เมื่อเราเป็นคนส่งอาหารไทยในอเมริกา คุ้มค่าเหนื่อย จริงหรือ
ในร้านอาหารไทยทั่วไปในอเมริกาจะมีตำแหน่งงานมากมายให้คนไทยได้ทำกัน เช่น พนักงานเสริฟ พ่อครัวแม่ครัว โฮสเทส และยังมีอีกหนึ่งตำแหน่งที่ทำงานนอกร้านค่ะ เรียกได้ว่า เป็นตำแหน่งที่สามารถทำเงินได้ไม่น้อย นั่นก็คือ คนส่งอาหาร หรือที่คนไทยเรียกสั้นๆ ว่า “Delivery” ค่ะ
คนทำงาน Delivery นี้ จะมีหน้าที่คอยส่งอาหารไทย ที่ลูกค้าสั่งเมนูมาทางโทรศัพท์ ส่วนใหญ่พนักงานในร้านหรือโฮสเทสจะทำการรับออเดอร์จากลูกค้าที่โทรศัพท์มาเอง
เราเคยมีโอกาสเข้าไปทำงานนี้เหมือนกันค่ะ คือได้ทำด้วยความบังเอิญจริงๆ เนื่องจากคนทำงานประจำตำแหน่งนี้ รถเขามีปัญหาไม่สามารถมาทำงานในวันนั้นได้ เราว่างพอดีก็เลยได้เสียบตำแหน่งนี้แทนค่ะ ร้านไทยที่เราทำอยู่นั้นเค้าให้เริ่มงาน ประมาณ 6 โมงเย็น ซึ่งเวลานี้จะเป็นช่วงที่ลูกค้าเริ่มสั่งออเดอร์กันมาก
ลูกค้าที่สั่งออเดอร์ จะมีทั้งที่มารับอาหารไทยในร้านเพื่อนำกลับไปทานเองที่บ้าน และอีกประเภทหนึ่ง คือ ลูกค้าสั่งออเดอร์ไว้แล้ว เราซึ่งเป็นคนส่งอาหาร ต้องนำไปส่งให้ถึงมือผู้รับ ทางลูกค้าจะบอกที่อยู่ให้ หลังจากที่ลูกค้าสั่งอาหารแล้ว แม่ครัวก็จะทำตามสั่งและเมื่อทำเสร็จแล้ว เรามีหน้าที่เข้าไปช่วยในการแพคอาหารใส่กล่อง และต้องตรวจด้วยว่าอาหารที่ลูกค้าสั่งนั้นถูกต้องหรือไม่ เมื่ออาหารตามรายการที่ลูกค้าสั่งมาเสร็จหมดแล้ว
คราวนี้ก็มาถึงขั้นตอนที่ ตื่นเต้นและลุ้นระทึกค่ะ เราต้องนำอาหารทั้งหมดไปส่งให้ถึงมือลูกค้าอย่างรวดเร็วและทันเวลาด้วย อุปกรณ์คู่ชีพที่ขาดไม่ได้สำหรับอาชีพนี้คือ แผนที่ และ จีพีเอส GPS ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่สามารถนำพาเราไปถึงจุดมุ่งหมายได้ (แต่บางครั้งเจ้า GPS นี้แหละที่พาเราหลงและอ้อมอยู่เสมอ) เราก็ใส่ที่อยู่ของลูกค้าลงไปในเครื่อง GPS นี้หล่ะค่ะ ซักพักเจ้า GPS ก็จะประมวลผล แล้วบอกเส้นทางให้เราว่าต้องไปทางไหน หลังจากขับตาม GPS แล้ว พอถึงที่หมายก็เข้าไปกดกริ่ง หรือเคาะๆประตูบ้านลูกค้า แล้วเอาอาหารพร้อมใบเสร็จให้ลูกค้าเซ็นต์ ลูกค้าก็จะเซ็นต์ชื่อพร้อมกับให้ทิปเป็นรางวัลค่าเหนื่อย ฝรั่งที่นี้ให้ทิปมากน้อยแตกต่างกันค่ะ เราเคยได้ทิปจากฝรั่งใจดีบ้านนึง เค้าควักตางค์ให้ประมาณ 20 ดอล ค่ะ วันนั้นดีใจสุดๆเลยทีเดียว แต่บางวันเจอลูกค้าบางรายที่งกแสนงก ให้ทิปแค่ 1 หรือ 2 ดอลเท่านั้น
คนทำงานส่งอาหาร (Delivery) อย่างเรา นอกจากจะได้ทิปจากลูกค้าแล้ว ยังได้ค่าเปอร์เซ็นต์จากค่าอาหารที่ลูกค้าสั่งด้วย 15 -20 เปอร์เซ็นต์ ได้มากน้อยขึ้นอยู่กับข้อตกลงของร้านนั้นๆ ค่ะ
ส่วนใหญ่เราจะได้ทำงานส่งอาหาร (Delivery) ช่วงวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ค่ะ วันธรรมดาลูกค้าไม่เยอะ เจ้าของร้านหรือผู้จัดการร้านเค้าจะทำหน้าที่ส่งอาหารเอง
เราทำคืนนึง เริ่มงาน 6 โมงเย็น ถึง ประมาณ 3 ทุ่มกว่า ก็จะได้รายได้มากกว่า 60 ดอล บางวันลูกค้าเยอะก็จะได้มากกว่า 100 ดอล (ขึ้นอยู่กับราคาค่าอาหารและทิปจากลูกค้าแต่ละคน)
ข้อดีของงานส่งอาหาร (Delivery)
1 เป็นงานที่ท้าทายความสามารถ เข้างานช้า เลิกงานไวกว่าคนทำงานในร้าน
2 ไม่ต้องเข้าไปเก็บกวาด ทำความสะอาด หรือจัดการใดๆในร้านอาหาร
3 ได้ทิปจากลูกค้า และเปอร์เซ็นต์ ค่าอาหาร โดยที่ไม่ต้องนำมาแบ่งใคร บางวันลูกค้าเยอะ อาจได้มากถึง 100-200 ดอล/วัน
ข้อเสียของงานส่งอาหาร (Delivery)
1 ร้านอาหารไทยหลายร้านไม่มีค่าน้ำมันให้ ดังนั้นเราต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆในการเดินทางเอง บางครั้งเรา ต้องจ่ายค่า ทางด่วน เองด้วย
2 รายได้ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับค่าอาหาร, ทิปจากลูกค้า และสภาพอากาศด้วย เช่น หน้าร้อน คนจะชอบออกไปทานอาหารข้างนอกกันมาก ไม่ต้องพึ่งคนส่งอาหาร ส่วนหน้าหนาว ฝนตก คนไม่ชอบออกมากินนอกบ้าน คนทำงานส่งของอย่างเราจึงต้องทำงานกันอย่างหนัก (และรายได้หนัก)ในช่วงนี้
3 คนที่ไม่ชำนาญพื้นที่อาจหลงได้ง่าย บางคนขับรถไวเพื่อให้ลูกค้าได้ทันใจ แต่กลับโดน Ticket จากตำรวจเป็นของแถม
4 เนื่องจากตำแหน่งนี้เราต้องใช้รถส่วนตัวของเราเอง ทางร้านไม่มีรถประจำตำแหน่งให้ ทำให้รถเรามีโอกาสเสื่อมสภาพ หรือพังได้ง่ายๆค่ะ
5 เราต้องส่งอาหารในช่วงกลางคืน ทำให้เป็นงานที่ค่อนข้างอันตรายสำหรับผู้หญิง
ส่วนตัวของเราชอบงานนี้ค่ะ เนื่องจากไม่ต้องเขาไปยุ่งกับคนในร้านอาหารให้รำคาญใจ เข้างานช้า เลิกงานไวกว่าคนทำงานในร้าน เมื่อเลิกงานแล้วไม่ต้องมาเสียเวลาทำความสะอาดร้านด้วย ถึงแม้บางวันจะมีลูกค้ามาก ทำให้เราต้องไปส่งอาหารทีละประมาณ 10-20 บ้าน มันยิ่งท้าทาย ความสามารถเรามากๆเลย และยิ่งดีใจมากไปกว่านั้นเมื่อถึงบ้านลูกค้าแล้วเค้าควักแบงค์ 10 หรือ 20 ดอล มาเป็นทิปค่าเหนื่อย
สำหรับคนที่สนใจงานตำแหน่งนี้ก็สามารถเข้าไปสอบถามในร้านอาหารไทย, ร้านญี่ปุน, ร้านจีน หรือร้านขายพิชช่า ดูได้ค่ะ เลือกด้วยนะค่ะว่าร้านนี้ดูมีลูกค้าเยอะมั้ย เพราะเมื่อเราเข้าไปทำงานแล้ว แต่ร้านไม่มีออเดอร์จากลูกค้าเลยก็แย่ค่ะ เราต้องนั่งดำรงค์ตำแหน่งโดยไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ตังด้วย เข้าไปสมัครและสอบถามรายละเอียดของแต่ละร้านดูค่ะ ถ้าร้านไหนที่ดูแล้วเข้าท่า ก็ลุยค่ะ