตีอย่างไรก็ไม่ขยับ
ในที่สุดอิเหนาจึงเอ่ยแก่ปันหยีว่า "เหตุใดพระน้องถึงแย่งสมบัติเรา?"
ปันหยีฟังเสียงหล่อๆก็สะท้าน จึงแสร้งร่ำไห้ตอบว่า "หม่อมฉันหาต้องการสมบัติพระองค์ไม่ หากแต่ตัวเป็นคนพเนจรหมอนหมิ่น ถูกสังคมรังแก ต้องมามะงุมมะงาหราในป่ากว้างอย่างจรจัดอนาถา จึงหาลำไพ่พิเศษโดยการปล้นฆ่า และล่าทาสเท่านั้นเอง"
อิเหนาฟังเสียงๆหล่อก็สะท้านเช่นกัน ลืมสินสอด ลืมจินตะหรา ลืมบ่าวไพร่ที่ถูกฆ่า ลืมความชั่วช้าทั้งหมดของปันหยีสะมิหรัง
ท้าวเธอกล่าวด้วยความนุ่มนวลว่า "พี่ยาไม่ว่าใดเจ้าดอก เจ้ารูปงามเช่นนี้จงมาเป็นยาหยี (น้องรัก) เราเถิด"
ปันหยีดีใจนัก แต่แสร้งขวยเขินบอกว่าการที่ระเด่นกุเรปันเช่นพระองค์มาเป็นเสี่ยวกับหม่อมฉัน จะไม่เป็นการตุหลาปาปา (เสนียด) หรือ?
อิเหนาก็ตอบว่า "สุดแต่ว่าจิตพิศวาส, ก็นับเป็นวงศ์ญาติกันได้, อย่าชักเจรจาให้ช้าไป, เข้าใจยาราไนก้ากัน"
ดังนี้สองกษัตริย์และบริวารจึงเสด็จเข้าเวียงชัยไปท่ามกลางอสุนีบาตแลบแปลบปลาบ (และเหตุผลที่ถูกฟ้าผ่าตายอยู่แถวนั้น)
เมื่อถึงวังปันหยีก็จัดการเอานางสนมบุษบาชูวิต และบุษบาส่าหรีไปเก็บไว้ลึกๆ จึงเสวยสุขสำราญกับอิเหนาอยู่หลายเพลาโดยทรัพย์สมบัติและไพร่ทาสที่แย่งมาจากอิเหนานั่นแหละ
มีโมเมนต์จับมือ กอดรัดฟัดเหวี่ยงแบบมิตรภาพลูกผู้ชายอัดแน่นอยู่ถึงหกหน้า จนครั้งหนึ่งอิเหนาซึ่งปฏิพัธรักใคร่ในรูปโฉมของปันหยียังถึงกับคิดว่า "หากเธอเป็นหญิงไซร้ เราจะเอาเป็นเมียแล้วไม่มีเมียอื่นอีกเลยนอกจากปันหยีสะมิหรังนี้"
เสียดายนักหลังจากมีความสุขอยู่หลายวัน อิเหนาก็ระลึกได้ว่าตนยังคงต้องแห่ขันหมากไปสู่ขอจินตะหราอยู่
แม้จิตใจจะยาราไนก้า แต่หน้าที่ขัตติยาก็ต้องทำ
อิเหนาต้องแต่งงานทางการเมือง จำจากไปอย่างอาลัยนัก
ข้างฝ่ายปันหยีเมื่อรู้ว่าอิเหนาต้องไปก็มิได้รั้งไว้ ทั้งยังถวายสินสอดที่ปล้นมาคืน พร้อมให้ผ้ารัดตัวเอาไว้ดมเป็นที่ระลึกอีกด้วย
ขบวนขันหมากกุเรปันจึงเคลื่อนไปถึงกรุงดาหาโดยสวัสดียังความปลื้มปิติแก่ระตูดาหาและลิกูนัก พวกเขาตกลงยกอาหยังให้อิเหนาแทนจินตะหราซึ่งหายไปไหนก็ไม่รู้
ในลักษณะนี้อิเหนาจึงถูกจับแต่งงานกับอาหยังแบบมึนๆ ทั้งสองทำพิธีแห่รอบเมืองกันเป็นการเอิกเกริก อาหยังปลื้มในออร่าความหล่อของสามีก็กลิ้งดีใจ หัวเราะดังคะลักคะลัก (มัวะฮ่าฮ่าฮ่า) หาได้สังเกตไม่ว่าอิเหนาเอาแต่ดมผ้ารัดตัวผู้ชายไม่เคยห่างจมูก
สำหรับปันหยีนั้นพออิเหนาจากไปก็สู้แอบสะกดรอยไปถึงเมืองดาหาด้วยตัวคนเดียว เพื่อมองดูฉากคนรักแต่งงานกับน้องสาวสุดที่เลิฟ
นางกัดผ้าเช็ดหน้าด้วยความเคียดแค้น ทั้งทำลายข้าวของรอบบริเวณพังพินาศ แต่ทราบว่าทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น จึงกลับเมืองโจรมาคิดการต่อไป
ข้างฝ่ายเมืองดาหา เมื่ออาหยังได้แต่งงานกับอิเหนาแล้วก็ให้รื่นเริงบันเทิงฤดียิ่งนัก ถึงแก่กลิ้งไปมารอบอิเหนามิได้ขาด ส่วนอิเหนานั้นกลับเบื่อหน่าย ด้วยท้าวเธอชอบผู้ชายหาชอบผู้หญิงแด๊ดแด๋ไม่ สักพักพอเบื่อมากๆก็ต้องหยิบผ้ารัดตัวปันหยีสะมิหรังขึ้นมาดมฟืดหนึ่ง พอให้หายคิดถึง
อาหยังสังเกตว่าสามีเมินตน อุตส่าห์แต่งหน้าทาปาก ใส่เสื้อผ้าสวยๆมายั่ว แต่อิเหนาก็ยังเฉย ในที่สุดนางจึงต้องไปกลิ้งใส่เสด็จแม่ลิกู เพื่อขอให้ชี้ทางสว่าง
ลิกูบอกว่าสบายมาก แม่จะสอนวิชาแพศยา 101 ที่เชี่ยวชาญให้ดังนี้
"คือเวลานอนด้วยกันนะ ลูกต้องแสร้งทำเป็นสาวบริสุทธิ์ ตกใจกลัว ไม่เค้ยไม่เคย หากสวามีมาจับมือ ก็ให้ชักมือหนี ถ้าสวามีมากอดก็ให้แกล้งร้องไห้กระซิกๆเพื่อเขาจะได้เช็ดน้ำตาปลอบใจ
"หากแกล้งอายก็แล้ว แกล้งร้องไห้ก็แล้วอีผู้ชายมันยังทำเฉยอีก ก็ให้โผเข้ากอดบั้นเอวร่ำร้องว่าตัวเองไม่รักเขาแล้วหรือ? ถ้าผู้ชายมันเป็นสุภาพบุรุษพอมันย่อมช้อนลูกมากอดไว้ เมื่อนั้นก็ค่อยย้อนกลับไปยั่วตั้งแต่ขั้นตอนที่หนึ่ง
"เออ แล้วเวลาป้อนหมากให้เขาทานน่ะ ต้องคาบป้อนแบบแม่นกป้อนลูก หากเขาขบริมฝีปากลูกกลับ นั่นแปลว่าผู้ชายคนนี้ได้ตกเป็นทาสของลูกแล้ว จำให้ดีนะ คะลัก คะลัก คะลัก"
อาหยังรับคำสั่งเสด็จแม่จึงเตรียมตัวเต็มที่ คืนนั้นทันทีที่เข้านอนนางก็เริ่มทำเป็นเขินอายหวาดกลัว กำลังคิดว่าหากไม้นี้อิเหนาไม่สะเทือนจะงัดไม้ต่อไปขึ้นมาอีก
ที่ไหนได้อิเหนานอนหลับกรนครอกๆไปแล้ว
อาหยังโมโหไม่ได้อย่างใจก็ปลุกสามีขึ้นมา กลิ้งๆบอกว่า "พระองค์ไม่มาปลอบหม่อมฉันเลย!"
อิเหนางัวเงียจึงตอบว่า "จะปลอบได้อย่างไรล่ะก็เธอยังไม่ได้ร้องไห้"
อาหยังจึงร้องไห้เสียงดังสนั่น พร้อมทั้งกลิ้งไปกลิ้งมาประกอบการแสดงด้วย
อิเหนามองด้วยความเบื่อรำคาญนัก "ขอบอกนะ เสียงร้องได้ของเธอเหมือนเสียงเสือคำรามกระชากใจพี่ และการปลอบโยนผู้หญิงนี้พี่ทำไม่เป็น (พี่ปลอบโยนเป็นแต่ผู้ชาย)"
จากนั้นอิเหนาจึงเอาสำลีอุดหูแล้วหลับยาว ปล่อยให้อาหยังกลิ้งร้องไห้จนหมดแรงไปเอง
เหตุการณ์เป็นเช่นนี้อยู่หลายวัน ในที่สุดอิเหนาเองกลับเป็นฝ่ายอดรนทนมิได้ ก่อน จึงทูลระตูดาหา ขอลาออกไปเที่ยวประพาสเล่น โดยลึกๆมุ่งมาดว่าจะกลับไปกุ๊กกิ๊กกับปันหยีสะมิหรังนั่นแหละ
ระตูดาหารักเอ็นดูบุตรเขยนักก็โปรดอนุญาต
::: ::: :::
ตัดไปที่เรื่องทางเมืองของปันหยี สะมิหรัง
เมื่อจินตะหรากลับมาเมืองแล้วก็ให้มีความร้อนรุ่มกระสับกระส่าย อาละวาดทำลายข้าวของ เพราะน้อยใจที่อิเหนาไปได้กับยัยน้องสุดที่เลิฟ (แล้วทำไมไม่บอกความจริงเขาตั้งแต่ตอนอยู่ด้วยกันฟะ?)
นางคิดวางแผนสักพักหนึ่ง จึงเรียกกุดาทหารเอกทั้งสองเข้ามา แล้วสั่งการด้วยสุรเสียงเฉียบว่า "การที่ระเด่นอิเหนาสยุมพรกับอาหยังน้องเรานั้น เราให้ขัดเคืองใจนัก! เพราะมีความแค้นที่แม่ของนางมาสังหารมารดาเรา เราคิดทบทวนดีแล้วจึงตัดสินใจว่า เราจะ
ถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านลองเดานะครับว่าจินตะหราสั่งว่าอะไร
ก. จะไปฆ่าล้างเมืองดาหาซะให้หมดเมือง!
ข. จะไปฆ่าลิกู กับอาหยังเท่านั้น!
ค. จะไปฆ่าอิเหนา ที่นอกใจเรา!
ง. ไม่ฆ่าใครหรอก เราปลงตกแล้ว จะออกบวช
ให้เวลาเดาคำตอบสามวินาที
1
2
3
เฉลยนะครับ คำตอบที่ถูกต้องคือข้อ ง.
จินตะหรากล่าวว่า "เราเบื่อหน่ายในโลกีย์วิสัย จะละทิ้งทางโลกออกบวชเป็นฤๅษี บำเพ็ญธรรม"
"ห๊ะ อะไรนะ ก้าโหละพูดอะไรออกมา!?" เหล่ากุดาร้องตกใจ
จินตะหราไม่ตอบ เพียงชี้ให้ดูหลุมศพของเหตุผลที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านนอก
เหล่ากุดานิ่งอึ้ง รับว่า "เอ้อ เข้าใจแล้ว"
ก้าโหละแห่งดาหาจึงเรียกนางสนมบุษบาชูวิต บุษบาส่าหรี รวมทั้งพระพี่เลี้ยงของทั้งสองชื่อ เกนปะมอหนัง กับเกนปะสีเหรียนเข้ามา กล่าวว่า "ยาหยี (น้องรัก) พี่มีอะไรจะบอก"
"มีอะไรหรือเพคะเสด็จพี่?" บุษบาทั้งสองถาม
"คือจริงๆแล้วพี่เป็นผู้หญิง" จินตะหราเอ่ย
"ห๊ะ! ละ แล้วที่พี่มากอดจูบน้องล่ะ!?"
"คือพี่เป็นผู้หญิงที่เป็นทอม"
"อ้าว แล้วที่พี่ไปอี๋อ๋อกับระเด่นอิเหนาล่ะ?"
"ก็พี่เป็นผู้หญิงที่เป็นทอมแล้วเป็นตุ๊ดต่ออีกทีไงล่ะ แค่นี้ก็ทำเป็นไม่เข้าใจ!" จินตะหราตวาด
พอเห็นอีกฝ่ายหวาดกลัวนางจึงถอนหายใจกล่าวว่า "ตอนนี้พี่เบื่อหน่ายเรื่องทางโลกแล้ว จะออกบวช น้องทั้งสองคงเกลียดพี่สินะ"
บุษบาชูวิต บุษบาส่าหรีหันหน้าปรึกษากัน ในที่สุดกลับพากันก้มกราบจินตะหรา "ถึงพี่จะเป็นผู้หญิงที่เป็นทอมแล้วเป็นตุ๊ดต่ออีกที แต่พวกเราก็จะขอติดตามพี่ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพราะเราชอบความจิตของพี่" ทั้งสองประกาศ
จินตะหราว่าตามใจ จากนั้นนางออกไปประกาศแก่ข้าทาสชาวเมืองทั้งหมดว่า ตอนนี้เล่นเป็นโจรเบื่อแล้ว จะเลิกเล่นไปบวช ขอให้ทุกคนกลับบ้านช่องไปทำมาหากินได้ ส่วนที่เคยปล้นฆ่าญาติพี่น้องใครมาก็ขอให้ดูออร่าความหล่อนี้ แล้วลืมๆไปแล้วกันนะ
ชาวเมืองฟังดังนั้นจึงจำต้องจากเมืองไปแบบงงๆ ส่วนจินตะหราพาคณะนางกำนัล เกนบาหยัน เกนส้าหงิดที่กลับมาเป็นผู้หญิงแล้ว พร้อมนางบุษบาชูวิต บุษบาส่าหรี เกนปะมอหนัง เกนปะสีเหรียน ออกเดินทางสู่กุหนุงวิลิศ (ภูเขาวิลิศ) อันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นสถานที่ออกบวชยอดนิยม
ด้วยอะไรบางอย่างทำให้เมื่อทุกคนออกจากเมืองแล้วกลับลืมทิ้งมหาเดหวีไว้
มหาเดหวีตื่นมาไม่เจอใครก็ร้องไห้ทำอะไรไม่ถูก
พอดีกับที่อิเหนากลับมาเยี่ยมปันหยีสะมิหรัง แต่พบเพียงเมืองร้าง มีมหาเดหวีนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว
อิเหนาสอบถามความจากมหาเดหวีจึงทราบว่าที่แท้ จินตะหรากับปันหยีสะมิหรังนั้นเป็นคนเดียวกัน!
"อะไรนะ คู่หมั้นของเราเป็น 'ผู้หญิงที่เป็นทอมแล้วเป็นตุ๊ดอีกที' กระนั้นหรือ!" อิเหนาอุทาน
อึ้งสักครู่จึงกล่าวต่อว่า "นี่แหละสเปคเลย เหมาะกับ 'ผู้ชายที่เป็นตุ๊ดแล้วเป็นทอม' อย่างเรา เราจะขอตามหานางจนกว่าชีวิตจะหาไม่!"
โปรดติดตามการผจญภัยที่อิเหนาตามหาจินตะหราในตอนหน้านะครับ
หลังจากอิเหนาทราบจากมหาเดหวีว่า แท้แล้วปันหยีสะมิหรังนั้นหาใช่ใครไม่ นอกจากคู่ตุนาหงันของตนเอง ท้าวเธอก็ให้มีจิตพิศวาสกลัดกลุ้มรุมเร้า ด้วยเห็นจินตะหราซึ่งมีความสับสนทางเพศนี้เหมาะสมกับตนยิ่งนัก
ด้วยความรักอัดอั้นตันอก ระเด่นแห่งกุเรปันจึงตัดสินใจจะออกมะงุมมะงาหรา เพื่อแสวงหาจินตะหรา แต่ก่อนอื่นต้องทำหน้าที่ของลูกเขยที่ดีก่อน โดยเอามหาเดหวีไปปล่อยเมืองดาหาให้สิ้นเรื่องราว
ในลักษณะดังกล่าวระตูดาหาจึงได้พบกับมหาเดหวีอีกครั้ง พอรับฟังเรื่องราวการตกระกำลำบากของลูกเมีย จอมกษัตริย์ค่อยได้สติ มีจิตใจสงสารมหาเดหวีนัก ประกอบกับตอนนั้นมนต์สเน่ห์ชานหมากของลิกูเสื่อมลงแล้ว ระตูดาหาจึงตั้งมหาเดหวีเป็นประไหมสุหรี แล้วก็ลืมๆนางลิกูและอาหยังจอมกลิ้งไป
อิเหนาวางใจเรื่องทางดาหาแล้ว เกิดปิ๊งไอเดียว่าถ้าปลอมตัวเป็นโจรก็คงจะพบจินตะหราง่ายขึ้น เพราะจะทำให้นางมีความสะดุดใจเมื่อทราบข่าวตน เขาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น "กะละหนา ปันหยี ยาเหย็ง กะสุมา" โดยตั้งใจให้มีคำว่าปันหยีอยู่ในชื่อด้วยจะได้เด่น
ทั้งนี้การมะงุมมะงาหราของอิเหนามิได้ไปกันเพียงสี่ห้าคนเหมือนคราวจินตะหรา แต่ไปกับกองทัพที่ยกมาตั้งแต่คราวจะปราบปันหยีสะมิหรัง
แม้ว่าเส้นทางจะกันดารเพียงใด อิเหนาก็มิได้หวั่น เพราะเมื่อคิดท้อก็จะเอาผ้ารัดตัวของจินตะหรามาดม แล้วก็จูบ แล้วก็เช็ดน้ำตา เช็ดเหงื่อ แล้วก็ดมต่อ ให้เกิดมีกำลังขึ้น
กองทัพของอิเหนาเดินทางไปถึงเขตเมืองสะดายุจึงตั้งพักอยู่ ระตูสะดายุเห็นกองทัพไม่ประกาศสัญชาติผ่านมาก็กลัว จัดรี้พลออกไปต่อสู้กับอิเหนาอย่างดุเดือด
ด้วยความที่อิเหนาเป็นพระเอกจึงกวัดแกว่งพระแสงกริชกาละมิตานีสยบศัตรูสิ้น ระตูสะดายุรบแพ้ยกลูกสาวคนงามนามว่าก้าโหละนาหวังให้ อิเหนารับไว้เป็นเมียแล้วออกเดินทางต่อ
ครั้นกองทัพของเขาผ่านมาอีกเมืองชื่อจรกาก็เกิดเหตุการณ์ซ้ำเดิม คือระตูจรการะแวงยกมารบกับอิเหนา ถูกอิเหนาฆ่าตาย คราวนี้ชาวเมืองจรกาพร้อมใจกันยกก้าโหละนิลวาตีให้ อิเหนาจึงได้เมียใหม่ถึงสองคน
นิลวาตีนั้นเหมือนนาหวัง คือตอนแรกกลัวว่าอิเหนาเป็นโจรป่าถึกๆก็ร้องไห้งอแงอย่างโน้นอย่างนี้ แต่พอเห็นออร่าความหล่อแล้วค่อยยอมสยบ ต่างรักใคร่กันดีช่วยกันปรนนิบัติสามีให้มีความสุข
แม้ว่านิลวาตีกับนาหวังจะมีความสุขกับอิเหนาแค่ไหน แต่ทั้งสองก็สังเกตเห็นว่าเขามักมีอาการใจลอยเป็นพักๆ ชอบหยิบผ้าเน่าๆผืนหนึ่งมาดมมาจูบ เมื่อถามว่าเป็นผ้าของเมียคนไหนหรือเปล่า? อิเหนาก็ตอบว่า "ยาหยี (น้องรัก) อย่าวิตกไป นี่เป็นผ้าของเพื่อนกะกันดา (เสด็จพี่) ชื่อปันหยีสะมิหรัง กะกันดามิได้จูบผ้า แต่จูบความดีของลูกผู้ชายคนหนึ่งมิให้ลืมกลิ่น"
นิลวาตีประท้วงว่า "ธรรมดาผู้ชายจะรักในความดีของเพื่อนนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่มักตอบแทนกันด้วยความดี น้องหาเคยเห็นใครเอากางเกงในเพื่อนมาดมเช่นพี่ไม่"
อิเหนาจึงว่า "นี่คือผ้ารัดตัว มิใช่กางเกงใน อีกอย่างปันหยีสะมิหรังนั้นเป็นคนกำยำล่ำสัน ตัวดำตาแดง หนวดเครารกครึ้ม ยาหยีอย่าได้หึงเลย"
ก็ไม่รู้อิเหนาจะต้องโกหกไปทำไม เพราะกษัตริย์ยุคนั้นมีเมียหลายคนเป็นเรื่องธรรมดา แต่คำโกหกของเขากลับทำให้นิลวาตีและนาหวังตะลึงในความวิปริตผิดเพศของสามี คือนอกจากจะชอบผู้ชายแล้วยังชอบแบบกล้ามๆอีกด้วย
พวกนางทำใจอยู่นาน ดูออร่าความหล่อของอิเหนาไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ทำใจได้
ทั้งหมดรั้งอยู่เมืองจรกาพักหนึ่งจึงออกเดินทางต่อไปยังเมืองกาหลัง โดยมีระเด่นวิรันตะกะ เจ้าชายจรกาที่นับถืออิเหนาเป็นพี่ติดตามไปด้วย (ท่านผู้อ่านไม่ต้องจำชื่อของคนๆนี้ก็ได้เพราะเป็นตัวประกอบไม่รู้ตามมาทำไม)
...
ตัดไปที่ฝ่ายจินตะหราซึ่งมะงุมมะงาหราไปยังวิลิศมาหรา (คำว่ามาหรา คือ เมรุ ซึ่งแปลว่าภูเขา วิลิศมาหราคือภูเขาวิลิศนั่นเอง)
แม้ว่าก้าโหละน้อยจะงดงามเหมือนดวงบุหลัน (ดวงจันทร์) แต่ตลอดการเดินทางกลับมีแต่อารมณ์วุ่นวายสับสน จนใบหน้าบิดเบี้ยวเหมือนบุหลันซ่อนเมฆ
จินตะหรามิสามารถลืมเลือนความหล่อของกะกันดาอิเหนาได้ ยังคิดลังเลจะกลับไปหาคู่หมั้นเสมอๆ แต่เมื่อวกกลับไปครั้งใด เกนบาหยัน กับเกนส้าหงิดก็จะชี้ให้ดูศพของเหตุผลที่ทั้งสองอุตส่าห์หามมาด้วยความยากลำบาก ทำให้จินตะหราจำต้องมุ่งมั่นออกบวชต่อ
การที่นางเลือกมาวิลิศมาหรานี้เป็นเพราะนับถือผู้วิเศษหญิงแห่งวงศ์อสัญแดหวา นามบีกู คัณฑะส่าหรี ที่บวชอยู่ที่นี่พร้อมกับแอหนัง (แม่ชี) จำนวนมาก
เมื่อจินตะหราเข้าเฝ้าบีกูผู้มีหน้าตาสวยสงบ จึงร้องว่า "เสด็จอาเพคะ หม่อมฉันจินตะหรา ได้มะงุมมะงาหรา มายังวิลิศมาหรา เพื่อออกบวชให้แก่องค์ปะตะระกาหรา"
"แล้วเดินทางมาได้กี่หลาแล้วล่ะลูก?" บีกู คัณฑะส่าหรีทัก "ล้อเล่น จริงๆอาให้เจ้าบวชมิได้ดอกเพราะเจ้ามีกรรมเก่าอยู่"
"เสด็จอาไม่สงสารหม่อมฉันหรือที่ถูกแม่เลี้ยงกับน้องสาวรังแก!" จินตะหราสะอื้น จึงเล่าเรื่องที่แม่ถูกวางยา ตัวเองถูกตัดผม จนต้องออกมามะงุมมะงาหราอย่างยากแค้น โดยข้ามๆเรื่องที่ตนเองเคยปล้นฆ่าประชาชนและเหตุผลไป
บีกู คัณฑะส่าหรีถอนหายใจ "ถึงอย่างนั้นอาก็ให้เจ้าบวชไม่ได้ เพราะเจ้ามีชะตาที่จะไปเป็น"
"เป็นอะไรเพคะ"
"เป็น
(ท่านผู้อ่านลองทายดู ให้เวลาสามวินาทีนะครับ
ก. เป็นเมียของอิเหนา
ข. เป็นสามีของอิเหนา
ค. เป็นกษัตริย์ของชวาทั้งหมด
ง. เป็นนักร้อง
3
2
1
คำตอบคือข้อ ง. ครับ)
"จินตะหราเอ๋ย เจ้ามีชะตากรรมที่จะเป็นนักร้อง!" บีกู คัณฑะส่าหรีทำนายด้วยเสียงเฉียบขาด
"อะไรนะ กรี๊ด หม่อมฉันจะได้เป็นนักร้องหรือเพคะ!" จินตะหราเก็บความดีใจไว้ไม่ได้ เหลียวไปมองนางกำนัลให้ชื่นชมยินดีกับตน เห็นเพียงเกนบาหยัน เกนส้าหงิดกำลังห่อศพทำมัมมี่เหตุผลด้วยสีหน้าเบื่อๆ
ด้วยเหตุนี้บีกู คัณฑะส่าหรีจึงชักนำจินตะหราเข้าสู่วงการบันเทิง โดยให้ นามว่า กำบู (นักร้อง) วาระคะ อัสมาหรา หรือชื่อในวงการคือ จินตะหรา พูนลาภ อาร์สยาม
พวกบุษบาชูวิต บุษบาส่าหรี และนางกำนัลต่างถูกจับแปลงเป็นหางเครื่องทั้งสิ้น โดยบีกูส่งไปเปิดคอนเสิร์ตครั้งแรก ณ เมืองกาหลัง ซึ่งก็เป็นที่ๆอิเหนากำลังไปนั่นเอง
คอนเสิร์ตของกำบูจินตะหรา พูนลาภจะประสบความสำเร็จหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป
เมื่ออิเหนายกไพร่พลมาถึงเมืองกาหลัง (อยู่ในเครืออสัญแดหวา) แล้วก็ตั้งปะสังคราหันพักไว้ กิตติศัพท์ความหล่อของระเด่นหนุ่มแพร่กระจายไปทั่ว จนระตูกาหลังมีความสงสัยว่าจะมาดีหรือร้าย จึงแต่งขบวนออกพบ
หากเมื่อได้พบอิเหนาและซึมซับออร่าความหล่อแล้ว ระตูกาหลังให้ปลาบปลื้มใจยิ่งนัก จึงออกปากรับอิเหนาเป็นบุตรบุญธรรม โดยมิได้ถามไถ่ความเป็นมา ส่วนอิเหนาก็กั๊กไม่ยอมบอกความจริงว่าเป็นญาติกัน ไม่รู้เพราะอะไร
ระตูกาหลังนั้นมีบุตรชายชื่อระเด่นสิงหมนตรี เป็นคนหน้าตาขี้เหร่ ปัญญาโฉดเขลา ระเด่นสิงหมนตรีมาถึงงานเลี้ยงต้อนรับอิเหนา เห็นแขกใหม่หน้าตาหล่อก็อิจฉา เดินบ่นออดแอดว่ามันหล่อกว่าตูตรงไหนทำไมมีแต่คนชม พอดีผ่านโต๊ะกลุ่มพี่เลี้ยงของอิเหนา เกิดโมโหแย่งข้าวเขากินหน้าตาเฉย
พี่เลี้ยงของอิเหนาเห็นตลกดี จึงแกล้งบอกว่า "ระเด่นอย่าเป็นห่วง เรามียาดี จะทำให้ท่านหล่อเหลาเหมือนนายเรา"
ระเด่นสิงหมนตรีดีใจถามว่าอะไร พวกพี่เลี้ยงก็บอกว่ายานี้มีราคาแพง ท่านต้องจ่ายด้วยราคาสูงถึงจะได้ สิงหมนตรีก็ใจป้ำ ถอดแก้วถอดแหวนยกให้ ถอดคราหนึ่ง พวกพี่เลี้ยงก็ยอคราหนึ่งว่าหล่อขึ้นๆ เป็นเช่นนี้วนเวียนจนหมดตัว
สรุปว่าสิงหมนตรีอิ่มใจว่าหล่อขึ้นมากมาย ส่วนพวกพี่เลี้ยงฟันทรัพย์เปรม
(ระเด่นมนตรีมีตำแหน่งเป็นสีโตคก (ตัวตลก) เรื่องช่วงที่เขาออกมาคือบทตลกแทรก เหมือนเวลาท่านดูโขน ก็อาจเคยเห็นบทตลกแทรกบ้าง)
...
ข้างฝ่ายจินตะหราและคณะ ถูกบีกู คัณฑะส่าหรีชักนำเข้าสู่วงการบันเทิง ได้เป็นดารา มีชื่อในวงการว่า กำบู (นักร้อง) "จินตะหรา พูนลาภ" พวกนางจึงออกเดินสายเปิดคอนเสิร์ตมาถึงเมืองกาหลัง
ปรากฏว่าเพียงเปิดคอนเสิร์ตขึ้นไม่กี่ครั้งก็เป็นที่นิยมชาวเมืองกาหลังอย่างยิ่ง จินตะหรามีลูกคอ 9 ชั้น หางเครื่องแต่ละนางก็เซิ้งได้ถูกอกถูกใจมิตรรักแฟนเพลง สร้างชื่อเสียงขจรไกล
ในงานคอนเสิร์ตครั้งหนึ่ง ซึ่งมีบริวารอิเหนาเข้าชมด้วย จินตะหราได้จัดหนักด้วยเพลงที่ฮิตที่สุด
"แตงโม แตงโม แตงโม
แตงโม ลูกโต รสหวาน
ใครรับประทาน ถูกอกถูกใจ
แตงโมจินตหรามาใหม่
แตงโมจินตหรามาใหม่
ผ่าดูข้างใน เนื้อแดงจ่ายหวาย
วันนี้มาขายราคาไม่แพง!
วันนี้มาขายราคาไม่แพง!
เอาไหมชิมไหมพี่จ๋า
เอาไหมชิมไหมพี่จ๋า
แตงโมจินตหราเปลือกบางเนื้อแดง
เอาไหมขายให้ไม่แพง
เอาไหมขายให้ไม่แพง
เนื้อในไม่แดง ยอมให้กินฟรี
พิสูจน์เลยพี่ ไม่ดีไม่เอาเงิน!
พิสูจน์เลยพี่ ไม่ดีไม่เอาเงิน!"
บริวารอิเหนาม่วนซื่นยิ่งนัก ถึงกับเผลอเซิ้งตามไปด้วย จึงคิดกันว่านี่เป็นการแสดงระดับสูงที่คู่ควรกับอิเหนานายตน ชอบจะเอาไปรำถวาย
พวกเขาเข้าติดต่อคณะกำบูหลังการแสดงจบ เกนบาหยันซึ่งเป็นผู้จัดการบอกว่า "ถ้าให้เปิดคอนเสิร์ต มีค่าเครื่องเสียงและหางเครื่องแปดสุกู ค่าตัวดาราสิบสองสุกู (สุกูคือหน่วยเงินอินโดนีเซียโบราณ)"
บริวารอิเหนาเห็นว่าแพงนัก แต่ไม่เป็นไรตัวเองไม่ใช่คนจ่าย ยังคงจัดการให้คณะของจินตะหราเข้าไปเล่นละคอน (การแสดง คือคำเดียวกับละครนั่นเอง) ในวัง
นับเป็นบุพเพสันนิวาสที่คู่รักซึ่งพลัดพรากได้กลับเจอกันโดยบังเอิญ
โอ ในที่สุดจินตะหราในคราบกำบู ก็ได้พบปะมุ้งมิ้ง ฟรุ้งฟริ้ง กับอิเหนาในคราบโจร (ซึ่งเปลี่ยนแค่ชื่อไม่มีเมคอัพใดๆทั้งสิ้น)
ทั้งสองเกือบจะจำกันได้แล้ว แต่เกนบาหยันได้มาสะกิดให้พวกเขามองไปทางนอกวังก่อน
ที่นั่นพวกเขาเห็นปิรามิดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างงดงามวิจิตรด้วยรายได้จากคอนเสิร์ต
ภายในมีมัมมี่แห่งเหตุผลบรรจุอยู่
ด้วยเหตุนี้อิเหนาจินตะหราจึงจำกันไม่ได้ และทุกคนยังเข้าใจว่ากำบูจินตะหราเป็นผู้ชายอีกด้วย
แม้จำไม่ได้ แต่ทั้งสองแค่จ้องตาประสานออร่าก็ปิ๊งกันอีก
กำบูจินตะหราเห็นอิเหนามานั่งชมกับสองสนมนาหวัง นิลวาตี นางคิดอิจฉาจึงเลือกร้องเพลง "ชีวิตฉันขาดเธอไม่ได้" อันฮอตฮิต
"นอนกอดความเหงาในวันที่เค้าไม่มา
อยากโทรไปหาก็กลัวภรรยาของเธอรับสาย
นอนรอความหวัง ที่ได้แค่หวังอย่างไรจุดหมาย
คนโสดก็มีถมไป ไม่รู้ทำไมต้องรักแฟนเขา"
อิเหนาเห็นกำบูหนุ่มมีรูปโฉมวิไลแน่งน้อย ผิวขาวเหลืองนวลเหมือนผลลังซัต (ลางสาด) เพียงฟังเพลงนี้ก็ให้สะทกสะท้อน อยากเข้าไปประคองกอดจูบยาราไนก้ากับกำบูหนุ่ม แต่เกรงใจว่าเมียนั่งดูอยู่ถึงสองคน
หารู้ไม่ว่าก้าโหละนิลวาตี กับนาหวังเห็นความหล่อเหลาสง่างามของกำบู ก็พากันน้ำลายไหล เกิดจิตพิศวาสปราถนาจะเอามาเป็นสามีน้อยเช่นกัน
พอการแสดงจบทั้งหมดจึงเข้าไปรุมติดต่อกำบู
อิเหนาใช้สิทธิ์ผู้นำแย่งตัวจินตะหรามาก่อน แล้วพาขึ้นเตียง พลอดรักๆ บอกว่าเนี่ยถ้าเป็นผู้หญิงพี่จับทำเมียไปแล้ว แต่เมื่อเป็นผู้ชายก็จะนอนหลับด้วยกันแบบลูกผู้ชาย (มันแค่นอนเตียงเดียวกันไม่มีอะไรเกินกว่านั้นจริงๆนะครับ)
จินตะหราก็บ่ายเบี่ยงๆบอกว่าอย่าเลยฮะเจ้าฮะ ผมเป็นเพียงผู้ต่ำต้อยมะงุมมะงาหราผ่านมาน่าสงสาร หาควรเป็นเพื่อนกับเจ้าฮะไม่
ขณะที่อิเหนาจะรุกต่อ พอดีมีข่าวระตูปูดัก สะตะคัล และระตูล่าสำซึ่งเป็นญาติกับระตูจรกา เกิดความแค้น พากันยกทัพมาประชิดเมืองกาหลัง บังคับให้ระตูกาหลังส่งอิเหนามาสำเร็จโทษ
อิเหนาจึงจำใจต้องออกช่วยสู้รบป้องกันเมือง ขณะที่จินตะหราในคราบกำบูหนุ่มได้แต่นั่งเซ็ง
นางหารู้ไม่ว่า ในเงามืดนั้น ก้าโหละนาหวัง และนิลวาตีกำลังวางแผนงาบนางอยู่
เรื่องราวความรักอันชุลมุนวุ่นวายบนแผ่นดินมลายูจะดำเนินต่อไปอย่างไร โปรดติดตาม
กิระดังได้สดับมาถึงเรื่องราวอันพิสดารเหลือพรรณาของท่านดาโต๊ะ
หลังจากมีข้าศึกมาประชิดเมือง ทำให้อิเหนาพลาดโอกาสจับกำบูจินตะหราพูนลาภยาราไนก้า ท้าวเธอจำต้องกลั้นพระอัสสุชล ถือพระแสงกริชกาละมิตานี ขี่มหาอาชาไนยรังคะรังคิตออกปกป้องแผ่นดิน
ลับหลังอิเหนานั้น ก้าโหละนาหวัง และนิลวาตีเห็นเป็นโอกาสจึงเข้าไปผลัดกันกันยั่วยวนกำบูจินตะหรา เรียกให้มาเปิดคอนเสิร์ตในวัง พร้อมกับประทานทรัพย์สมบัติต่างๆมากมาย หวังเอากำบูรูปงามมาเป็นชู้รัก กำบูจินตะหราก็เพียงเซิ้งลูกทุ่งไปตามหน้าที่ แต่มิได้แสดงอาการรักตอบพวกนางเลย
เมื่ออิเหนาปราบศัตรูเสร็จ ได้ลูกสาวศัตรูที่เป็นตัวประกอบเจือจางจนผมขี้เกียจเขียนชื่อมาเป็นเมียอีกสองคน จึงกรีฑาทัพกลับเมืองกาหลัง
ที่นั่นเขาพบก้าโหละนิลวาตี (ผู้แค้นใจที่จินตะหราไม่รับรัก) มาฟ้องว่ากำบูนั้นกำลังเล่นชู้กับก้าโหละนาหวัง ขอให้พระสวามีจงสำเร็จโทษให้เข็ดหลาบ!
อิเหนาจำไปชำระความแบบมึนๆ ปะเหมาะเคราะห์ดีเป็นช่วงเวลาที่กำบูจินตะหราเกิดอาการสองบุคลิกกำเริบจึงเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นหญิงไปไกวเปลให้ตุ๊กตาทองคำ
อิเหนาได้เห็นหญิงสาวแปลกหน้ามาเล่นตุ๊กตา ตอนแรกก็จะจำมิได้ แต่ด้วยการเซ่นสังเวยบูชายัญเหตุผลที่ผ่านๆมาทั้งหมด ทำให้องค์ปะตาระกาหลาพอใจ จึงบันดาลให้อิเหนาตระหนักรู้ว่าผู้หญิงคนนี้แหละคือก้าโหละจินตะหรา ซึ่งเป็นคนเดียวกับปันหยีสะมิหรัง และกำบูที่เป็นชู้กับเมียตนนั่นเอง
จินตะหราเล่นตุ๊กตาอยู่ พอเงยหน้าขึ้นเห็นอิเหนา อยู่ๆก็เกิดจำได้เช่นกันว่านี่คือองค์ตุนาหงัน นางตกใจหยิบตุ๊กตาที่เมื่อกี้รักประดุจลูกขว้างใส่อิเหนาทันที!
ตุ๊กตานั้นแฝงลมปราณถึงสิบชั่ง โชคดีอิเหนามีพลังยุทธจึงรับตุ๊กตานั้นอย่างง่ายดาย แล้วตัดพ้อว่า "น้องหญิงขว้างตุ๊กตาทิ้ง น้องหญิงไม่รักลูกของเราแล้วหรือ?"
จินตะหรามีความเอียงอายก็พยายามหยิบวิกกำบูขึ้นมาสวม "ท่านพูดอะไรเล่า เราหาใช่น้องหญิงของท่านไม่ เราเป็นนักร้อง แตงโม แตงโม่ แตงโม"
อิเหนาหัวเราะ จึงบอกแก่ฝ่ายตรงข้าม "น้องหญิง คนเรานั้นถึงจะหลอกทุกคนในโลกได้ แต่หลอกตัวเองไม่ได้ดอก ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย หรือเป็นทอมที่เป็นตุ๊ดที่เป็นเกย์ เจ้าก็ยังคงเป็นน้องหญิงของพี่อยู่"
จินตะหราฟังดังนั้นก็หน้าแดงระเรื่อด้วยความขวยเขิน ตัดพ้อว่า "น้องหาคู่ควรกับพี่ไม่ พี่ควรแต่งกับก้าโหละอาหยัง จะมาใยดีน้องทำไมกัน"
"เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง" อิเหนากล่าว "พี่ไม่เคยใยดียัยกลิ้งนั่นอยู่แล้ว เดี๋ยวเขียนหนังสือหย่าให้เลย" แล้วระเด่นกุเรปันก็เล้าโลมคนรักอย่างกระหนุงกระหนิงมุ้งมิ้งยิ่งนัก
เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของผู้ติดตามอิเหนา รวมทั้งก้าโหละนาหวัง นิลวาตีซึ่งต่างก็ต้องอับอายที่ตนเคยไปยั่วยวนกำบูแปลง จึงยอมเป็นเมียน้อยโดยดี
เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว อิเหนาและมวลเมียจึงเดินทางกลับกรุงดาหา โดยไม่ลืมหนีบระเด่นสิงหมนตรี ตัวตลกก๋าก๊ะไปด้วย (จะบอกทีหลังว่าหนีบไปทำไม)
ขบวนของพวกเขาเดินทางไปถึงเมืองร้างที่ปันหยีสะมิหรังเคยสร้างไป จินตะหราเห็นเมืองก็ร้องไห้ เพราะสงสารในชะตากรรมของตนเองที่ถูกนางอิจฉารังแกจนต้องหลบออกมาปล้นฆ่าคนเล่นแก้เหงา สุดท้ายก้าโหละน้อยจึงสั่งให้ทำลายเมืองนั้นเสียสิ้น มิให้เหลือความทรงจำอันเลวร้ายอีก
ต่อมาขบวนพวกเขาเคลื่อนเข้าสู่กรุงดาหา อิเหนาและจินตะหราได้เข้าเฝ้าระตูดาหาพร้อมเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ระตูดาหาฟังแล้วก็ไม่ค่อยเก็ต แต่เอาเถอะมันจบดี มีลูกเขยหล่อ จึงจัดการเฉลิมฉลองอภิเษกอิเหนากับลูกสาวอย่างเอิกเกริก
และสำหรับอาหยังซึ่งถูกหย่านั้นก็ไม่ต้องเสียใจ ทุกคนตัดสินใจทดแทนให้โดยการจับระเด่นสิงหมนตรีผู้ก๋าก๊ะไปโยนไว้ในห้องเดียวกับนาง แล้วล็อคห้อง
ปล่อยให้สิงหมนตรีไล่ปล้ำนางจนกว่าจะหมดแรงตกเป็นเมีย
ส่วนนางลิกูนั้น เมื่อมนต์สเน่ห์แห่งนมและชานหมากหมด นางจึงสั่งบริวารไปเอายาสเน่ห์ชุดใหม่มา บาปกรรมทำให้บริวารนั้นถูกฟ้าผ่าตาย ลิกูคิดไม่ออกว่าจะส่งบริวารคนไหนไปแทนหรืออย่างไรไม่ทราบ ในที่สุดตรอมใจตายไปเอง
เมื่อสิ้นสุดนางอิจฉาแล้ว อิเหนาก็ตั้งให้จินตะหราเป็นประไหมสุหรี ให้ก้าโหละนิลวาตีเป็นมหาเดหวี ให้นางบุษบาชูวิต และก้าโหละนาหวังเป็นลิกูคู่กัน เมียอื่นๆต่างได้รับตำแหน่งรองลงไป ส่วนเกนบาหยัน เกนส้าหงิดนั้นได้แต่งงานกับพระพี่เลี้ยงของอิเหนา
และแล้วเรื่องราวของสาวงามนามจินตะหรา ที่ชะตาผกผันให้เปลี่ยนสถานะจากก้าโหละ (เจ้าหญิง) มาเป็นกะละหนา (โจร) มาเป็นแอหนัง (แม่ชี) มาเป็นกำบู (นักร้อง) และมาเป็นประไหมสุหรี (พระราชินี) ก็ได้จบลงในที่สุด
ทุกคนต่างมีความสุขแฮปปี้เอนดิ้ง ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนของอาหยัง และดวงวิญญาณของเหตุผลที่ลอยล่องฉวัดเฉวียนโปรยละอองสดใสไปในอากาศแบบหนังวอลท์ ดิสนีย์
ท่านดาโต๊ะได้เล่าแถลงเรื่องปันหยี สะมิหรัง อัสมารันตะกะ มีข้อความดังกล่าวมาทั้งมวล ยุติลงเพียงนี้แล
*** เรื่องย่ออิเหนาไทย ***
ในแผ่นดินชวามีกษัตริย์ที่สืบเชื้อสายจากเทพเจ้าหรือที่เรียกว่าวงศ์อสัญแดหวาอยู่สี่เมืองได้แก่ กุเรปัน ดาหา กาหลัง และสิงหัดส่าหรี ในจำนวนนี้เมืองกุเรปันมีพระโอรสคือระเด่นอิเหนา มีความหล่อเหลาสง่างามมาก ส่วนเมืองดาหามีพระธิดาชื่อบุษบาก้าโหละ มีสิริโฉมงดงามมากเช่นกัน พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายจับให้หมั้นกันแต่เด็ก
ต่อมาอิเหนาเดินทางไปเมืองหมันหยา พบพระธิดาหมันหยาชื่อนางจินตะหราสวยงามต้องใจนักจึงจีบเอาเป็นมเหสีโดยไม่ฟังคำทัดทานของญาติวงศ์ใดๆทั้งสิ้น ที่ร้ายแรงที่สุดคือยังมาประกาศถอนหมั้นบุษบาอีกต่างหาก
การถอนหมั้นนี้ทำให้เมืองดาหาเสื่อมเสียเกียรติ ระตูดาหาโกรธก็ประกาศยกบุษบาให้ใครก็ได้ที่มาขอก่อน พอดีจังหวะนั้นมีกษัตริย์ชื่อระตูจรกามาสู่ขอบุษบาพอดี แม้ระตูจรกาเป็นคนรูปชั่วตัวดำแต่ระตูดาหาจำต้องยอมยกให้เพราะออกปากไปแล้ว
เรื่องเริ่มวุ่นวายอีกขั้นเมื่อภาพวาดของบุษบาหลุดไปถึงมือเจ้าชายเมืองกะหมังกุหนิง เจ้าชายเห็นบุษบาสวยก็หลงรัก ยกทัพมาล้อมดาหาบังคับให้ยกลูกสาวให้
แม้อิเหนาจะถอนหมั้นบุษบาไปอย่างน่าเกลียด แต่เมื่อศึกยกมาติดเมืองญาติก็ต้องยกทัพไปช่วย ผลคืออิเหนาสามารถเอาชนะพวกกะหมังกุหนิง และได้พบกับบุษบา เมื่อตระหนักว่าบุษบาสวยสุดๆ จึงนึกเสียดายที่ตนเองปฏิเสธไป
หลังจากนั้นอิเหนาก็กลับมาติดพันบุษบาท่ามกลางความอิหลักอิเหลื่อของญาติวงศ์ทั้งหลาย เพราะแม้ว่าอิเหนาจะแสดงความสามารถแก้ไขศึกที่มาติดเมืองได้ ทั้งยังมีคุณสมบัติเหมาะสมกว่าจรกา แต่เขาก็เป็นคนเอาแต่ใจตนเอง ประกาศถอนหมั้นแล้วยังหน้าด้านย้อนมาอีก
เมื่อเห็นยากได้บุษบาด้วยวิธีตรงๆอิเหนาจึงทำอุบายเผาเมือง แล้วอาศัยช่วงวุ่นวายชิงตัวนางบุษบามาเกี้ยวพาราสี สุดท้ายนางบุษบาใจอ่อนหลงรักแต่ก็ยังปนอารมณ์แค้นเคืองน้อยใจอยู่
ความเลวที่อิเหนาเผาเมืองชิงนางนี้สาหัสนัก ถึงขั้นองค์ปะตาระกาหลาซึ่งเป็นเทพต้นวงศ์ทนไม่ไหว บันดาลลมหอบบุษบาไปจากอิเหนา แล้วชี้แจงกับบุษบาว่าต้องให้อิเหนาเดินทางพบความลำบาก เพื่อใช้กรรมและสั่งสอนที่ทำเรื่องวุ่นวายไว้
องค์ปะตาระกาหลาจึงแปลงเพศนางบุษบาเป็นชายชื่ออุณากรรณ ทั้งให้กริชวิเศษไปออกผจญภัยแกล้งอิเหนา
อิเหนาเองพอเห็นบุษบาหายไปก็ปลอมชื่อเป็นปันหยีออกตามหานาง เรื่องช่วงหลังจึงเป็นช่วงที่อิเหนาเป็นฝ่ายไล่ตาม บุษบาเป็นฝ่ายหนีไปยังเมืองต่างๆ ระหว่างนั้นมีการแก้ปัญหาให้เมืองนั้นๆ หรือปราบเมืองนั้นๆเอาไว้ในอำนาจ
สุดท้ายบุษบาเบื่อหน่ายชีวิตอย่างนี้ ทั้งเบื่อโลกีย์วิสัยจึงออกบวชเป็นแอหนัง (แม่ชี) อิเหนาก็ตามไปง้อๆจนสำเร็จ ทั้งหมดพากันกลับมาอภิเษกสมรสในเมืองโดยจินตะหราไม่มีปัญหา
อิเหนาจึงตั้งให้จินตะหราเป็นประไหมสุหรีฝ่ายขวา ให้บุษบาเป็นประไหมสุหรีฝ่ายซ้าย พวกเจ้าหญิงเมืองต่างๆที่เก็บๆมาก็เป็นสนมลำดับรองลงไป
จบเรื่องแฮปปี้เอนดิ้ง ละครไทยมาก