เรื่องสั้น "เมืองกรุง"
เมืองกรุง
โดย : อักษราลัย
เด็กหนุ่มยืนมองออกไปยังฟ้ามืดเบื้องหน้า แสงของดวงดาวระยิบระยับพร่างพราย ล้อกับแสงของดวงจันทร์นวลที่สว่างสดใสกับคืนพระจันทร์ข้างขึ้น จันทร์เต็มดวงกับแสงนวลตาดูอบอุ่น ข้างกายเขามีกระเป๋าเสื้อผ้าใบโต ที่บรรจุเสื้อผ้านับจำนวนชิ้นได้ไม่เกินสิบ หากมันโตและอัดแน่นไปด้วยหนังสือและความหวัง
เขาถอนหายใจหันกลับมามองสภาพโดยรอบของบ้าน เขาเรียกว่ามันบ้าน แต่คนอื่นเรียกมันว่ากระต๊อบ ด้วยสภาพโย้เย้ผุผัง จะพังวันพังพรุ่งก็ไม่อาจรู้ พ่อแม่ผู้มีใบหน้าแก่เกินอายุนั่งกันเงียบ ๆ ในมือของพ่อค่อย ๆ คลี่ความยับยู่ยี่ของแบงค์ยี่สิบ เขาค่อย ๆ คลายมันออกจนเป็นแผ่นใหญ่ตามขนาดของมัน เอามือหยาบกร้านแตกระแหงค่อย ๆ รีดมันกับพื้นให้คลายความยับ ส่วนแม่นั่งคัดแยกเหรียญตามชนิด เหรียญสิบเหรียญห้าอยู่หนึ่งกอง เหรียญบาทอีกหนึ่งกอง ทั้งคู่มองดูจำนวนเงินแล้วทอดถอนหายใจ หันมามองเขาด้วยแววตาเปี่ยมรัก
"มีอยู่ทั้งหมดเก้าร้อยแปดสิบ จะพอเหรอ" พ่อพูดขึ้นด้วยสีหน้าและแววตาอมทุกข์
"เงินแค่นี้ แกจะไปได้สักแค่ไหน พ่อมีให้แกได้แค่นี้"
"แค่นี้ก็ดีถมไปพ่อ ยังไงผมก็จะไป กระเป๋าก็จัดแล้ว ทุกอย่างเตรียมไว้แล้ว จะทิ้งจะรื้อออกกลับมาได้อย่างไร ยังไงก็ต้องเดินหน้า"
เขาตอบกลับพร้อมกับเดินเข้าไปทรุดกายลงข้างพ่อกับแม่ แล้วนอนหนุนตักแม่อีกครั้งแม้แขนขาจะยาวเลยตักอุ่นของแม่ออกไปไกล
เขาเหลือบสายตาขึ้นมองหน้าแม่ น้ำที่คลอนัยน์ตานั้นบ่งบอกความนัย หากแต่ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาแม้สักคำเดียว
"ความฝันของแก ที่จะไปตามหาแกมั่นใจแล้วอย่างนั้นหรือ อยู่บ้านเราแม้จะไม่มีเงิน ผักหญ้าก็ยังมี ยังไงก็ไม่อดตาย" น้ำเสียงพ่อแผ่วเบาด้วยหวังจะทัดทาน
"ผมจะไปหามัน เหมือนที่คนอื่นทำ แค่กินอยู่คงไม่พอ สภาพบ้านแบบนี้จะอยู่ได้นานอีกแค่ไหน" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
"พ่อถามแกจริง ๆ เถอะ แกจะไปตามหาอะไรกันแน่"
"ความสะดวกสบาย เงินทองที่กองอยู่มากมายรอไปเก็บเกี่ยวไงพ่อ คือความฝันของผม"
พ่อพยักหน้ารับรู้และไม่พูดอะไรอีก เขาเพียงแต่หันไปมองกระเป๋าใบนั้นแล้วถอนหายใจ
ดึกแล้วน้ำค้างพร่างพรม...เสียงลมหวีดหวิวกรีดลึกเข้าในความรู้สึกของชายหญิงที่นอนมองหน้ากันเงียบ ๆ ในความมืด เสียงแผ่วเบาปนสะอื้นเอ่ยขึ้น
"พี่จะไม่ห้ามจริง ๆ เหรอ จะปล่อยให้ลูกไปอย่างงั้นเหรอ"
ผู้เป็นผัวไม่ตอบ แค่เพียงพยักหน้า และเอื้อมไปเกาะกุมมือของหล่อนไว้ บีบมือแตกกร้านนั้นแผ่วเบา ลูบไล้ไปบนตุ่มไตของความกร้านของแต่ละนิ้วนั้นอย่างเลื่อนลอย
"เก้าร้อยแปดสิบ จะไปได้ไกลแค่ไหนกัน ฉันเป็นห่วงลูก" หล่อนเอ่ยอีกครั้ง
ปีนี้ลูกชายคนเดียวของหล่อนอายุสิบเก้า เรียนจบมัธยมศึกษาปีที่หกแล้ว เขาเป็นหนุ่มน้อยผู้มีนัยน์ตาเคลิ้มฝัน แววตาที่หล่อนเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อนานมา เมื่อวันที่เขาบอกความฝันกับหล่อน ด้วยเหตุผลสารพันที่ยกมาเอ่ยอ้าง หล่อนพยายามทัดทาน ด้วยรู้ดีว่าลูกคนยากคนจนแบบพวกหล่อน จะไปได้ไกลสักเพียงไหน จะมีที่ทางตรงไหนให้ไปไขว่คว้ากันได้เล่า เมืองกรุงที่ลูกหวังไปตามหาความฝันไม่ใช่สิ่งง่ายที่จะสมหวัง ด้วยลูกชายหล่อนไม่ใช่คนแรกที่ปรารถนาสิ่งนี้
"พี่ ... มันเป็นยังไงเมืองกรุง การกินการอยู่ จะลำบากแค่ไหน ฉันเป็นห่วงลูก"
ผู้เป็นผัวไม่ตอบหล่อน ภาพเด็กหนุ่มอีกคนฉาบทาบมาในความคิดคำนึง เด็กหนุ่มคนนั้นกับกระเป๋าสะพายใบย่อม กับความรู้เพียงชั้นประถมสี่ หากแต่แววตานั้นมีความฝันความหวังปรารถนาแรงกล้าไม่ต่างกัน หนุ่มน้อยคนนั้นเข้าเมืองกรุงไปกับรถส่งของที่มาส่งของเป็นประจำในหมู่บ้าน การอาศัยติดรถไปทุ่นค่ารถไปได้หลายบาท เมืองกรุงยามนั้น รถรายังไม่ขวักไขว่ เด็กหนุ่มคนนั้นมุ่งตรงไปวัดตามคำแนะนำของรุ่นพี่ผู้กลับมาอย่างมั่งคั่ง ผู้จุดประกายไฟฝันให้เขาก้าวเดินตาม เขากินอยู่ที่วัดกับหลวงพ่อผู้เมตตา หากแต่งานที่เขาได้ทำกรรมกรแบกหาม ที่มองไม่เห็นทางร่ำรวยใด ๆ นับวันความฝันเขาเริ่มโรยรา พร้อมกับร่างกายที่ทรุดโทรมลง หนทางข้างหน้าที่เคยมองว่าสดใส กลับมีแต่เมฆหมอกอึมครึม จนถึงวันที่เขาได้ข่าวว่ารุ่นพี่ผู้มั่งคั่งถูกจับด้วยข้อหาค้ายาเสพติด เมื่อนั้นเขาจึงบรรลุ หาใช่เมืองกรุงและอาชีพสุจริตไม่ที่ทำให้คนจนแบบพวกเขาร่ำรวย เมื่อนั้นเขาจึงลาหลวงพ่อกลับบ้าน กลับมาหาหล่อนผู้เป็นที่รัก ผู้รอเขามาหมั้นหมายด้วยทองสองบาทที่เคยฝัน หากเขาทำให้หล่อนได้เพียงแค่ผูกข้อไม้ข้อมือ กับบ้านโกโรโกโส และที่ดินเพียงสิบไร่
วันที่ลูกเดินมาบอกถึงแรงปรารถนา...ผู้เป็นพ่อจึงไม่กล้าเอ่ยปากทัดทาน ด้วยน้ำเสียงและแววตานั้นช่างคุ้นชินและเคยสัมผัสมันมาก่อน ผู้เป็นพ่อได้แต่หวังว่าหลายปีที่ผันผ่านจะมีความเปลี่ยนแปลง จะมีโอกาสให้คนแบบพวกเขา เมืองกรุงยังคงเป็นแหล่งให้ไปตามหาฝัน ฝันของคนยากจนแบบพวกเขา
ผู้เป็นผัวหันไปมองหน้าหล่อน เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา
"มันอาจเป็นไปได้ มันอาจจะสำเร็จ ลูกอาจทำได้ดีกว่าพี่ ทุกอย่างอาจเปลี่ยนไป เมืองกรุงไม่มีโอกาสให้พี่ แต่อาจมีสำหรับลูกของเรา เราต้องเชื่อมั่น แม้ว่ามันจะเลือนลาง"
คำพูดนั้นผู้เป็นผัวไม่ได้เอ่ยเพื่อปลุกปลอบหล่อนหรอก มันสำหรับปลุกปลอบใจตัวเองมากกว่า... และวันนี้ผู้เป็นพ่อจะได้ร่วมฝันนั้นอีกครั้ง และหวังว่าฝันนี้มันจะเป็นจริงได้ในรุ่นของลูก
ในขณะที่อีกด้านของความมืด เด็กหนุ่มนอนฟังเสียงลมหวีดหวิวด้วยอีกความรู้สึก พรุ่งนี้เขาจะไปกับลุงทมคนขับรถบรรทุกที่เคยพาพ่อเขาเข้ากรุงไปในคราก่อน เขาหวังเหลือเกินว่าครั้งนี้ทุกอย่างจะแปรเปลี่ยนไป เมืองกรุงที่ยังคงเป็นแหล่งตามหาฝันของคนรุ่นต่อรุ่น ฝันของพวกเขาชาวบ้านต่างจังหวัด ที่อยากไปเสาะแสวงหา ... เงินตรา และความเท่าเทียม เขาว่ามันมีอยู่ ณ ที่แห่งนั้น
เช้าวันนั้นพวกเขาตื่นแต่เช้า เด็กหนุ่มถือกระเป๋าขึ้นพาดสะพายบนบ่า ในมือกำถุงพลาสติกที่แม่มัดรวมทั้งแบงค์และเหรียญรวมกันไว้ในนั้น ยกมือขึ้นไหว้ลาพ่อกับแม่ด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยวแต่ดวงตามีน้ำเอ่อคลอ
...▪︎