วิถีชีวิตของคนเมือง
วิถีชีวิตของคนเมือง
วิถีชีวิตของคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ๆ ยกตัวอย่าง เช่นกรุงเทพมหานคร ก็จะมีการใช้ชีวิตในช่วงเวลาเช้าๆถ้าเป็นมนุษย์เงินเดือนก็ ต้องรีบตื่นนอนแต่เช้ามากๆ ย้ำว่าเช้ามากๆ ทั้งที่ทำงานอยู่ไกลจากที่พักหรือว่าสถานที่ตรงที่เป็นจุดศูนย์กลางของมหานคร รถจะติดมากๆก็ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 ตี 5 เพราะว่าถ้าตื่นสาย แล้วการเดินทางจะยากลำบากมากนะค่ะ เพราะว่าที่เมืองใหญ่ๆ รถจะติดมาก หลังจากที่ฝ่ารถติดมาถึงที่ทำงานเสร็จเรียบร้อย การเริ่มต้นเป็นมนุษย์เงินเดือน มนุษย์ออฟฟิศนะค่ะ ก็จะต้องรีบเร่งทุกอย่างค่ะ รีบเร่งจัดเตรียมงาน เตรียมอะไรที่เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเอง ไม่ค่อยได้มีเวลาเป็นส่วนตัวนะค่ะ บางทีก็ ทำงานเลยเวลา เลยช่วงเที่ยงไปไม่ได้ทานข้าวเที่ยงก็บ่อยครั้งมากๆนะค่ะ ชีวิตนั้นอยู่กับอุปกรณ์สำนักงานทั้งวัน เพลียสายตา เพลียสมองมากๆไม่ใช่แค่วุ่นวายกับการงานที่ต้องรีบเร่งนะค่ะ บางทีก็ต้องวุ่นวายกันคน เคยได้ยินไหมค่ะ ที่เขาว่ากันว่า มากคนก็ยิ่งมากความ ทั้งที่เป็นคนในออฟฟิศเดียวกันหรือคนด้านนอกเช่นลูกค้าอะไรประมาณนี้ มีปัญหาชวนให้ปวดหัว เครียด ไม่หยุดหย่อน กว่าจะผ่านในแต่ล่ะวันนั้นก็เล่นเอาเพลียร่างกาย เพลียจิตใจ มากมายเลยทีเดียว ชีวิตนั้นยังไม่จบอยู่แค่นั้นเพราะว่าหลังจากเสร็จสิ้นจากความวุ่นวายกับงาน กับคนทั้งวันก็ต้องฝ่ากับรถติดกับที่พักอีก กว่าจะถึงที่พักก็เล่นเอาหมดแรงข้าวต้มนะค่ะ แล้วถ้าใครเกิดว่ามีที่พักอยู่ห่างจากตลาดหรือว่าร้านค้าสักหน่อยก็จะยิ่งลำบากขึ้นนะค่ะ เพราะว่าการออกไปซื้ออาหารอะไรอย่างนี้ก็จะ ยากหน่อยแต่ถ้าสั่งให้เขามาส่งอย่างนี้เราก็ต้องเสียค่าบริการเพิ่มนะค่ะ แล้วก็การใช้ชีวิตทุกอย่างมันจะต้องใช้เงินทุกอย่าง คือถ้าคนไหนที่เงินเดือนเยอะๆอะไรอย่างนี้ก็ดีหน่อย แต่ถ้าคนที่มีรายได้ขั้นต่ำอะไรอย่างนี้ ถ้าจะซื้ออาหารตามสั่ง มารับประทานสั่งทุกๆมื้อ ทั้งมื้อเช้า มื้อเที่ยง มื้อเย็น เงินมันก็จะหมดไปกับค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไปเกือบจะหมดแล้วนะค่ะ มันก็เลยทำให้ คนส่วนมากจะไม่มีเงินเก็บ เพราะชีวิตนั้นมีแต่ค่าใช้จ่าย ไม่ใช่แค่ค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายส่วนตัว แล้วยังจะมีค่าใช้จ่ายทางด้านสังคม บางคนก็มีภาระยิบย่อยที่ต้องจ่ายอีก ถ้าใครที่มีครอบครัวก็ต้องเลี้ยงดูลูกๆ บางคนก็ต้องส่งเงิน ไปจุนเจือพ่อแม่ที่แก่ชราที่ต่างจังหวัดอีกด้วยนะค่ะ มันจึงออกเป็นชีวิตที่ค่อนข้างจะลำบากอยู่เหมือนกันนะค่ะ สำหรับวิถีชีวิตคนเมืองที่แสนจะวุ่นวาย
แต่ทว่าคนเราก็มีทางเลือกไม่ได้มากมายนัก บางคนถ้ามีต้นทุนทางชีวิตของพ่อแม่ที่สร้างไว้ให้ดีแล้ว อย่างนี้เขาก็จะมีทางเลือกมากกว่าหน่อยเพราะมีต้นทุนทางการเงิน ฐานะดีพอสมควร อยากจะทำอะไรก็จะได้ทำ แต่ถ้าบางคนก็เริ่มจากศูนย์เลย ก็จะเลือกอะไรไม่ได้มากนัก ทำอะไรก็ต้องอยู่กับคำแค่ไม่กี่คำ ก็คือคำว่า อดทน เท่านั้นนะค่ะ คนจนมีทางเลือกไม่เยอะนะค่ะ มีแต่ทน กับ ทำเท่านั้น
ส่วนคนที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัด มีที่ดิน สำหรับใช้ปลูกพืช ทำกิน อะไรอย่างนี้ แต่ว่าบางทีถ้าเราไม่มีการทำมาหากินอะไรที่จะสร้างเงิน สร้างรายได้ มันก็ไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้เรามากนัก บางคนก็ต้องหนีไปรับจ้างที่กรุงเทพฯ เหมือนเดิม ใช้ชีวิตเป็นลูกจ้างเขาไปวันๆเหมือนกันนะค่ะ ก็แล้วแต่ว่าความคิดหรือไอเดียในการหาเงินของใครจะพลิกแพลงหรือต่อยอดได้มากกว่ากัน แต่ที่สำคัญถึงแม้ว่าจะทำอาชีพอะไรหรือประกอบสัมมาอาชีพอะไรนะค่ะ ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานที่ว่าพึ่งตนเองให้มาก อย่าทำตัวเป็นภาระของคนอื่นเป็นขยะสังคมนะค่ะ ถ้าหากว่าหาเงินได้น้อยเราก็ต้องรู้จักบริหารว่าจะใช้จ่ายยังไงให้มันพอในครอบครัว ถ้าอย่างเช่นคนที่มีลูกมีครอบครัวอะไรอย่างนี้ ถ้าการซื้ออาหารการกินแบบซื้ออาหารจารเดียว อาหารถุง ก็เปลี่ยนจากที่สั่งเป็นกับข้าวถุง ถ้าสามารถซื้อวัตถุดิบ มาทำกินเองที่บ้านได้อย่างนี้ก็จะประหยัดมากกว่านะค่ะ เพราะว่าทานกันหลายคนจะคุ้มและอิ่มกว่า หุงข้าวทานเองอะไรประมาณนั้นนะค่ะ แต่สำหรับถ้าเป็นคนโสด ถ้าจะกินอาหารตามสั่งทุกมื้อ ถ้ารายได้น้อยก็คงจะไม่พอเหมือนกันนะค่ะ
สิ่งที่ดีที่สุดก็คือเราต้องจัดการบริหารตัวเอง ให้มันดีในทุกๆวัน มีแค่ไหนก็ใช้เท่านั้น และสุดท้ายนี้ ไม่ว่าเราจะเป็นมนุษย์เมือง หรือว่ามนุษย์ชนบท ทุกสิ่งทุกอย่างก็อยู่ที่สามัญสำนึกเหมือนกันแหละค่ะ เพราะปัจจุบันสังคมชนบทก็เปลี่ยนไปมาก ออกจะดูคล้ายๆกันกับสังคมเมืองจะดีกว่าหน่อยก็ตรงที่ไม่ต้องเช่าบ้านอยู่ก็แค่นั้นเองนะค่ะ แต่อย่างอื่นก็ต้องซื้อแทบจะทุกอย่างพอๆกัน ชีวิตของคนเราจะดำรงอยู่ได้ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างเช่น ความขยันหมั่นเพียร ความอดทน แล้วก็รู้จักประมาณตน
ใช้ชีวิตให้พอเหมาะ อย่าทำอะไรที่เกินตัว นั่นแหละดีที่สุดแล้ว















