เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์ เป็นธิดาของหม่อมเจ้าเพิ่ม ลดาวัลย์ ในกรมหมื่นภูมินทรภักดี กับหม่อมช้อย เกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ.2433 เมื่อมีอายุ 11 ขวบ ได้เข้าถวายตัวเป็นข้าหลวงในอัครชายา พระองค์เจ้าสาย สวลีภิรมย์ กรมขุนสุทธาสินีนาฎ (พระวิมาดาเธอกรมพระสุทธาสินีนาฎ ปิยมหาราชปดิวรัดา) พร้อมทั้งมีโอกาสได้เรียนหนังสือทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อีกทั้งงานฝีมือ การทำอาหารคาวหวานจนเชี่ยวชาญ
เนื่องจากมีรูปโฉมงดงามและน้ำเสียงอันไพราะเรียกว่า "แก้วเสียงเป็นเอก" ในการขับร้อง จึงได้รับเลือกเป็นต้นเสียงของวงมโหรี จนเป็นที่โปรดปรานของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงกับออกพระโอษฐ์ขอนางจากพระอัครชายา โดยเข้าถวายตัวและได้รับพระมหากรุณาธิคุณเลื่อนขึ้นเป็นพระสนมเอกด้วยวัยเพียง 16 ปี
ต่อมาทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดละครเรื่องเงาะป่า โดยเจ้าจอมสดับทำหน้าที่ร้องประจำโรง จนการแสดงเสร็จสิ้น จึงได้รับพระราชทานกำไลทองนพคุณ ซึ่งเป็นทองบริสุทธิ์ เนื้ออ่อนสามารถบิดได้ โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสวมให้เจ้าจอมสดับ และบีบด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง
กำไลทองนพคุณนั้นมีน้ำหนักสี่บาท เป็นรูปตะปูโบราณสองดอกไขว้กัน ปลายตะปูเป็นดอกเดียวกัน หากมองตรงๆ จะเป็นตัวอักษร S(ย่อมาจากเจ้าจอมสดับ) หากพลิกข้อมืออีกด้านจะเป็นตัวอักษร C (ย่อมาจากจุฬาลงกรณ์) โดยที่วงกำไลลักคำว่า
" กำไลมาศชาตินพคุณแท้ ไม่ปรวนแปรเป็นอื่นยั่งยืนสี
เหมือนใจตรงคงคำร่ำพาที จะร้ายดีขอให้เห็นเช่นเสี่ยงทาย
ตาปูทองสองดอกตอกสลัก ตรึงความรักรัดไว้อย่าให้หาย
แม้รักร่วมสวมใส่ไว้ติดกาย เมื่อใดวายสวาสดิ์วอดจึงถอดเอย "
|
|
ต่อมาเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรป ทรงมีพระราชดำริให้ เจ้าจอมสดับตามเสด็จไปด้วย จนกลายเป็นที่อิจฉาของคนรอบข้าง และมีเสียงคัดค้านไม่เห็นสมควร จนทำให้มิได้ตามเสด็จไปด้วย ครั้น เมื่อทรงเสด็จกลับพระนคร ได้ทรงซื้อเครื่องเพชรมาพระราชทาน โดยโปรดให้แต่งเครื่องเพชรแล้วจัดท่าพระราชทานให้ช่างถ่ายรูปชาวต่างชาติมาถ่ายรูปให้ พร้อมทั้งพระราชทานตู้ที่ระลึกและทรงจัดของตั้งแต่งในตู้ด้วย
การรับพระราชทานเครื่องเพชรในครั้งนี้ ทำให้คนรอบข้างต่างพากันริษยามากขึ้น ด้วยความน้อยใจ เจ้าจอมจึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย ด้วยการดื่มน้ำยาล้างรูป แต่ว่าแพทย์ประจำพระองค์ช่วยชีวิตไว้ทัน กระทั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จสวรรคต เจ้าจอมสดับ จึงทรงรับหน้าที่ เป็นต้นเสียงของนางร้องไห้หน้าพระราชศพ
ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จสวรรคต เนื่องจากเจ้าจอมสดับ ได้รับพระราชทานเครื่องเพชร เพื่อใช้เป็นทุนเลี้ยงชีพจำนวนมาก และด้วยวัยเพียง 20 ปี จึงทำให้เป็นที่จับตามองว่า เจ้าจอมสดับจะครองตัวเป็นหม้าย ได้ตลอดไปนานแค่ไหน หรือจะนำสมบัติไปเลี้ยงชายอื่น ดังนั้นเจ้าจอม จึงได้ถวายเครื่องเพชรคืนให้แก่ สมเด็จพระพันปีหลวง โดยทรงโปรดเกล้าฯ ให้นำออกจำหน่ายเพื่อนำเงินไปสมทบทุนสร้าง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แต่ไม่ปรากฎชื่อของเจ้าจอม อยู่ในรายนามผู้สมทบทุนแต่อย่างใด
เจ้าจอมสดับยังคงครองตัวลำพัง เพื่อรักษาชื่อเสียงมิให้ด่างพร้อย โดยอาศัยพระบารมีสมเด็จพระวิมาดาเธอฯ กระทั่งอายุมากขึ้น จึงสละทางโลกบวชชี แต่ยังคงสวมกำไลทองพระราชทาน ติดตัวไว้ตลอด โดยถือว่าเป็นเครื่องรางประจำกาย กระทั่งเข้าสู่วัยชรา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชทานอนุเคราะห์ ให้กลับมาอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ทำให้ท่านมีโอกาสถ่ายทอดความรู้เรื่อง การถักสไบกรองทอง การทำน้ำอบ และยาดมส้มโอมือ ซึ่งเป็นความรู้ที่ให้ประโยชน์แก่คนรุ่นหลัง จนกระทั่งถึงอนิจกรรมด้วยวัย 93 ปี
|