เหตุเกิด ณ ลานประหาร ที่ประเทศอิหร่าน
ชายหนุ่ม อายุ 24 ปีกำลังจะถูกแขวนคอ เพราะว่าเขามีส่วนทำให้มีผู้เสียชีวิตวัยเดียวกับเขา เมื่อตอนอายุ 17 ปี
7 ปีผ่านไป เขาถูกพิพากษาโทษแขวนคอ โดยให้ญาติของเหยื่อเป็นฝ่ายกระทำคืน โดยให้เตะเก้าอี้ใต้เท้าที่เขายืนออก
แม่ของผู้ตายตบหน้าฆาตกรอย่างแรงก่อนการแขวนคอ เพราะการที่ลูกของเธอโดนไอ้ชั่วนี่ฆ่า ทำให้เธอโกรธแค้นและเสียใจมาก
ส่วนแม่ของคนที่จะถูกแขวนคอ เมื่อเห็นลูกตัวเองกำลังจะตายไปต่อหน้า ก็หมดเรี่ยวแรงทรงกาย ทรุดลงไปกับพื้น
แม่ของผู้ตายไม่ได้เตะเก้าอี้ แต่เธอกลับเอื้อมมือไปคลายปลดเชือกประหารที่คอของฆาตกร!
แม่ของฆาตกรเข้าไปก้มลงจูบเท้าแม่ของผู้ตาย
ทั้งสองแม่ต่างหลั่งน้ำตา แม่ที่ลูกของเธอถูกปลิดชีพบอกว่า
"เพราะว่าฉันทนทุกข์ทรมานจากการสูญเสียลูกรัก ฉันไม่ต้องการให้แม่อีกคนทนทุกข์ทนมานเหมือนกับฉัน"
นี่แหละความยิ่งใหญ่ของพลังแห่งการให้อภัย ความเมตตา ความกล้าหาญของมนุษชาติ !
ความกล้าหาญที่เธอยกโทษให้ฆาตกรยิ่งใหญ่กว่าความกล้าหาญที่จะฆ่าเขาอีก
เรื่องการให้อภัยผู้อื่นนับเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวคนเรามากที่สุด เพราะในทุกๆความสัมพันธ์ไม่ว่าจะในครอบครัว ในหมู่เพื่อน หรือแม้แต่กับคนที่เราไม่รู้จักก็อาจเกิดปัญหาขึ้นจนต้องมีการให้อภัยกัน
นักจิตวิทยาท่านหนึ่งกล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า สาเหตุที่ทำให้คนมีความสุขคือ ความเป็นเพื่อนและการให้อภัย ไม่ใช่ความร่ำรวย คนที่มีความสุขที่สุดจะห้อมล้อมตนเองด้วยครอบครัวและเพื่อนฝูง ไม่สนใจที่จะแข่งรวยกับคนข้างบ้าน แต่จะสนุกกับกิจกรรมประจำวันอย่างเต็มที่ และที่สำคัญที่สุดคือ เขาเป็นคนที่ให้อภัยคนอื่นได้ง่าย
ความสามารถในการยกโทษให้ผู้อื่นนั้น เป็นคุณสมบัติที่สัมพันธ์กับความสุขมากที่สุด ซึ่งเราเรียกว่าราชินีแห่งคุณงามความดีทั้งมวล และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากที่สุดด้วย
เราอาจยังถูกผูกติดอยู่กับความโกรธและความขมขื่น และรู้สึกว่าคนที่ทำผิดต่อเรานั้น สมควรได้รับกรรมที่ก่อไว้ แต่เมื่อเราตระหนักว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษเรามากมายเพียงใด เราควรที่จะเมตตาผู้อื่นด้วย พระคัมภีร์หนุนใจให้เรา “สวมใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน...องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน”เราได้รับการอภัยมาเปล่าๆ เราจึงควรอภัยให้ผู้อื่นเปล่าๆด้วยเช่นกัน
อ้างอิงจาก: Cr. จ่าตุ๊ ประพันธ์ ป.พงษ์สว่าง