สัตว์ลึกลับในโลก (SEA)
เรื่อง เล่าขานของอสุรกายใต้ท้องทะเลในโลกนี้ คงไม่มีเรื่องใดจะสร้างความพรั่นพรึงให้ลูกทะเลอย่างเรื่องของ Kraken อีกแล้ว จากเรื่องเล่าขาน เจ้าสัตว์ยักษ์ตัวนี้มีขนาดมหึมา มีหนวดใหญ่ยุ่บยั่บ โผล่ขึ้นจากน้ำพรวดเดียวก็สูงกว่าเสากระโดงเรือ เจ้า Kraken ชอบที่จะโจมตีเรือเดินสมุทรอย่างกระทันหัน โอบหนวดของมันรัดลำเรือเอาไว้ หนวดที่เหลือมันจะรัดลูกเรือจนกระดูกแหลกเหลว บ้างก็รัดเข้ามาป้อนเข้าปากอันน่ากลัวของมัน เห็นไหมล่ะครับว่า ในบรรดาเรื่องเล่าเกี่ยวกับสัตว์ยักษ์ใต้สมุทร คงไม่มีเรื่องใดจะน่าสยดสยองเท่าความดุร้ายของ Kraken อีกแล้ว
เรื่อง ราวของ Kraken อสูรร้ายอันโด่งดังจากทะเลเหนือ ที่จมเรือเดินสมุทรไปนักต่อนัก ก็คงมีพื้นฐานมาจากเจ้าปลาหมึกยักษ์นี่เองล่ะครับ จากสถิติที่เคยบันทึกกันไว้ ปลาหมึกยักษ์ที่ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ค้นพบ ถูกชาวประมงสามคนพบเห็นใน Timble Tickle เมื่อวันที่ 2 พ.ย. ปี ค.ศ. 1878 ขณะนั้นพวกเขาหาปลาอยู่ไม่ห่างจากชายฝั่งมากนัก หนึ่งในนั้นสังเกตว่ามีซากอะไรบางอย่างกระจุยกระจายอยู่ไม่ไกลจากพวกเขานัก เมื่อเข้าไปสำรวจใกล้ๆพวกเขาก็พบกับรูปร่างที่แท้จริงของเจ้าซากนั้น ปลาหมึกยักษ์นั่นเอง
พวกเขาใช้สมอเรือต่างเชือกมัด และพยายามสุดฤทธิ์ที่จะลากเจ้าสัตว์ยักษ์ตัวนั้นขึ้นบนฝั่ง น่าแปลกที่กล้ามเนื้อบางส่วนของปลาหมึกยักษ์นั้นยังคงมีชีวิตอยู่ ชาวประมงทั้งสามลากมันขึ้นไปบนบกและปล่อยให้ปลาหมึกแห้งตาย หลังจากเฝ้ารออยู่นานและแน่ใจว่าสัตว์ยักษ์ตัวนี้สิ้นฤทธิ์ไปแล้ว พวกเขาก็พากันมาวัดขนาดและตัดเอาบางส่วนของเนื้อมันไปเป็นอาหารหมา จากหัวจรดหางของเจ้าปลาหมึกยักษ์มีความยาว 20 ฟุต หนวดเส้นที่ยาวสุดยาวถึง 35 ฟุต ซึ่งยุ่บยั่บไปด้วยเขี้ยวแหลมคมที่มีขนาดถึง 4 นิ้ว ดังที่กล่าวไปแล้วว่า อาหารโปรดของปลาหมึกยักษ์นั้นคือปลาวาฬเสปิร์ม เคยมีพนักงานประภาคารในแอฟริกาใต้สองคน เห็นการล่าเหยื่ออันน่าสยดสยองนี้กับตา เมื่อเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1966 พวกเขากล่าวว่าเขาเห็นปลาหมึกยักษ์ตรงเข้าจู่โจมปลาวาฬเสปิร์มหนุ่ม การต่อสู้ตามธรรมชาติดำเนินไปถึงชั่วโมงครึ่ง และจบลงด้วยชัยชนะของนักล่า "เราคงไม่มีโอกาสเห็นปลาวาฬตัวนั้นอีกแล้วชั่วชีวิต" เจ้าหน้าที่หนึ่งในสองเอ่ยขณะให้สัมภาษณ์
เรื่องของ Kraken ถูกเล่าขานมานานเท่าใดไม่ปรากฏ แต่บันทึกที่เป็นหลักฐานครั้งแรก มาจากนอร์เวย์ครับ เป็นเรื่องราวที่อ้างถึงสิ่งมีชีวิตขนาดเท่าเกาะ ในหนังสือชื่อ The Natural History of Norway ที่เขียนโดยบิชอปแห่งเบอร์เก้น Erik Ludvigsen Pontoppidan ท่านได้บรรยายเกี่ยวกับ Kraken เอาไว้ว่า มันเปรียบเสมือนเกาะลอยน้ำขนาดย่อม ขนาดความยาวลำตัวยาวถึงครึ่งไมล์ อะไรมันจะขนาดน้าน จริงไหมครับ? แต่เรื่องราวในช่วงถัดมาเกี่ยวกับคราเก้นก็ค่อยๆลดขนาดของมันลงเรื่อยๆ ไม่มหึมาโอฬาริกอย่างในอดีต ถึงกระนั้นก็ยังจัดเป็นสัตว์ไซส์ยักษ์อยู่ดีครับ
Kraken ในตำนานของ ทะเลเหนือ ในสายตาของนักชีววิทยาแล้ว มันคงเป็นสัตว์ประเภทปลาหมึกยักษ์เสียมากกว่าครับ ลักษณะของปลาหมึกชนิดนี้มักจะก้าวร้าวรุกราน และขึ้นมาหาเหยื่อเหนือผิวน้ำเมื่อแลเห็นมนุษย์ ขนาดของมันไม่ถึงกับยาวกว่าครึ่งไมล์ตามบันทึกของท่านบิชอปหรอกนะครับ ถึงกระนั้นขนาดของมันก็สูสีกับสัตว์ที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลก คือปลาวาฬเสปิร์มอยู่ดี ในปี 1930 มีรายงานการโจมตีเรือของเจ้าปลาหมึกชนิดดังกล่าว นักชีววิทยาและผู้ชำนาญการคาดว่า เจ้า Kraken (หรืออาจจะเป็นปลาหมึกยักษ์ Giant Squid) นี้โจมตีเข้า เพราะเรือของมนุษย์เราดันไปมีรูปร่างคล้ายปลาวาฬ อาหารหลักของเจ้าปลาหมึกนี่เอง
จากรายงานของผู้ประสบเหตุ ปลาหมึกดังกล่าว มีขนาดมหึมากันเหลือเกินครับ โดยเฉลี่ยมันจะยาวประมาณ 100 ฟุต น้ำหนักประมาณ 2-3 ตัน ยังกะก็อตซิลล่าทะเลแน่ะ นึกภาพออกไหมครับว่า ถ้าเรือเดินสมุทรโดนสัตว์ยักษ์ทรงพลังขนาดนี้เข้าโจมตีแล้ว อะไรมันจะไปเหลือ และบริเวณที่เกิดเหตุส่วนมาก จะเกิดกับเรือเดินทะเลที่ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติคครับผม....
มาดู เรื่องของปลาหมึกยักษ์ อันน่าจะเป็นต้นตอของตำนาน Kraken กันบ้างดีไหมครับ? ปลาหมึกขนาดใหญ่ที่สุด เท่าที่เรารู้จักกันในระดับที่สารบบชีววิทยายอมรับอย่างเป็นทางการ เป็นปลาหมึกที่อยู่ในตระกูล Architeuthis ซึ่งหาผู้พบเห็นได้น้อยมาก และปัจจุบัน เรายังไม่ทราบลักษณะการดำรงชีวิตของมันเท่าไรนัก
ปลา หมึกยักษ์จริงๆแล้วไม่ใช่สัตว์ตระกูลปลานะครับ เป็นพวก mollusks หรือหอยที่กินเนื้อเสียมากกว่า มีรูปร่างคล้ายๆกับภาพจำลองด้านขวามือนั่นแหละครับ ยาวแหลมเป็นตอปิโดเชียว มันมีปากที่แข็งแรงพอที่จะกระชากเคบินเรือที่ทำจากเหล็กกล้า ให้กระจุยเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้ หนวดทั้งห้าของมันนั้นมีอยู่เส้นหนึ่ง ที่ยาวและเพรียวกว่าเส้นอื่นๆ มีหน้าที่จับอาหารและป้อนเข้าสู่ปากอันน่าพรั่นพรึง ถัดจากปากก็เป็นลูกกะตาล่ะครับ ถือว่าเป็นตาที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาตาของสิ่งมีชีวิตทีเดียวเลย เพราะมันมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 18 นิ้ว
ปลาหมึกทุกประเภทเคลื่อนที่ ด้วยการพ่นน้ำ ทำนองเดียวกับเครื่องยนต์เจ็ทล่ะครับ แต่เปลี่ยนจากเชื้อเพลิงมาเป็นน้ำแทน พวกมันท่องเที่ยวหาอาหารไปเรื่อยๆ กินปลา, ปลาหมึกด้วยกัน, และร้ายที่สุดก็คือ กินปลาวาฬครับอาหารโปรดเค้าเลย
เปรียบเทียบขนาด กับสิ่งที่เราคุ้นเคยครับ "ยักษ์" สมชื่อดีไหม?
เรื่อง ราวของ Kraken อสูรร้ายอันโด่งดังจากทะเลเหนือ ที่จมเรือเดินสมุทรไปนักต่อนัก ก็คงมีพื้นฐานมาจากเจ้าปลาหมึกยักษ์นี่เองล่ะครับ จากสถิติที่เคยบันทึกกันไว้ ปลาหมึกยักษ์ที่ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ค้นพบ ถูกชาวประมงสามคนพบเห็นใน Timble Tickle เมื่อวันที่ 2 พ.ย. ปี ค.ศ. 1878 ขณะนั้นพวกเขาหาปลาอยู่ไม่ห่างจากชายฝั่งมากนัก หนึ่งในนั้นสังเกตว่ามีซากอะไรบางอย่างกระจุยกระจายอยู่ไม่ไกลจากพวกเขานัก เมื่อเข้าไปสำรวจใกล้ๆพวกเขาก็พบกับรูปร่างที่แท้จริงของเจ้าซากนั้น ปลาหมึกยักษ์นั่นเอง
พวกเขาใช้สมอเรือต่างเชือกมัด และพยายามสุดฤทธิ์ที่จะลากเจ้าสัตว์ยักษ์ตัวนั้นขึ้นบนฝั่ง น่าแปลกที่กล้ามเนื้อบางส่วนของปลาหมึกยักษ์นั้นยังคงมีชีวิตอยู่ ชาวประมงทั้งสามลากมันขึ้นไปบนบกและปล่อยให้ปลาหมึกแห้งตาย หลังจากเฝ้ารออยู่นานและแน่ใจว่าสัตว์ยักษ์ตัวนี้สิ้นฤทธิ์ไปแล้ว พวกเขาก็พากันมาวัดขนาดและตัดเอาบางส่วนของเนื้อมันไปเป็นอาหารหมา จากหัวจรดหางของเจ้าปลาหมึกยักษ์มีความยาว 20 ฟุต หนวดเส้นที่ยาวสุดยาวถึง 35 ฟุต ซึ่งยุ่บยั่บไปด้วยเขี้ยวแหลมคมที่มีขนาดถึง 4 นิ้ว
ดังที่ กล่าวไปแล้วว่า อาหารโปรดของปลาหมึกยักษ์นั้นคือปลาวาฬเสปิร์ม เคยมีพนักงานประภาคารในแอฟริกาใต้สองคน เห็นการล่าเหยื่ออันน่าสยดสยองนี้กับตา เมื่อเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1966 พวกเขากล่าวว่าเขาเห็นปลาหมึกยักษ์ตรงเข้าจู่โจมปลาวาฬเสปิร์มหนุ่ม การต่อสู้ตามธรรมชาติดำเนินไปถึงชั่วโมงครึ่ง และจบลงด้วยชัยชนะของนักล่า "เราคงไม่มีโอกาสเห็นปลาวาฬตัวนั้นอีกแล้วชั่วชีวิต" เจ้าหน้าที่หนึ่งในสองเอ่ยขณะให้สัมภาษณ์
อย่าว่าแต่ลูกปลาวาฬ แรกรุ่นเลยครับ ขนาดปลาวาฬเสปิร์มตัวที่โตเต็มที่หนักราว 40 ตัน ก็ยังเสร็จปลาหมึกยักษ์มาแล้ว เรื่องนี้ถูกรายงานโดยนักล่าปลาวาฬชาวรัสเซีย เมื่อปี 1965 พวกเขาพบปลาวาฬเสปิร์มตัวหนึ่งลอยเท้งเต้งแบบแปลกๆ จึงเข้าไปสำรวจดูในระยะใกล้ และพบว่ามันตายเสียแล้ว รอบตัวของมันถูกรัดด้วยหนวดของปลาหมึกยักษ์ ทว่าเจ้าปลาหมึกตัวดีก็ตายแล้วเช่นกันครับ มีคนพบหัวของมันอยู่ในกระเพาะปลาวาฬเสียด้วย นี่ล่ะมั้ง ที่เค้าเรียกว่าชีวิตแลกชีวิต
เป็นโชคร้ายของนักวิทยาศาสตร์ แต่ก็นับเป็นโชคดีสำหรับชีวิตมนุษย์มาก เพราะเราไม่ค่อยจะมีโอกาสได้เผชิญกับเจ้าปลาหมึกยักษ์เหล่านี้มากนัก เพราะตามธรรมชาติของปลาหมึกยักษ์ มันชอบที่จะอาศัยอยู่ตามน้ำลึกและบริเวณน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำเอามากๆมากกว่า จากงานวิจัยของ Dr. Ole Brix แห่งมหาวิทยาลัย Bergen ได้รับผลจากการวัดเลือดของปลาหมึกยักษ์ว่า เลือดของมันฟอกออกซิเจนได้ไม่ดีในที่ๆอุณหภูมิสูงปลาหมึกยักษ์มักจะหายใจไม่ ออกและขาดอากาศหายใจเอาได้ง่ายๆ หากต้องอยู่ในบริเวณที่ความกดต่ำและอุณหภูมิสูงนานๆ อุณหภูมิยังมีผลกระทบเกี่ยวกับการลอยตัวของปลาหมึกยักษ์ในน้ำด้วยนะครับ น้ำอุ่นๆมักจะทำให้สัตว์มหึมาเหล่านี้ลอยตัวขึ้นมาสู่เบื้องบนและหมดปัญญา ที่จะดำกลับลงไปยังจุดปลอดภัยได้ตามเดิม ยิ่งร้อนเท่าไหร่ โอกาสที่ปลาหมึกยักษ์จะขาดออกซิเจนและตายก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น ส่วนใหญ่ ในบริเวณที่พยานได้พบเห็นปลาหมึกยักษ์กัน มักจะเป็นบริเวณที่กระแสน้ำอุ่นกับกระแสน้ำเย็นมาตัดกัน ซึ่งจุดนั้น จะเป็นจุดที่ปลาหมึกยักษ์ปรับตัวไม่ทัน และเผอิญโผล่ขึ้นมา ให้ประชาชียลโฉมกันด้วยความพรั่นพรึงเล่นบ่อยๆด้วย
แล้วขนาดโตเต็ม ที่ของปลาหมึกยักษ์เหล่านี้ จะเติบโตได้สูงสุดขนาดไหนกันนะ? บางท่านอาจถามในใจอยู่แบบนี้ นักชีววิทยาก็ยังให้คำตอบที่แน่ชัดไม่ได้ เพราะปัจจุบัน เราก็ยังรู้เรื่องเกี่ยวกับมันน้อยมาก ไม่แน่ว่า ตัวเต็มที่ที่มีอายุเยอะๆของปลาหมึกยักษ์ อาจจะมีขนาดที่ใหญ่โตเกินกว่าจินตนาการของเราก็ได้ ลองมาฟังเรื่องของ A. G. Starkey หนึ่งในลูกเรือเดินสมุทรที่บังเอิญพบเห็นมัน ขณะโดยสารเรือข้ามมหาสมุทรอินเดียดูสิครับ
"มันลอยเทียบขนานมากับลำ เรือ" เขากล่าว "ผมไม่แน่ในทีแรกว่า เสิ่งี่ผมเห็นนั้นมันคืออะไรกันแน่ มันเรืองแสงได้ครับ คล้ายๆกับสัตว์ประเภทปลาหมึก ตอนนั้นผมตกใจและนึกถึงคำเล่าขานของชาวเรือขึ้นมา ผมลองเดินจากอีกด้านของดาดฟ้าเรือ ไปจนกระทั่งถึงปลายสุดอีกข้างของร่างที่เรืองแสงได้นั้น มันแทบจะสุดลำเรือเลยทีเดียว ขอบคุณพระเจ้า ที่มันไม่นึกสนุกอยากจะปล้ำกับเรือโดยสารของเราขึ้นมา" A. G. Starkey กล่าวทิ้งท้ายไว้ในที่สุด
ครับ.. คงต้องขอบคุณพระเจ้าอย่างที่เขาว่า เพราะลงถ้าตัวของมันยาวแทบจะเท่าลำเรือขนาดนั้นแล้วล่ะก็ เกิดโดนโจมตีขึ้นมา ก็นึกภาพไม่ออกล่ะครับ ว่าบรรดาลูกเรือทั้งหลาย ใครจะมีโอกาสรอดได้บ้าง ก็เรือลำนั้นความยาวตลิดลำตั้งร้อยกว่าฟุตนี่ครับ บรื๋อ พูดแล้วสยอง
ตัวที่ 2 Mokele Mbembe สัตว์ลึกลับผู้หยุดสายน้ำ
คราว นี้จะพาไปติดตามเรื่องของสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งหรือสายพันธ์หนึ่ง ซึ่งจะว่าไปมันก็ไม่ใช่สัตว์ประหลาดเสียทีเดียว เอาเป็นว่าเป็นสัตว์ลึกลับที่ยังไม่ปรากฏหลักฐานในการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ อย่างเป็นชิ้นเป็นอัน หรือว่าแบบชัดเจนละกัน เจ้าสัตว์ลึกลับนี้ก็คือ "Mokele Mbembe" หรือในความหมายว่า "ผู้หยุดสายน้ำ"
ตามหลักฐาน บันทึกการมีอยู่ (ถ้ามันมีตัวตนอยู่จริง) ของเจ้าสัตว์ชนิดนี้ตามที่ทางชาวตะวันตกเค้าได้บันทึกเอาไว้เป็นครั้งแรก นั้นก็เมือเมื่อปี ค.ศ.1776 น่ะครับ เป็นบันทึกของบาทหลวงชาวฝรั่งคนหนึ่งที่ชื่อ Lievain Proyart ซึ่งได้บันทึกสถานที่ที่เห็นเจ้า Mokele Mbembe เอาไว้ว่าอยู่ในประเทศคองโกทวีปแอฟริกา ซึ่งได้เจอโดยบังเอิญตอนท่านเข้าไปเผยแพร่ศาสนาแก่ชนพื้นเมืองที่นั่น ตามบันทึกของบาทหลวงผู้นี้ได้บรรยายลักษณะของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ว่า ไม่เหมือนกับบรรดาสรรพสัตว์ที่ท่านเคยเห็นมาก่อน และดูเหมือนมีลักษณะคล้ายไดโนเสาร์ในยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์มากกว่า และได้บรรยายถึงลักษณะของรอยเท้าที่อยู่บนดินที่มีรอยกรงเล็บของมันเอาไว้ ด้วยว่ามีขนาด 3 ฟุตที่วัดโดยรอบ ก็นับว่าเป็นจุดกำเนิดให้กับเรื่องเล่าขานจากสัตว์ลึกลับที่คองโกเลยทีเดียว ต่อมาในปี ค.ศ.1909 นาย Paul Gratz ก็ได้บันทึกเรื่องราวถึงลักษณะของเจ้าสัตว์นี้เช่นกันเมื่อเขาได้เห็นมัน เข้า "มันอาจจะดูคล้ายกับจระเข้ตัวโตมากแต่ว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน ผิวหนังของมันไม่มีเกล็ดเลยและเท้าก็มีกรงเล็บอยู่ทั้งสี่ข้าง" ซึ่ง Paul เล่าว่าได้เห็นมันขณะที่มันว่ายน้ำอยู่ในบึงที่ใกล้กับทะเลสาบ Bangweulu ที่ประเทศแซมเบีย (Zambia) ซึ่งเขาตั้งชื่อเจ้าสัตว์ตัวนี้ว่า nsanga
มา ต่อกันที่ปี ค.ศ.1920 ในปีนี้ข่าวของเจ้า Mokele Mbembe ก็ได้กระจายเพิ่มมากขึ้นและมีการตั้งคณะออกค้นหามันกันอย่างมากมาย เรียกได้ว่าเป็นยุคทองของเจ้าสัตว์ตัวนี้หรือชนิดนี้กันเลยทีเดียว จนถึงขนาดมีการตั้งสมาคมขึ้นมาเพื่อค้นหาโดยเฉพาะก็มี รวมไปถึงข่าวลือและรายงานการพบเห็นปลอมก็ออกมาอย่างมากมายเช่นกัน แต่ก็เหมือนเดิมครับยังไม่มีข่าวหรือว่าหลักฐานอะไรเพิ่มเติมมากไปกว่า รายงานการพบเห็น และหลายคณะที่ออกค้นหาก็ได้มีการยอมแพ้และล้มเลิกไปตามๆ กัน จนกระทั่งแทบจะลืมเรื่องราวของมันไปจนกระทั่งในปี ค.ศ.1948 เมื่อนักสัตววิทยา Ivan T. Sanderson ได้เขียนรายงานออกมาอีกครั้ง เกี่ยวกับการตามรอยสัตว์ที่ไม่สามารถระบุชนิดได้ที่มีลักษณะคล้ายไดโนเสาร์ หรือก็คือเจ้า Mokele Mbembe นั่นเอง ทำให้มีการจุดประกายในการออกตามหากันขึ้นมาอีกครั้ง
ต่อมาในปี ค.ศ.1960 ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลื้อยคลาน James H. Powell Jr. ก็มีความสนใจในตัวเจ้า Mokele Mbembe เช่นกัน และเริ่มออกค้นหาครั้งแรกในปี 1972 และครั้งต่อมาในปี 1976 ก็ได้หลักฐานและรูปถ่ายของร่องรอยของมันมากขึ้น และกับการสำรวจอีกครั้งในปี 1980 คราวนี้มีนักสัตววิทยา Roy P. Mackal เดินทางไปด้วยและได้พบรายงานของการพบเห็นและข้อมูลอย่างมากมายที่บริเวณ ทะเลสาบ Tele บางรายงานกล่าวว่ามันมีขนาดความยาวจากคอหางประมาณ 25 -30 ฟุต ผิวสีน้ำตาลแก่ หรือบางรายงานกล่าวว่าเห็นหงอนกับแนวขนที่หลังของมันด้วย และรายงานอีกเป็นพันฉบับที่กล่าวว่า Mokele Mbembe นั้นถูกฆ่าตายไปเรียบร้อยแล้วโดยชนพื้นเมืองที่นั่น และได้นำเอาเนื้อของมันมาแบ่งกินกัน แต่ผู้ที่กินเนื้อก็ตายเรียบไปด้วย
ใน การออกค้นหาครั้งต่อมาในปี 1981 คราวนี้ได้ระดมเหล่านักวิชาการจากหลายสาขาที่มีความชำนาญมารวมกันทั้ง นักธรรมชาติวิทยา นักสัตววิทยา ผู้ชำนาญด้านพื้นที่และภูมิประเทศรวมไปถึงวิศวกรที่มีความเชื่อในการมีตัวตน อยู่ของเจ้าสัตว์ชนิดนี้มารวมกัน คราวนี้ความหวังของพวกเขาดูจะใกล้ความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจากการพวกเขาที่ได้ยินรายงานการพบเห็นเกี่ยวกับมันในครั้งล่าสุด ที่มีการพบร่องรอยของสัตว์ตัวโตที่หลุดไปยังแม่น้ำในรัฐ Epena และพบรอยเท้ามากมายและรอยย่ำเป็นทางเดินบนแปลงผักของมันอย่างชัดเจน ทั้งยังชาวบ้านในละแวกนั้นได้ยินเสียงคำรามหรือเสียงร้องจากสัตว์ที่พวกเขา ไม่รู้จัก ชาวท้องถิ่นหลายคนอ้างว่า เห็นตัวของมันขณะที่มันกำลังเดินออกจากบริเวณหมู่บ้านลงแม่น้ำไปอีกด้วย และคาดกันว่าขนาดตัวของมันน่าจะยาวประมาณ 30 -35 ฟุต จากหัวถึงหาง แต่ทว่าเป็นน่าเสียดายที่การออกค้นหาครั้งสำคัญนี้ไม่ประสบความสำเร็จในการ ถ่ายหรือจับตัวเจ้าสัตว์ลึกลับมาได้ ซึ่งก็เป็นที่ผิดหวังของบรรดาผู้ที่รอคอยอย่างใจจดใจจ่อที่จะยลโฉมเจ้า Mokele Mbembe กันอย่างมาก ในตอนนี้อาจเป็นไปได้ว่า มันอาจโดนฆ่าตายไปก่อนหน้าที่คณะสำรวจนี้จะเข้าไปเรียบร้อยแล้วจากชาวเผ่า พื้นเมืองดังที่กล่าวไปในตอนต้น ในกรณีที่มันมีหลงเหลืออยู่ตัวเดียว
แต่ ถ้าในกรณีที่มันมีอยู่หลายตัวก็อาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งขอบเขตและความสามารถในการสำรวจอาจจะถูกกำจัดด้วยหลายๆ สิ่ง เช่น สภาพภูมิประเทศ สภาพอากาศ ความสามารถในการค้นหาหรือของเหล่าลูกทีม ชนพื้นเมือง รวมไปถึงบรรดาโรคภัยในป่าต่างๆ ก็อาจจะทำให้ประสิทธิภาพในการออกติดตามหา Mokele Mbembe มีไม่เต็มที่เท่าที่ควรก็เลยไม่สามารถหาหลักฐานที่เป็นชิ้นเป็นอันกว่านี้ ออกมาได้ ซึ่งหลังจากนั้นก็แทบจะไม่มีคณะออกตามหา ข่าวคราวหรือว่ารายงานของเจ้าสัตว์ชนิดนี้ออกมาอีกเท่าไหร่ ซึ่งเวลาผ่านนานไปก็เหลือแค่เพียงเรื่องราวของสัตว์ลึกลับ ลักษณะคล้ายกับไดโนเสาร์บรอนโตเซารัสที่อาศัยอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำในคองโก เป็นตำนานเล่าขานถึงการมีตัวตนของ Mokele Mbembe สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
ตัวที่3 Mothman
ม็อท แมน เนี่ยเป็นสิ่งมีชีวิตปริศนา ที่พบกันที่ รัฐเวสท์เวอร์จิเนียมีลักษณะคล้ายๆค้างคาวปนตัวมอธ ลักษณะท่าทางการเคลื่อนไหวเหมือนค้างคาวบวกผีเสื้อกลางคืน พบเห็นเป็นครั้งแรกเมื่อ 12 พ.ย. ค.ศ. 1966 และก็พบเห็นกันเรื่อยมา
อาจกล่าว ได้ว่าทศวรรษที่ 70-80 นั้น ม็อทแมน ถือเป็นตัวประหลาดแห่งปี เพราะมีข่าวของการพบมันกันหนาหูมากๆ แรกทีเดียวนั้น ตำรวจและเจ้าหน้าที่ คิดว่าเป็นแค่การเล่นพิเรนทร์ของวัยรุ่นหรือพวกจิตป่วนที่คิดจะแต่งตัวเลียน แบบ แบล็คแมน ซึ่งเป็นทีวีซีรี่ย์ที่ดังมากๆในสมัยนั้น เอาไปเอามาชักไม่ใช่แล้วสิครับ เพราะ ม็อทแมน ไปเกี่ยวพันกับปรากฏการณ์แปลกๆ น่ากลัวหลายๆครั้ง เช่น การถล่มของสะพาน Silver Bridge ตึกถล่ม หรือแม้แต่การปรากฏของ UFO ในหลายๆครั้ง แบบว่าไปที่ไหนซวยถึงนั้น
โดยลักษณะคร่าวๆ เกี่ยวกับเจ้าม็อทแมนนี้ก็จากคำบอกเล่า สรุปได้ดังต่อไปนี้
1. สูงประมาณเจ็ดฟิท ไม่มีหัว ตาอยู่แถวๆ อก
2. ปีกกว้างประมาณ 10 ฟิท สีปีกสีเทา
3. ผิวมีเกล็ดมาก
4. ตาสีแดง เปร่งแสงได้ และมีอำนาจสะกดจิต
5. บินได้
6. สามารถบินไกล ความเร็วประมาณ 100 ไมล์ชั่วโมง
7. มีเสียงกรี๊ดร้องเหมือนสุนัข
8. บางครั้งเสียงร้องแหลมเหมือนเกี่ยวกับสัตว์ที่ใช้ฟันแทะ หรือเครื่องยนต์ไฟฟ้า
9. สามารถก่อกวนเคลื่อนวิทยุ โทรทัศน์ได้
10. มีพลังจิตรู้อนาคต
ไม่ มีใครรู้ว่า ม็อทแมนแท้ที่จริงคือตัวอะไรกันแน่ แต่ข่าวที่เชื่อได้ก็คือ ในช่วงที่ ม็อทแมนปรากฏตัว จะมีชายแปลกหน้าใส่ชุดสีดำ หรือ น้ำตาลป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณใกล้เคียงเสมอๆ (ยังกะ MIB เลยแฮะ)
ส่วนมากรายงานการพบม็อทแมนนี้จะอยู่แถวๆ รัฐเวสท์เวอร์จิเนีย ครับ โดยมีรายงานดังต่อไปนี้
15 พฤศจิกายน 1966
สองคู่หนุ่ม-สาวแต่งงาน David และ Linda Scarberry และ Steve และ Mary Mallette กำลัง เดินทางตอนกลางคืนในเวสท์เวอร์จิเนียตะวันตก และผ่านโรงงาน และสถานีสัตว์ป่า ทันใดนั้นพวกเขาก็สังเกตเห็นดวงไฟสีแดงสองดวงในเงามืดใกล้ประตูรั้วโรงงาน เลยเกิดสงสัย จึงหยุดรถ, และพบสิ่งที่เหลือเชื่อเข้า เมื่อพบว่าดวงไฟสีแดงสองตัวนั้นคือสัตว์ประหลาดที่พวกเขาไม่เคยพบมาก่อนใน ชีวิต "รูปร่างเหมือนผู้ชาย สูงประมาณหก หรือเจ็ดฟิท มีปีกใหญ่ที่พับน่ากลัวมาก” พวกเขาตกใจกับสิ่งที่เห็นเลยขับรถหนี แต่มันก็พยายามไล่กวาดรถด้วยการบิน ความเร็ว 100 ไมล์เหนือกว่าต่อชั่วโมง อย่างไรก็ตามพอถึงระยะเวลาหนึ่งมันก็หายไปกลับความมืดแล้ว
24 พฤศจิกายน1966
พยานสี่ผู้คนอ้างว่าเห็นสิ่งมีชีวิตปริศนาบินอยู่เหนือพื้นที่ทดสอบวัตถุระเบิดแรงสูง
วันที่ 25 พฤศจิกายน 1966
ใน ตอนเช้า วันที่ 25 พฤศจิกายน 1966 Thomas Ury กำลังขับมาถึงเส้นทาง 62 ต้องทิศเหนือ ของเวสท์เวอร์จิเนีย เขาเห็นสิ่งมีชีวิตประหลาดชนิดหนึ่งบินอยู่ข้างรถของเขา และไล่กวดอย่างน่ากลัว
วันที่ 26พฤศจิกายน 1966
นาย Ruth Foster Charleston, ที่ เวอร์จิเนีย ตะวันตกเห็น ม็อทแมน ยืนอยู่บนสนามหญ้าหน้าบ้าน
วันที่ 27พฤศจิกายน 1966
ตอน เช้าของวันที่ 27 พฤศจิกายนหนุ่มสาวพบเห็นม็อทแมนใกล้ตึกเขตก่อสร้าง เวอร์จิเนียตะวันตก และ มีรายงานอย่างอีกครั้งในตอน กลางคืนวันเดียวกันโดยเด็กสองคน
ฯลฯ
แต่รายงานการพบเห็นที่ฮือฮาที่สุดเห็นจะไม่เกิดการพบเห็นที่สะพานซิลเวอร์
วันที่ 27พฤศจิกายน 1966 ที่สะพานซิลเวอร์
เพียง ไม่กี่เดือนก่อนการถล่มของสะพานซิลเวอร์ ในเวลานั้นพอยท์ พลีเซนท์ รัฐเวสท์เวอร์จิเนียนอกจากมีรายงานการพบเห็นม็อทแมนแล้ว ยังมีรายงานการพบจานบินยูเอฟโอ (UFO) มากมาย หรือการถูกก่อกวนโดยมนุษย์ประหลาดตัวสีเขียว ทำให้รู้สึกว่ากำลังมีสัญญาณเตือนบางอย่างพวกเขารู้
จนกระทั้ง........
สะพานซิลเวอร์เป็นสะพานที่ก่อสร้างขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด ด้วยการที่มันถูกยึดโยงไว้ด้วยโซ่เส้นใหญ่ มันมีอายุใกล้จะ 40 ปี
ใน วันที่ 15 ธันวาคม 1967 สะพานนี้ก็เริ่มเก่าลงตามกาลเวลา เหมือน ใกล้ถล่ม แต่ก็ไม่มีโอกาสซ่อมแซมเพราะยังใช้งานหนักในการจราจรอันหนาแน่นช่วงเทศกาล คริสต์มาส และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ไฟควบคุมการจราจรที่อยู่บนปลายด้านหนึ่งของสะพานไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งสาเหตุที่มันใช้งานไม่ได้กลับไม่ได้ถูกหยิบยกมาพิจารณา.ให้มีการแห้ไข แต่อย่างใด
และวันก่อนที่จะเกิดเหตุมีคนพบเห็นสิ่งลึกลับประหลาดหนึ่งเกาะอยู่บนสะพานซิลเวอร์ จึงได้ถ่ายรูปไว้ก่อนที่มันจะบินหายไปอย่างลึกลับ
ตอน เย็นของวันที่ 15 ธันวาคม 1967 สะพานซิลเวอร์ก็ถล่มลงมาในช่วงที่การจราจรกำลังหนาแน่น ชาวเมืองจำนวน 46 คน เสียชีวิตจากเหตุการณ์หายนะครั้งนี้ ทันทีที่รถยนต์ของพวกเขาจมลึกลงไปในแม่น้ำโอไฮโออันเย็นเฉียบก่อนจะถึงเวลา พระอาทิตย์ตกดินเพียงเล็กน้อย มันเป็นหายนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในเมืองพอยท์ พลีเซนท์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีจำนวนพลเมืองน้อยกว่า 6,000 คน
หนึ่งในผู้โชคดี ที่รอดชีวิตซึ่งขับรถขึ้นไปบนสะพานก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุหายนะเพียงไม่นาน เล่าถึงช่วงเวลานั้นว่า "มี ความรู้สึกมั่นใจมากๆว่ามีบางอย่างที่ไม่สู้ดีกำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งฉันไม่อาจเพิกเฉยต่อมันได้" เธอตัดสินใจกลับรถและถอยหลังออกมาจากสะพาน และได้เห็นในวินาทีต่อมาว่าสะพานได้ถล่มลงมาต่อหน้าต่อตาเธอ บางทีอาจเป็นเพราะม็อทแมน (Mothman) มีความผูกพันเป็นพิเศษกับเด็กๆ ซึ่งล่วงรู้ในสิ่งที่เธอไม่รู้ ว่า เธอกำลังตั้งครรภ์ลูกแฝด
ถึง แม้จะมีบางคนที่ยืนยันว่าเป็นเพราะเหล็กที่ใช้สร้างสะพานเกิดหักอย่าง กะทันหัน แต่ก็มีรายงานจำนวนมากที่ระบุว่าเห็นแสงไฟสว่างวาบบนท้องฟ้าอันมืดมิดเหนือ สะพานก่อนหน้าที่มันจะถล่ม
ตัวที่ 4 EL CHUPACABRA
กลาง ดึกของค่ำคืนหนึ่ง ณ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ในประเทศเปอโตริโก ดวงจันทร์เต็ม ดวงบนท้องฟ้าทอแสงสีเงินนวลสดใส บรรดาสรรพชีวิตต่างก็หลับพักผ่อนในยามค่ำคืน ยกเว้นสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งที่ยังคงลืมตาสีแดงโพลงท่ามกลางดงพุ่มไม้ เพื่อรอจังหวะเข้าจู่โจมเหยื่อที่มันหมายตาเอาไว้ ครั้นพอไว้เวลาและจังหวะที่มันรอคอย มันก็เคลื่อนที่ไปตามพื้นดินอย่างรวดเร็วและเงียบกริบ ด้วยอาการย่องที่คล้ายการกระโดดของจิงโจ้ เบื้องหน้ามันเป็นแพะตัวผู้รูปร่างล่ำสันตัวหนึ่งกำลังหลับอย่างสบายอารมณ์ โดยหารู้ไม่ว่ามัจจุราชได้มาเยือนมันแล้ว ฉับพลันนั้น ฉึก !! สวบ !! เป็นเสียงเจาะของเขี้ยวเข้าที่บริเวณลำคอของแพะตัวนั้น ตามมาด้วยเสียงเหมือนดูดของเหลวออกจากคอแพะตัวนั้น มันกำลังดูดเลือดเหยื่อที่โชคร้ายของมันด้วยเขี้ยวขาว ยาวเป็นมันวาว พอใกล้เสร็จภารกิจกับแพะตัวนั้นและเริ่มอิ่มแล้ว มันก็ผละจากไป ทิ้งศพแพะไว้ให้เป็นที่สงสัยของเจ้าของฟาร์มในวันรุ่งขึ้น………มันคือ EL CHUPACABRA "Goat Sucker"
แหม ขึ้นเรื่องมายังกับนิยายสยองขวัญ อิอิ ครับ ก็เป็นเรื่องสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ไม่มีระบุอยู่ในทางวิทยาศาสตร์ Species หรือเผ่าพันธุ์ใดที่แน่ชัด หนึ่งในหลายๆ Creatures หรือ Monsters อีกสายพันธุ์หนึ่งบนโลกใบนี้
เจ้าตัว El Chupacabra นี้คืออะไรและมาจากไหน ? ไม่มีคำตอบที่แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทใดและมาจากไหน แต่ชื่อของมันในภาษาสเปน (Spanish) แปลว่า "Goat Sucker" ตั้งชื่อตามวิธีที่มันดูดเลือดแพะเป็นอาหาร เจ้า El Chupacabra ปรากฏตัวขึ้นมาเป็นครั้งแรกในประเทศเปอโตริโก (Puerto Rico) ครับ ในช่วงราวปี ค.ศ.1994-1995 ซึ่งเกิดในหุบเขาของเปอโตริโกเป็นแห่งแรกที่ Canovanas ซึ่งชาวบ้านแถวนั้นพบซากของสัตว์เลี้ยงถูกฆ่าตายจำนวนหนึ่ง ทีแรกก็ไม่ได้สนใจ คิดกันว่ามันอาจจะเป็นหมาป่าหรือหมาจิ้งจอกเกเร แต่พอสำรวจเจอเข้ากับรอยเจาะ 2 รูที่เปื้อนไปด้วยรอยเลือดเกรอะกรังขนาดเท่ากับหลอดกาแฟบนตัวสัตว์ทุกตัวที่ นอนตาย ที่สำคัญที่สัตว์เหล่านั้นตัวซีดเผือดและมีกลิ่นกำมะถันติดอยู่ มันไม่มีเลือดเหลืออยู่ในลำตัวเลยครับ จะมีบ้างก็ในปริมาณที่น้อยมาก เป็นสิ่งประหลาดมากสำหรับชาวบ้านแถบ Canovanas
ต่อมาเริ่มพบซากของ สัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะเป็นแพะ สุนัข ตายในลักษณะเดียวกันนี้มากขึ้น ความกลัวเริ่มเข้าเกาะกุมใจผู้คน ต่างร่ำลือกันต่างๆ นานา ว่าเป็นปีศาจบ้าง แวมไพร์บ้าง จนกระทั่งมีชาวบ้านคนนึงเห็นตัวมันในกลางดึกคืนหนึ่ง เขาเล่าว่ามันกำลังเกาะอยู่บนตัวแพะในความมืดและส่วนที่เค้าคาดว่าเป็นส่วน หัวของมันติดอยู่กับลำคอแพะของเขา ด้วยความตกใจเค้าจึงส่งเสียงดังเพื่อไล่มันไป มันหันมามองเค้าแว่บนึงแล้วก็กระโจนเข้าไปยังทางหลังบ้านแล้วก็หายไปในความ มืด ต่อมาตอนเช้าก็ได้มีการชันสูตรซากแพะตัวนั้น ครับ ไม่มีเลือดเหลืออยู่เลย จากนั้นคำว่า El Chupacabra จึงปรากฏขึ้นมา เขาให้การกับตำรวจว่า "มันค่อนข้างมืด แล้วก็ไม่ค่อยแน่ใจในรายละเอียดของมันเท่าไหร่ แต่ว่าเห็นเพียงใบหน้าและดวงตากลมโตเท่าไข่ไก่ที่เป็นสีแดง กับเขี้ยวทั้งสองอันที่มุมปาก" หลังจากเริ่มมีการพบเห็น El Chupacabra เพิ่มมากขึ้นทำให้ชื่อของมันเป็นที่หวาดกลัวสำหรับเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์ หรือชาวบ้านแถบ Canovanas ต่อมาในเดือนกันยายน ปี 1995 Miasel Negron แม่บ้านคนหนึ่งได้มีโอกาสเห็น El Chupacabra ในระยะใกล้
เขา เล่าว่า "มันสูงประมาณ 3 - 4 ฟุต มีหนังคล้ายไดโนเสาร์ ดวงตาสีแดงโตของมันฉายประกายจ้าในความมืด เขี้ยวยาวและงอโค้งไปด้านหลัง กำลังทำร้ายพวกแพะอยู่" ต่อมาในเดือนพฤศจิกายนข่าวของ El Chupacabra ก็ยิ่งแพร่สะพัดออกไปอีก Luis Guadalupe หนึ่งในผู้ที่พบกล่าวว่า "มันน่าเกลียดมาก และดูเหมือนว่ามันจะบินได้ด้วยซ้ำ และลิ้นมันยาวยังกับลิ้นงู" บางสันนิษฐานก็ว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มาจากนอกโลก
จากซากของ สัตว์ที่เคราะห์ร้ายก็มักจะมีกลิ่นของกำมะถัน (Sulfur) ติดอยู่ด้วยพยานบางคนก็บอกว่าตัวมันมีกลิ่นของกำมะถัน Angel Pulido หนึ่งในผู้พบเห็นกล่าวว่า "มันเหมือนค้างคาวตัวใหญ่ที่ดูเหมือนแม่มด" จากการที่ผู้คนเริ่มพบเจอมันมากขึ้น ก็เริ่มมีการระดมผู้คนเพื่อตามล่าตัวมัน ซึ่งสันนิษฐานกันว่า El Chupacabra อาจจะหลับในตอนกลางวันในถ้ำที่ไหนสักแห่งในหุบเขา หรือไม่ก็ใต้ดิน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะหุบเขาในเปอโตริโกนั้นซับซ้อนและมีความยาวมาก แต่ก็มีชายคนนึงที่ประกาศจะตามล่ามันให้ได้คือนาย Jose Soto นายกเทศมนตรีของเมือง Conavanas และได้รวบรวมสมัครพรรคพวกนำอาสาสมัครเพื่อไปตามล่า El Chupacabra.
จาก คำบอกเล่าของพยานผู้รู้เห็น จากซากสัตว์ที่โดยทำร้าย และจากซากของ Chupacabra นั้นก็มีผู้ออกความเห็นมากมาย บ้างก็ว่าเป็นสัตว์สายพันธุ์ใหม่ หรืออาจจะมีความเกี่ยวข้องกับเสือดำ รวมไปถึงไดโนเสาร์และเอเลี่ยน บ้างก็ว่าเป็นสิ่งที่มากับจานบินต่างดาว คุณล่ะคิดอย่างไร
ตัว(?)ที่ 5 ต้นไม้กินคน
พูด ถึงต้นไม้กินคน (Man-eating tree) มันมีอยู่ในนิยายหลายเรื่อง และเรื่องเล่ามาช้านานแล้ว แต่ปัญหาที่นักธรรมชาติวิทยาต่างสงสัยกันคือ มันมีจริงอยู่บนโลกใบนี้หรือเปล่า?
จริงอยู่ที่พวกต้นไม้กินสัตว์(Carnivorous-plants) มีอยู่จริง และมีหลายชนิดด้วย แต่มันกินแค่แมงและสัตว์เล็กๆเท่านั้น แต่พวกสัตว์ใหญ่ๆ นั้น นักพฤกษศาสตร์บอกว่ามันไม่เคยปรากฏ
แต่ทว่า เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 19 คาร์ล ลิช (Karl Liche) นักเดินทางชาวเยอมันได้เขียนจดหมายถึง ดร.โอเมเลียส เฟรดโลวสกี้ เขาเล่าเรื่องเหลือเชื่อ ที่เขาท่องเที่ยวบนเกาะมาดากัสคาร์และได้พบกับต้นไม้กินคน..........
เขา กับเพื่อนเฮนดริกที่เป็นล่าม ได้ทำความรู้จักฉันมิตรกับพวกปิกมี่เผ่าฮึมโกโด ชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในถ้ำ คนพวกนี้เป็นชนเผ่าล้าหลังที่ยังเปลือยกายอยู่ พวกเขาชวนคาร์กร่วมพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นก็พากันเดินเข้าไปในป่าทึบแล้วไปหยุดตรงที่โล่งตรงคุ้มลำธาร ที่นั้นมีต้นไม้ประหลาดขึ้นต้นหนึ่ง ซึ่งพวกฮึมโดโดเรียกมันว่า เตเป (Tepe)
คาร์ล ลิช ได้พรรณนารูปร่างลักษณะที่พิลึกพิลั่นของมันว่า
“ลอง นึกภาพสับประรดสูงแปดฟุตและใหญ่ตามสัดส่วน แต่เป็นสีน้ำตาลเข้ม ดูแล้วแข็งเหมือนเหล็ก ใบแปดใบย้อยลงมาจากลำต้น แต่ละใบยาวราวสิบเอ็ดฟุต และเรียวจนแหลม ใบสีเขียวคล้ำเหี่ยวห้อยและเหนียวมากเหมือนเสี้ยนโอ๊ก มีของเหลวใสรสหวานดื่มแล้วทำให้เมามายซึมออกมาที่แอ่งกลางยอดมีมือพัน ยาวแปดฟุตสีเขียว มีขนยาวออกมาทุกทิศทุกทาง มีรยางค์สีขาวเกือบใสหกใบชูสูงขึ้นไปในอากาศ หมุนและบิดไปมาไม่หยุดนิ่ง แต่ก็ยังชูตั้งอยู่อย่างนั้น มันสูงห้าหกฟุต บางขนาดใบกก และอ่อนเหมือนขนนก.............”
“การ เฝ้าของข้าพเจ้าถูกขัดจังหวะลงด้วยพวกพื้นเมืองที่เดินส่งเสียงไปรอบๆ ต้นไม้ด้วยน้ำเสียโหยหวน เขาท่องมนต์ที่ล่ามของข้าพเจ้าบอกว่าเพื่อขอลุแก่โทษปีศาจที่ยิ่งใหญ่ประจำ ต้นไม้ ขณะที่ยังคงกรีดร้องและท่องมนต์กระชั้นขึ้นนี้ พวกเขาก็ล้อมหญิงสาวคนหนึ่งใช้หลาวแหลมๆ จี้เธอ เธอไต่ขึ้นไปตามลำต้นอย่างช้าๆ สีหน้าหมดหวังและขึ้นไปยืนอยู่บนปลายยอด ซิก! ซิก! (ดื่ม! ดื่ม!) เสียงคนร้องตะโกณบอก เธอก้มลงดื่มน้ำเหนียวข้นในเบ้าแล้วยืนขึ้นใหม่ด้วยใบหน้าบ้าคลั่งและแขน สั่นระริก เธอทำเหมือนกระโดดลงมา แต่มิได้กระโดด
ต้นไม้ กินคนที่เห็นนิ่งเฉยและดูเหมือนตายกลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง รยางค์ที่เรียวและบอบบางของมันสั่งระริกดั่งความโกรธเกรี้ยวของอสรพิษที่ กำลังหิวกระหายอยู่เหนือตัวของเธอ แล้วเหมือนด้วยสัญชาตญาณของปีศาจ มันมัดเธอด้วยการรัดรอบคอและแขนรอบแล้วรอบเล่า ขณะเดียวกันเสียงเกลียดร้องด้วยความหวาดกลัวของเธอก็ค่อยแผ่วลง กลายเป็นเสียงครางอึกๆ อักๆ มือพันที่ดูเหมือนงูสีเขียวตัวใหญ่พากันชูขึ้นและหดตัวรัดรอบเธอวงแล้ววง เล่า รัดแน่นๆ เข้าอย่างรวดเร็วและเหนียวแน่นเหมือนงูอนาคอนดารัดเหยื่อไม่มีผิด
แล้ว ตอนนี้ใบใหญ่ๆ ของมันก็ค่อยๆ ยกขึ้นช้าๆ และแข็งขึ้น เหมือนแขนของปั่นจั่นยกตัวเองขึ้นบนอากาศ ขึ้นไปหาใบอื่นและปิดหุ้มรัดเหยื่อที่ตายแล้วด้วยพลังอันเงียบเชียบ เห็นโคนของใบไม้เหล่านี้เบียดเข้าหากันแน่นๆ เข้า มีของเหลวคล้ายน้ำผึ้งผสมเลือดไหลออกมาตามลำต้น พอเห็นดังนี้พวกคนป่ารอบๆ ตัวข้าพเจ้าก็ไชโยโห่ร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง วิ่งเข้าห้อมล้อมต้นไม้ ใช้ใบไม้ ใช้มือรองของเหลวมาดื่ม บ้างก็ใช้ลิ้นเลียจนมึนเมา จากนั้นก็มีพิธีกรรมที่อุจาดตามมาอีกจนไม่สามารถบรรยายได้ตามมา
ใบไม้ ของต้นไม้ใหญ่คงอยู่ตำแหน่งตั้งขึ้นข้างบนแบบนั้นอยู่สิบวัน เมื่อข้าพเจ้ากลับมาในเช้าวันหนึ่งมันก็กลับตกลงเหมือนเดิม มือที่พันก็เหยียดยาวอย่างเดิม และนอกจากกะโหลกขาวที่ตกอยู่ที่โคนต้นแล้วก็ไม่มีอะไรอื่นเปลี่ยนแปลง”
จดหมายฉบับนี้ถูกส่งในนิตยสารภาษาเยอรมันชื่อ Graefe und Walther เมื่อปี 1878 หลัง จากนั้นก็มีผู้แปลลงในหนังสือพิมพ์เมล์ที่ออกที่เมืองมัทราส อินเดีย และลงในหนังสือพิมพ์เวิลด์ ของกรุงนิวยอร์ก และในนิตยสารรียิสเตอร์ของออสเตรเลียเมื่อ ปี 1880 ทำ ให้เรื่องของต้นไม้กินคนกลายเป็นสนใจของสาธารณชน แต่พวกนักพฤษศาสตร์และนักสำรวจหลายคนไม่ยอมรับเรื่องนี้เพราะอ่านแล้วมัน เหมือนนิยายเกินไป อีกทั้งคนชื่อลิชก็เป็นใครก็ไม่รู้ ทำให้เรื่องของต้นไม้กินคนจึงค่อยๆ เงียบหายไป
ต้นไม้กินคนเพิ่งจะกลับมาฮือฮากันอีกครั้งเมื่อหนังสือพิมพ์อเมริกันวิกลี่ ฉบับวันที่ 26 กันยายน 1920 นำ มาลงเป็นเรื่องแทรกวันอาทิตย์ โดยปัดฝุ่นจดหมายของลิชมาเล่าใหม่ ให้ตื่นเต้นมากขึ้น พร้อมลงภาพประกอบเป็นสาวผมทองอยู่ในวงรัดของต้มไม้กินคน จนเป็นที่สนใจของผู้คนจำนวนมาก ไม่เว้นแม้กระทั้งผู้ว่าการรัฐมิชิแกน เชส ซาลมอน ออสบอร์น ที่อุตสาห์ลงทุนไปที่มาดากัสคาร์ เพื่อไปเห็นต้นไม้กินคนด้วยตาของตัวเอง
ถึง แม้ออสบอร์นจะไม่พบต้นไม้กินคนมาที่สมหวังก็ตาม แต่คนพื้นเมืองบนเกาะนั้นแทบทุกคนบอกว่าเคยพบต้นไม้ดังกล่าว เขาบอกว่าต้นไม้นี้มีอยู่จริง
แต่กระนั้นพวกนักพฤกษสาสตร์ก็ทนความรำคาญออกมาโต้ว่า “ถ้าเจอมันจริง พวกตนจะให้เงินรางวัลหมื่นเหรียญ”เลยก็มี
และไม่รู้เพราะเงินรางวัลหรือเปล่า? ที่ทำให้นักผจญภัยที่หิวเงินต่างตามล่าต้นไม้กินคน แอล เฮิร์สต์ อดีตนายทหารอังกฤษ เดินทางไปเกาะมาดามกัสคาร์เมื่อปี 1935 แม้ เขาไม่พบชนเผ่าฮึมโกโด แต่ใช้ว่าล้มเหลว เพราะเขาเจอคนที่บอกเรื่องราวว่า มันคือ ต้นไม้กินคน ที่เรียกมันว่า ต้นไม้ปีสาจ ที่ดักและกินคนมีอยู่จริง จากนั้นเขาก็ท่องเที่ยวค้นหาอยู่บนเกาะนานถึงสีเดือน จนกระทั้งพบต้นไม้ดังกล่าว เขาได้ถ่ายภาพมาด้วย เป็นรูปต้นไม้ใหญ่มีกระดูกสัตว์เกลื่อนรอบลำต้น แต่เขาไม่สามารถเอาต้นเป็นๆ มาได้ เพราะเขาไม่รู้ว่าจะขนออกมาอย่างไร
แต่ นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ยอมเชื่อภาพถ่ายเหล่านั้น หาว่าเฮิร์สต์ทำปลอมขึ้นมา เพื่อพิสูจน์ความจริง เฮิร์สต์ได้เดินทางไปที่เกาะมาดากัสคาร์อีกครั้ง แต่ทว่า คราวนี้ เขาไปลับไม่กลับมาอีกเลย ทำให้เรื่องของต้นไม้กินคนยังคงความลึกลับและน่าค้นหาจนถึงปัจจุบัน
ปีศาจโดเวอร์ (Dover Demon)
เขา เรียกกันว่า ปีศาจโดเวอร์ (Dover Demon) เพราะมีผู้พบเห็นที่เมืองโดเวอร์ ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอับ 2 รองจากบอสตัน ใน มลรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา แต่พบเจอแค่ครั้งเดียวนะ ในปี พ.ศ. 2520 หรือ ค.ศ. 1977
แต่ ส่วนใหญ่เราเรียกมันว่า “มนุษย์ไส้กรอก” ครับ ฟังชื่อมันอาจน่ารัก ไม่เลยมันไม่น่ารักสักนิด ออกไปทางลึกลับประหลาดมากกว่า ที่จริงมันมีชื่อเสียงพอๆ กับเยติ หรือไอ้ตีนโตด้วยซ้ำ แต่พอดีมีพยานพบเห็นมันค่อนข้างน้อย และที่เชื่อถือได้มีสองคนเท่านั้นครับคือบิลส์ บาร์ทเล็ทท์ กับ จอห์น แบกซ์เตอร์ ทำให้เรื่องของมนุษย์ไส้กรอกไม่โด่งดังเท่าที่ควร
โดเวอร์ เป็นเมืองที่มั่งคั่งแห่งหนึ่งในรัฐแมสซูเสตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเมืองที่ห้อมล้อมไปด้วยป่า และเมืองนี้ได้มีรายงานการพบสัตว์ประหลาดคล้ายมนุษย์ให้พบเห็นบ่อยๆ
มันเริ่มขึ้นเมื่อเดือน 22 เมษายน ค.ศ. 1977
บิลส์ บาร์ทเล็ทท์, ไมค์ แมซซอคคา และแอนดี้ บรอดี วัยรุ่นอายุราว 17 ปี กำลังขับรถไปทางเหนือของฟาร์มสตรีท ในขณะที่ขับรถอยู่บาร์ทเล็ทท์ซึ่งเป็นคนขับรถก็ได้เห็นสิ่งประหลาดสิ่งหนึ่ง กำลังปีนไปตามกำแพงเตี้ยๆ ทางด้านซ้ายของถนน
ครั้ง แรกที่เห็นบาร์ทเล็ทท์คิดว่าอาจเป็นสุนัขหรือไม่ก็แมว จนกระทั้งไฟหน้ารถได้ฉายตกกระทบกับร่างลึกลับอย่างจัง สิ่งที่พวกเขาเห็นนั้น เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นก่อนในชีวิต
“ร่าง นั้นมันค่อยๆ หมุนศีรษะของมันอย่างช้าๆ และจ้องมองมายังแสงไฟของรถ ตากลมของมันสองประกายราวกับแก้วใส เหมือนหินอ่อนสีส้ม 2 ลูก หัวของมันตั้งอยู่บนคอเล็กๆ มีลักษณะคล้ายแตงโม มองดูแล้วผิดส่วน เมื่อเทียบกับร่างกายส่วนอื่นๆ กล่าวคือแขนและขายาวและผอมเรียว แต่มือและเท้าใหญ่ ผิวไม่มีขนและมีสีลูกพีช และหยาบเหมือนกระดาษทราย
ร่าง นั้นมันสูงไม่เกิน 4 ฟุต มีลักษณะคล้ายเด็กทารกที่มีแขนและขายาว มันน่าประหลาดน่าเกลียดน่ากลัวมาก มันเดินเหมือนกับว่ามันไม่รู้จุดมุ่งหมาย มันเดินไปตามกำแพงโดยใช้นิ้วมืออันยาวของมันไต่ตามก้อนหิน…………….”
แต่ ปรากฏว่าเพื่อนที่นั่งมาด้วยทั้งสองคน กลับมองไม่เห็นร่างประหลาดดังกล่าว เพราะทั้งสองกำลังมองอีกด้านหนึ่งของถนน อีกทั้งบาร์ทเล็ทท์ก็เห็นร่างนั้นไม่กี่วินาทีเท่านั้นเองเพราะขณะเขาขับรถ ด้วยความเร็วสูงและอยู่ในทางโค้ง และเมื่อแล่นผ่านจุดนั้นแล้ว บาร์ทเล็ทท์จึงเล่าเรื่องนี้ให้ทั้งสองคนฟัง ที่แรกทั้งสองไม่เชื่อ แต่จากน้ำเสียงและกิริยาของบาร์ทเล็ทท์ ทำให้ทั้งสองสนใจ และต่างคะยั้นคะยอให้เขาขับรถกลับไปดูอีกครั้งหนึ่ง
แต่เมื่อกลับไปเห็นร่างลึกลับดังกล่าวหายไปแล้ว
และเมื่อทั้งสามกลับมาที่พักบาร์ทเล็ทท์ก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟังพร้อมกับวาดภาพปริศนาคลาสลิกให้เพื่อนดู
ไม่ใช้แค่บาร์ทเล็ทท์นะครับที่เห็นร่างประหลาดดังกล่าวคนเดียว ยังมีคนอื่นๆ ที่เห็น เช่นในกรณีของจอห์น แบกซ์เตอร์
จอห์น แบกซ์เตอร์ อายุ 15 ปี ในคืนวันเดียวกับที่บาร์ทเล็ทท์เห็นร่างลึกลับ จอห์นออกจากบ้านของเพื่อนสาว เขามุ่งหน้ากลับบ้านซึ่งอยู่ทางใต้สุดของถนนมิลเลอร์ไฮห์ ในโดเวอร์ เขาเดินตัดทางลัดสู่บ้านเขา และอีกประมาณครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น เขาได้เห็นร่างหนึ่งสวนทางมา ร่างนั้นเตี้ยมาก จอห์นคิดว่าคงเป็น เอ็ม.จี.บูชาร์ค คนรู้จักที่อาศัยอยู่บนถนนเดียวกับเขา จอห์นถามออกมาว่า
“เอ็ม. จี. นั้นคุณใช่ไหม?”
เงียบไม่มีเสียงตอบ
แต่ร่างนั้นเดินใกล้เข้าทุกที จนร่างนั้นก็หยุดลง
พอ ดีคืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด และจอห์นก็มองไม่เห็นอะไรนอกจากเงาสลัวๆ เขาจึงเดินก้าวเข้ามาอีก 1 ก้าว เพื่อให้รู้แน่ว่าร่างนั้นเป็นใคร แต่มันกลับถอยออกไปทางซ้ายและวิ่งเข้าไปยังคูข้างๆ ที่มีพุ่งไม้ขึ้นอยู่เต็มแล้ววิ่งกลับไปยังฝั่งตรงข้าม ขณะที่ร่างวิ่งอยู่นั้น จอห์นก็วิ่งตามร่างนั้นด้วย เขาได้ยินเสียงกิ่งไม้แห้งดังกรอบแกรบ
จอห์นวิ่งตามร่างนั้นจนถึงเนินข้างล่kง แล้วมันก็หยุดเพื่อข้ามไปยังอีกฝั่งของคู และจอห์นก็ได้เห็น
“มัน กำลังยืนห่างจากเราราวประมาณ 30 ฟุต เท้าของมันพันหรือรวบบนยอดก้อนหินก้อนหนึ่ง ซึ่งอยู่ไกลจากต้นไม้ต้นหนึ่ง มันเอนร่างไปเกาะต้นไม้ โดยเอานิ้วมือที่ยาวทั้งสองข้างจับมั่นรอบๆ ลำต้น(ขนาดประมาณ 8 นิ้ว)ราวกับยันร่างมันไว้
ร่างนั้นเหมือนกับร่างของลิง ต่างกันที่มันมีศีรษะสีคล้ำเป็นรูปเลข 8 ตาของมันเป็นประกายวาวอยู่ตรงกลางศีรษะ”
และ แล้วร่างประหลาดลึกลับนั้นก็มองด้วยตาสีเขียวมายังจอห์น เขาไม่เคยเห็นสัตว์อะไรนี้มาก่อน เขาจึงได้รีบวิ่งบึ่งมาที่บ้านทันที และเขาก็ได้วาดภาพสัตว์ประหลาดดังกล่าว ซึ่งได้กลายเป็นภาพปริศนาคลาสสิกในเวลาต่อมา
เห็นได้ชัดว่ามนุษย์ไส้กรอกของบาร์ทเล็ทท์มีตาสีส้ม ส่วนของจอห์น แบกซ์เตอร์มีสีเขียว
แต่ อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นข่าวเกี่ยวกับการพบเห็นมนุษย์หรือสัตว์ลึกลับดังกล่าวก็แพร่ กระจายไปทั่ว จนทำให้บรรดาสื่อหนังสือพิมพ์ตั้งฉายาประหลาดตัวนี้ว่า “อสูรกายแห่งโดเวอร์” และ เรื่องนี้ทำให้วอลเตอร์ เว็บบ์ แห่งองค์กรวิจัยปรากฏบนท้องฟ้า กับโจเซฟ นีแมน แห่งสมาคมข่ายงานศึกษาจานบินร่วมกัน และ เอ็ด ฟอกก์ แห่งสมาคมศึกษาจานบินของนิวอิงแลนด์ ได้เข้าร่วมศึกษาบุคคลที่ประสบเหตุการณ์เหล่านี้ ซึ่งแม้ว่าในช่วงที่ผู้คนพบเห็นสัตว์ประหลาดดังกล่าวจะไม่เห็นยานบินลึกลับ ใดๆ เลยก็ตาม แต่นักจานบินวิทยาทั้งหลายเหล่านี้ให้ความสนใจก็เพราะรูปร่างของมันช่าง คล้ายกับมนุษย์ต่างดาวผู้มากับจานบินเหลือเกิน
จาก การสอบสวนพยานสองคน และพยานแวดล้อมอื่นๆ พบว่าทั้งสองไม่ใช้คนเหลวไหล อีกทั้งเด็กเหล่านี้มีภูมิหลังดี ฐานะดี จึงไม่จำเป็นต้องหลอกหลวงคนอื่น และที่สำคัญเด็กทั้งสองคนนี้ไม่เคยพยายามเข้าหาหนังสือพิมพ์เพื่อเอารายงาน เรื่องของตนไปเขียนเอาเงินแต่อย่างไร
บางทีอสุรกายนั้นอาจเป็นสัตว์หรือมุษย์อีกพันธุ์หนึ่งที่เราไม่เคยพบเห็นมา ก่อน แต่ถ้าถามพวกอินเดียนแดงเผ่าครี ในตะวันออกของแคนนาดา เขาเรียกเอาตัวนี้ว่า แมนเนกิชิ(Mannegishi) หมาย ถึงภูตตัวเล็กๆ มีหัวกลม ไม่มีจมูก มีขาและมือยาวเรียวเหมือนแมงมุม มันชอบอาศัยตามโขดหินผาและแก่นน้ำลำธารต่างๆ มีชีวิตเพื่อหลอกนักเดินทางเล่นเท่านั้น
จนปัจจุบัน ก็ยังไม่มีใครรู้ว่า เจ้าปีศาจโดเวอร์ ตัวนี้มาจากไหน มาได้ยังไง และมีจุดประสงค์อะไร ? ก็ ยังคงเป็นปริศนาที่เล่าขานกันในท้องถิ่นต่อไป แต่บางคนเขาก็เชื่อว่าเป็นเพียงเรื่องแหกตา เพราะก็ไม่มีหลักฐานใด ๆ มายืนยันสิ่งที่เด็ก ๆ กลุ่มนี้เจอ และก็ไม่มีรายงานการพบเจอหรือปรากฏตัวอีก
สรุปคือโดเวอร์มีรูปร่างหลักๆ คือ
1. คล้าย ๆ มนุษย์ต่างดาวแบบที่เขาเรียก มนุษย์อิมมานอยด์ หรือบางคนเรียกว่า เกรย์ (Gray) หรือไอ้ตัวสีเทา ซึ่งเป็นมนุษย์ต่างดาวแบบที่คนมะริกันเขาพบเจอมากที่สุด
2. สูงประมาณสี่ฟิท มีผิวพื้นผิวขรุขระ
3. แขนมีสี หัวที่รูปร่างแตงโม เกือบใหญ่กว่าร่างกายของมัน
4. ตาเปล่งแสงเป็นส้ม
บน โลกของเรามีเรื่องราวลึกลับเกิดขึ้นมากมาย มีหลายเรื่องที่น่าสะพรึงกลัว และไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้จริง แต่ก็ยังสร้างความหวาดหวั่นและข้อสงสัยให้กับเราได้เสมอ เช่น เรื่องราวของซอมบีหรือศพคืนชีพที่หลาย ๆคนอาจเคยพบในนวนิยายหรือภาพยนตร์สยองขวัญบางเรื่อง จนหลาย ๆคนคิดไปว่าเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมาเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วเรื่องซอมบินี้เป็นเรื่องราวที่มีคนเชื่อถือและคิดว่ามีอยู่ จริง
ว่า กันว่าซอมบิมีต้นกำเนิดมาจากประเทศเฮติ ซึ่งอยู่ในหมู่เกาะอินดิสตะวันตก ทวีปอเมริกาเหนือ ส่วนใหญ่ชาวเฮติสืบเชื้อสายมาจากทาสผิวดำชาวแอฟริกัน ตั้งแต่ศตวรรษที่17 ทาส เหล่านี้ถูกนักค้าทาสชาวฝรั่งเศส พามาจากทวีปแอฟริกา และมาใช้แรงงานในไร่อ้อย ซึ่งเป็นพืชที่ทำรายได้มากในสมัยนั้น นอกจากการสืบเชื้อสายแล้ว ยังมีลัทธิความเชื่อที่สืบทอดต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน โดยมีความเชื่อที่ฝังรากลึกในหมู่ชาวเฮติคือ ลัทธิวูดู
เฮติ (Haiti) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐเฮติ (Republic of Haiti) เป็นประเทศหนึ่งในทวีปอเมริกาเหนือ ตั้งอยู่บนเกาะฮิสปันโยลาในทะเลแคริบเบียน โดยมีเกาะเล็ก ๆ ใกล้เคียงด้วย คือ ลาโกนาฟว์ (La Gonâve) ลาตอร์ตู (La Tortue) เลกาเยอมีต (Les Cayemites) าช (Île à Vache) ลากรองด์เก (La Grande Caye) และนาวาส (Navasse) โดยประเทศเฮติแบ่งครึ่งเกาะฮิสแปนิโอลากับสาธารณรัฐโดมินิกัน มีพื้นที่ 10,714 ตารางไมล์ (27,750 ตารางกิโลเมตร) มีเมืองหลวงคือกรุงปอร์โตแปรงซ์
อดีต เอติคือตกอาณานิคมของฝรั่งเศส จนประกาศเอกราชในปี พ.ศ. 2347 ใช้ชื่อประเทศว่าเฮติ ซึ่งมาจากชื่อเกาะในคำอาราวักเก่าว่า อายิตี (Ayiti) โดยถือว่าเป็นประเทศเอกราชแห่งที่ 2 ใน ทวีปอเมริกา (รองจากสหรัฐอเมริกา) และเป็นสาธารณรัฐเอกราชของคนผิวดำแห่งแรกของโลกอีกด้วย แต่ทั้ง ๆ ที่เก่าแก่และมีอายุยาวนาน เฮติกลับเป็นชาติที่ยากจนที่สุดในซีกโลกตะวันตก
ประ เทศไฮติขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่เรียกได้ว่ามีโรคระบาดเกิดขึ้นบ่อยมาก อันเนื่องมากจากขาดหลักสุจอนามัยที่ดีพอในการดำรงชีวิต ทำให้อายุไขเฉลี่ยของประชาชนในประเทศนี้ลดลง คือมักตายก่อนวัยอันควร โดยเมื่อมีคนตายศพของผู้ตายมักนิยมเอาไปฝังในสุสานที่ตกแต่งสวยงาม เนื่องจากมีความเชื่อว่า ยิ่งสุสารมีความสวยงามมากขึ้นเท่าไร ผู้ตายยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ญาติของผู้ตายกลัวจับใจ.................................นั้นคือการขโมยศพเพื่อทำซอมบี้ของสิทธิวูดู
วู ดูมาจากคำว่า "จิตวิญญาณ" ลัทธินี้จะมีความเชื่อในวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งถือเป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ,ลม และไฟด้วย พิธีกรรมของลัทธิวูดูจะประกอบด้วยการเต้นรำ และพิธีบูชายัญ บางครั้งวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อาจเข้าสิงในร่างคน ทำให้ผู้นั้นมีการกระทำตามคำสั่งของวิญญาณ หรือการติดต่อวิญญาณ
ใน ศตวรรษที่21 และ 22 ความ เชื่อทางไสยศาสตร์เข้ามาสู่สหรัฐอเมริกา และคาริบเบียน พร้อมกับทาสผิวดำชาวแอฟริกา พวกทาสไม่มีอำนาจใดๆ ศาสนาและความเชื่อถูกกีดกัน เมื่อชาวแอฟริกันตะวันตกถูกนำมารวมกับขนชาติอื่นทำให้ศาสนา และความเชื่อของคนผิวดำเสื่อมลง ความเจริญรุ่งเรืองของไสยศาสตร์จะมีมากในไฮติ และสาธารณรัฐ โดมินิกัน ทาสที่ถูกนำเข้ามาในสองประเทศนี้ จะมาพร้อมกับความเชื่อและลัทธิศาสนา แม้ว่าจะถูกพรากจากญาติมิตร พวกเขาก็ยังสามารถอุทิศตนให้โวดุได้ ในสหรัฐอเมริกา ลัทธินี้เป็นสิ่งต้องห้าม
ปี พ.ศ.2247 รัฐบาลห้ามมิให้ชุมนุมกันในเวลากลางคืน
ปี พ.ศ.2206 รัฐบางรัฐในสหรัฐอเมริกาแก้ปัญหาโดยการบังคับให้ทาสนับถือศาสนาคริสต์แทนที่จะเป็นวู ดู
ส่วน ในเฮติ ปี พ.ศ. 2493 ฟรองซัวส์ ดูวาลิเยร์(Francois Duvalier) ขึ้น เป็นประธานาธิบดีของไฮติ ไสยศาสตร์ได้ถูกนำขึ้นทะเบียนตามหลักกฎหมายเป็นครั้งแรก และได้ใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของตนเอง นักบวชของวัดใดมีผลงานเป็นที่น่าพอใจ ก็จะได้รับตำแหน่งทางการเมืองเป็นรางวัล ดุวาลิเยร์ เล่นสนุกบนความกลัวของผู้คนที่มีต่อหมอผีและผีดิบ โดยแต่งตั้งตำรวจที่มีอำนาจลึกลับไปสืบข้อมูลส่วนตัวของบุคคลแล้วนำมาเปิด เผย และมีผลเรื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ลัทธิวูดูมีเรื่องลึกลับมากมาย น่าค้นหามากมาย ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตาสาปแช่ง ยาพิษ ฯลฯแต่มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจมาก คือ เรื่องของ ซอมบี……ศพคืนชีพ
ซอม บี้หรือเรียกว่า"ซัมบิ" (zumbi) ..เชื่อ กันว่า ซอมบีเป็นศพที่เดินได้ เนื่องจากเป็นร่างไร้วิญญาณที่ถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ด้วยอำนาจเวทมนตร์ของนักบวชในลัทธิวูดู ลักษณะการเดินของซอมบิดูคล้ายหุ่นยนต์ที่ไร้วิญญาณ ปราศจากแววตา และจะทำตามคำสั่งของนักบวช
ซอมบี้นั้นในภาษาพื้นเมืองไฮติเขาเรียก กันอีกชื่อหนึ่งว่า "โบโกร์" (Bokor).. ซอมบี้เป็นทาสผีดิบของหมอผี หรือผู้ทรงไสยดำ ผู้ที่มีอำนาจ (เชื่อ ว่าเป็นอำนาจจากนรก) เรียกเอาคนตายกลับขึ้นมาจากหลุมศพ..ซอมบี้เป็นเพียงศพที่เดินได้มันกินอาหาร ได้ อาหารที่กินเป็นอาหารพิเศษที่หมอผีจัดหามาให้ มันมีลมหายใจคล้ายคน มันต้องขับถ่าย มันพูดได้ แต่ส่วนมาไม่ได้พูดภาษาคน และมันสามารถได้ยินเสียงหรือรับรู้คำสั่งของหมอผีได้แสดงว่ามันมีชีวิต แต่มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ปราศจากความทรงจำใด ๆ ทั้งสิ้น มันไม่รู้จักชีวิตของตัวมันเอง มันไม่มีความรำลึกของอดีตใด ๆ เกี่ยวกับตัวมันเอง มันไม่เคยเข้าใจสภาพ หรือสถานภาพใด ๆ เกี่ยวกับตัวมันเอง มันไม่รู้จักความเจ็บปวดหรือความกลัว..พูดง่าย ๆ ซอมบี้ เป็นเสมือนหุ่นยนต์ที่มีเลือดเนื้อ เหมือนเครื่องจักรชีวอย่างไงอย่างนั้นนั่นเอง
ชน เผ่าชาไฮติแทบทุกคนรู้จักความชั่วร้ายแห่งไสยดำวูดูเป็นอย่างดี และพวกเขาก็รู้จักซอมบี้ว่ามันมีจริง มันเป็นศพคืนชีพ ทาสรับใช้ของหมอผีหรือผู้มีอำนาจทางไสยดำวูดู พวกชาวบ้านธรรมดาจะสามารถแยกซอมบี้ออกจากหมู่คนธรรมดาได้ทันทีที่ได้เห็น
กล่าว กันว่า พวกซอมบี้มักจะมีท่าทางการเดินเหินไม่เหมือนคนธรรมดา การเดินของซอมบี้จะโยกเยกตัวไปมามากกว่าคนธรรมดา คล้ายกับว่ามันเป็นเครื่องจักรกลที่เดินได้ มันมีสายตาที่เหม่อลอย ดวงตา ที่ปราศจากแวดของชีวิต และยังกล่าวกันว่า ซอมบี้มีเสียงหายใจที่ดัง และมีจังหวะการสูดลมหายใจเข้าออกข้าเร็วต่างกับคนธรรมดา
ในการทำพิธีฝังศพญาติพี่น้องของตน ชาวไฮติมีพิธีกรรมที่เรียกว่า "ทำให้ตายครั้งที่สอง" เพื่อป้องกันมิให้ศพกลับลุกขึ้นมาเป็นซอมบี้
บาง ครั้งญาติผู้ตายต้องผลัดกันนั่งเฝ้าอยู่ปากหลุมศพ เฝ้ากัน 24 ชั่วโมง ทั้งวันทั้งคืนไม่ให้คลาดสายตา เป็นเวลานับเดือน ๆ จนกว่าจะแน่ใจว่าศพในหลุมที่ฝังไว้นั้นเน่าสลายไปหมดแล้ว เพราะกลัวว่าศพอาจคืนชีพเป็นซอมบี้กลับขึ้นมาใหม่นั่นเอง
ใน พิธีฝังศพของผู้มีเงินหน่อย จะต้องนำสิ่งของต่าง ๆ เช่นลูกปัดหินหลากสี ด้ายสีต่าง ๆ หลายหลอด พร้อมกับเข็มเย็บผ้าหลายโหล และเมล็ดพืชเล็ก ๆ บางชนิดอีกหลายร้อยหลายพันเม็ดใส่ไว้ในโลงศพของผู้ตายด้วย สิ่งของต่าง ๆ ดังกล่าวจะต้องผ่านพิธีการปลุกเสกลงของเสียก่อนโดยผู้ทรงคุณทางไสยขาว (white magic ) วิชา ลึกลับใช้เวทมนต์ในทางที่ดีทำเครื่องรางของขลังป้องกันภัยอันตรายหรือปลุก เสกมหานิยมฯลฯก่อนการปิดปากโลงศพ และฝังกลบไว้ในป่าช้า เชื่อกันว่า ถ้าศพคืนชีพขึ้นมามันจะไม่ลุกออกมาจากโลง เพราะมัวแต่เล่นสิ่งของเหล่านั้นจนเพลินนั้นเอง
บาง ครั้งมีการใส่มีดที่ลงของลงคาถาไว้ในโลงด้วยหลายเล่ม เพื่อว่าศพคืนชีพเกิดเซ็งขึ้นมาเพราะออกจากโลงไม่ได้ จะได้ฆ่าตัวตายเป็นครั้งที่สอง นอนตายอย่างสงบอยู่ในโลงนั้น พิธีกรรมที่หนักข้อขึ้นไปอีกก็ยังมี กล่าวคือ ก่อนปิดฝาโลง จะจัดการตัดคอศพแยกใส่หีบฝังต่างหาก หรือไม่ก็เอหมุดลงคาถาตอกหน้าอกฝังไว้กับโลงเพื่อป้องกันศพคืนชีพเป็นซอมบี้ พวกไฮติไม่นิยมการเผาศพ แต่ก็มีการเผาศพอยู่เหมือนกัน เชื่อว่าการเผาศพมิได้ช่วยป้องกันซอมบี้แต่อย่างใด เพราะมีเรื่องเล่ากันว่า คนตายที่ถูกเผาไปแล้ว บางทียังกลายเป็นซอมบี้ได้ ขณะกำลังเผา ๆ อยู่ดันลุกพรวดพราดออกมาจากโลงก็มี ไอ้ตัวซอมบี้แบบนี้น่ากลัวน่าสยดสยองกว่าซอมบี้ธรรมดา ร่างกายมันดำไหม้เฟอะ เป็นศพพิการแต่ยังเดินได้
พวก หมอผีวูดู หรือ พวกจอมคาถาอาคมแห่งวูดู บางคนมีลูกสมุน- ซอมบี้ เป็นกองทัพเลยก็มี นับว่าเป็นทาสผีดิบที่สัตย์ซื่อมาก เรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับซอมบี้มีปรากฏอยู่ในบันทึกของชาวตะวันตกที่เดินทางไปอยู่ในแถบไฮติ นับตั้งแต่สมัย ล่าอาณานิคมโน้น วิลเลียม ซีบรุ๊ก ผู้จัดการ ฝ่ายผลิตและส่งออกของบริษัท ผลิตน้ำตาลจากอ้อย (Hailian American Sugar Corporation" เคยเขียนบันทึกไว้ว่า
"..มี พวกกรรมกรไร่อ้อยหลายร้อยคนเป็นคนงานอยู่ในความดูแลของหมอผีวูดู ซึ่งทำหน้าที่คุมคนงานและจัดหาคนงานมาเข้าทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เหมือนมนุษย์จักรกล.. มีอยู่หลายสิบคนที่มีพวกญาติพี่น้องมาขอตัวกลับเพื่อนำไปฆ่าให้ตายเป็นครั้ง ที่สอง .. ทำให้เกิดปัญหามาก เพราะพวกญาติพี่น้องมาพบว่า คนงานบางคนเป็นญาติหรือ คนที่เข่ารู้จักดีซึ่งตายไปแล้ว และกลายเป็นซอมบี้อยู่ในอาณัติคาถาของหมอผีวูดู ใช่ให้มาทำงานเป็นทาสอยู่ในไร่อ้อย…"
ซอมบี้คือศพเดินได้จริงหรือ
ถ้า เราสังเกตพวกซอมบี้ จะพบว่า พวกซอมบี้มักจะมีท่าทางการเดินเหินไม่เหมือนคนธรรมดา การเดินของซอมบี้จะโยกเยกตัวไปมามากกว่าคนธรรมดา คล้ายกับว่ามันเป็นเครื่องจักรกลที่เดินได้ มันมีสายตาที่เหม่อลอย ดวงตา ที่ปราศจากแวดของชีวิต และยังกล่าวกันว่า ซอมบี้มีเสียงหายใจที่ดัง และมีจังหวะการสูดลมหายใจเข้าออกข้าเร็วต่างกับคนธรรมดา และสูญเสียความทรงจำ
เมื่ออ่านพบว่ามันมีลักษณะคล้ายคนติดยาเสพย์ติดอย่างยิ่ง..........................
เช่นในกรณีของคลาอุส นารุคิส
คลาอุส นารุคิส
คน นี้มีนามว่า คลาอุส นารุคิส เขาเคย เสียชีวิตมาแล้ว ด้วยโรคความดันโลหิตสูงและโรคไต เสียชีวิตของโรงพยาบาลอัลเบอร์โต ชูไบร่า แห่งเฮติ บันทึกบอกไว้ว่าเขาเสียชีวิตลงเมื่อ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2505 เวลา 1.45 น.
ต่อมาในปี 18 ปี ต่อมา ผู้คนในหมู่บ้านเวสเทเรบ้านเกิดของคลาอุส ต่างแตกตื่น เมื่อพบคลาอุส นารุคิส ออกมาเดินเพ่งพาน ชาวบ้านต่างแปลกประหลาดใจและหวาดกลัว
เขา เล่าให้ฟังว่า เมื่อเขารู้ตัวอีกทีเขารู้สึกว่าถูกนำตัวไปอยู่กระท่อมกลางนา เพื่อนำมาใช้ทำงานร่วมกับซอมบี้ตัวอื่นๆ ซึ่งเขาได้เห็นน้องชายตัวแสบของเขาเป็นผู้ร่วมมือกับหมอผีนำร่างของเขามา นั่นเอง
ขณะ ที่อยู่กับซอมบี้ตัวอื่นๆ ความจำของเขาค่อยๆกลับมา จนจำได้ว่าเขาคือใคร เมื่อน้องชายของเขาและหมอผีเสียชีวิต เขาจึงเดินทางกลับบ้านเกิดและ เล่าเรื่องในวัยเด็กของเขา ได้อย่างถูกต้อง
นี้มันกรณีตายแล้วฟื้นนี้หว่าตายแล้วฟื้น
คำอธิบายสำหรับเรื่องคนตายลุกมาเดินได้สำหรับชาวไฮติมีอยู่อย่างเดียวแหละครับ คือหมอผีใช้คาถาปลุกขึ้นมาให้ทำงานเป็นทาส
และ ว่ากันว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยเจ้าพ่อ “ปาปาด็อค” หรือนายทุนชาวฝรั่งเศสที่ชื่อดูวาลิเยร์ ซึ่งเป็นเจ้าของไร่ และเหมืองบนเกาะไฮติ ได้ว่าจ้างหมอผีที่เรียกเป็นสำเนียงฝรั่งเศสว่า “ตง ตง มากู้ต” (tonton macoute) ให้ ทำพิธีปลุกศพคนตายขึ้นมาเดินเหินทำงานเป็นทาสอยู่ในไร่ และในเหมืองของเขาทำให้มีกำไรร่ำรวยอื้อซ่า เพราะไม่ต้องเสียเงินว่าจ้างคนงานนี่ครับ
ส่วนคำอธิบายของคนสมัยใหม่ เกี่ยวกับ ซอมบี้ หรือ Living Dead ก็คือเชื่อว่าคนตายที่ถูก “ปลุก” ขึ้น มานั้น ไม่ได้ตายจริง เพียงแต่มีอาการโคม่าหมดสติ ญาติมิตรนึกว่าตายแล้วก็นำศพไปฝัง พอหมอผีซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับยาสมุนไพรรู้เข้าไปขุดคนคนนั้นออกมารักษาด้วย สมุนไพร ให้หายจากอาการโคม่าหรือหมดสติ แล้วมีสภาพครึ่งบ้าครึ่งดีจับไปใช้ทำงานต่อไป ซึ่งคำอธิบายนี้ก็เช่นเดียวกับคำอธิบายเกี่ยวกับผีดูดเลือดแวมไพร์ละครับ ฝรั่งผู้ทรงความรู้พยายามอธิบายว่า คนที่นอนไม่เน่าเปื่อยในหีบศพนั้นไม่ได้ ตายจริง แต่ถูกฝังทั้งเป็นตะหากล่ะ
คำ อธิบายนี้ฟังเผินๆ ก็น่าจะเห็นด้วยนะครับ แต่ก็เห็นด้วยเฉพาะรายที่เป็นคนตายใหม่ๆ เท่านั้น เพราะถ้าหากฝังคนที่เพียงแต่สลบลงไปแล้วรีบขุดขึ้นมา ในขณะที่ คนคนนั้นยังไม่ขาดใจ โอกาสที่เขาจะรอดและมีอาการป้ำๆเป๋อๆ แบบ Living Dead ย่อมมีอยู่มากแต่ในกรณีของเฟลิเซียคำอธิบายนี้ใช้การไม่ได้เสียแล้วครับ
“เธอตายและ ฝังศพไปนานตั้ง 29 ปีแล้ว!” ตามคำบอกเล่าของญาติสนิท
คนตายตั้ง 29 ปีจะเหลือร่างกายเอาไว้ ให้ลุกขึ้นมาเดินเทิ่งๆ จนต้องจับส่งโรงพยาบาลได้อีกหรือขอรับ?
ปริศนา ของซอมบี้ผีดิบลิฟวิ่งเดด จึงยังคงเป็นความลับต่อไป แม้ว่าในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมาจะไม่มีข่าวคนพบซอมบี้อีกเลย นอกจากในภาพยนตร์ ก็ใช่ว่าปริศนาลับของศพเดินได้ พรรค์นี้จะหมดสิ้นไปเสียเมื่อไรล่ะครับ.
วอเตอร์บอบบียัน (Waterbobbejan)
เรื่อง ราวของมนุษย์วานรนั้นมีให้พบเห็นกันทั่วโลกครับไม่ว่าเป็นอเมริกา แคนาดา เอเชีย หรือแม้แต่แอฟริกาสำหรับมนุษย์วานรในแอฟริกานี้ โดยเฉพาะแอฟริกาใต้ ยังมีสัตว์ที่คล้ายลิงคล้ายคนอยู่นั้นด้วยมันมีชื่อว่า วอเตอร์บอบบียัน(Waterbobbejan)หรือลิงบาบูนน้ำ(water-baboon)
มี คนพูดถึงสัตว์ตัวนี้มานานแล้วนะครับ โดยเจ้าตัวนี้ชอบไปเพ่นพ่านตามไร่ในชนบททางตอนเหนือของอาฟริกาใต้ และได้บุกรุกทำลายและสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนที่อาศัยในย่ามนั้นเป็น อันมาก โดยข่าวลือเรื่องลิงบาบูนน้ำมีมาตั้งแต่ปี 1880 จนถึงปี 1965 นี้เองที่มีข่าวว่าเด็กสองคนเห็นตัวมันในไร่เลียวฟอนไตน์หรือ น้ำพุสิงโต
ปัญหามีว่าเจ้าสัตว์ตัวนี้มันตัวอะไรกันแน่?
ก่อนที่จะหาคำตอบสำหรับเจ้าตัวนี้ ก็คงต้องย้อนไปสืบหาที่มาของเรื่องราวว่าความเป็นมาซะก่อน
มันเริ่มจาก สมัยนั้นอังกฤษเข้ามายึดแคว้นเคปในแอฟริกาใต้เป็นอาณานิคมเมื่อปี 1838 นั้น ชาวดัทช์ที่เรียกตัวเองว่าอาฟริกาเนอร์(Afrikaner) หรือคนอื่นเรียกพวกเขาว่า บัวร์(Boer) ซึ่งอาศัยอยู่ที่แถบนั้น แล้วพากันอพยพมาเพื่อหนีจากการรุกรานของอังกฤษ ซึ่งพวกเขาต้องบุกป่าฝ่าดงเพื่อไปตั้งดินแดนใหม่ที่ประเทศซิมบับเวและบอสวา นาจนถึงปัจจุบัน
จากนั้นในช่วงปี 1860 กว่าๆ ผู้อพยพพวกนี้ได้แลเห็นสัตว์รูปร่างคล้ายลิงแต่มีขนาดใหญ่กว่ามากเข้าไปใน ไร่ของพวกเขาในตอนกลางคืน โดยเฉพาะที่ไร่ทางไดโนก้านั้นมันฆ่า กินสัตว์เลี้ยงด้วยครับ ซึ่งสัตว์ที่มันชอบฆ่าและกินก็มีแกะ วัว แพะ และก็คนด้วย?? โดยวิธีที่มันฆ่าจะแตกต่างจากพวกสิงโต หมาจิ้งจอก หรือไฮยีนา นั้นคือมันจะฉีกเนื้อสัตว์ที่มันฆ่าด้วยมือเปล่าด้วยพละกำลังมหาศาล
พยานรายหนึ่งเล่าว่า มีวัวตัวหนึ่งที่มิได้กลับเข้าคอกพร้อมกับฝูงตอนเย็น เช้าวันรุ่งขึ้นเขาเลยออกไปตามหา แล้วก็พบว่าวัวของเขาถูกฉีดเป็นชิ้นๆ ซึ่งคนอื่นบอกว่า เห็นสัตว์ขนาดใหญ่คล้ายลิง สูง แขนยาว ตามตัวมีขนสีน้ำตาลแดง ดูคล้ายลิงบาบูนแต่ตัวใหญ่มาก มันมีพละกำลังมหาศาล มันสามารถใช้แขนหนีบวัวกระโดดข้ามรั้วกลับออกไปได้ นอกจากนี้ยังมีผู้พบเห็นสัตว์คล้ายลิงขนาดใหญ่เก็บผลส้มไปจนหมดต้น และสิ่งที่มันไม่เหมือนลิงบาบูนคือ มันเปรียวและอยู่ตัวเดียวไม่รวมฝูง
ชาวสวานาที่ทำงานเป็นคนงานในไร่เชื่อว่าสัตว์ชนิดนี้อาศัยอยู่ในถ้ำน้ำ ทำให้เรียกว่าบาบูนน้ำ สิ่งถ้ำนี้มันจนำเหยื่อที่ล่ามาเข้าไปแล้วฉีกเป็นชิ้นๆ อย่างไรก็ตามแม้สัตว์ตัวนี้จะสร้างความเสียหายกับชาวไร่ แต่ชาวไร่ห้ามไม่ให้ฆ่ามันเพราะเชื่อว่าถ้าฆ่ามันอาจเกิดภัยแล้งฟ้าฝนตกไม่ ตรงตามกำหนด เพราะทุกครั้งที่มันปรากฏตัวให้เห็นนั้นแสดงให้เห็นว่าเดือนนี้น้ำท่าจะ บริบูรณ์
มันคือตัวอะไรกันแน่?
มีหลายทฤษฏีที่พยายามอธิบายว่าพวกวานรมนุษย์พวกนี้คืออะไร มีทฤษฏีหนึ่งบอกว่ามันอาจเป็นสัตว์ที่รู้จักกันดีคือบาบูนชัคม่า (Chacma baboon:Papio Ursinus) หรือลิงซามังโก (samango monkey:Cercopithecus mitis) ซึ่งสัตว์ทั้งสองชนิดนี้มีการพบมากในแถบนั้น และสัตว์ทั้งสองนั้นมีขนาดโตมากพอดู เพราะฉะนั้นอาจทำหผู้พบเห็นหลายคนตกใจเข้าใจผิดๆ อยู่บ่อยว่ามันคือลิงบาบูนน้ำก็เป็นได้
ครั้งหนึ่งมีชาวไร่ในเขตอึมปูมาลังกาซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประ เทศอาฟริกาใต้ได้โทรศัพท์ไปหา ดร.โรเบิร์ต เบรน นักบรรพชีวินวิทยา ตอนนั้นประจำอยู่พิพิธภัณฑ์ทรานสวาลที่กรุงพริทอเรีย บอกว่าเขายิงบาบูนน้ำได้และถลกหนังออกมาไว้ ทำให้ดร. เกิดความสนใจจึงเดินทางไปดู ปรากฏว่าผิดหวังเพราะจากการตรวจสอบปรากฏว่าเป็นแค่หนังของลิงซามังโก
อย่างไรก็ตามทฤษฎีนี้บาบูนน้ำอาจไม่ใช้ลิงบาบูนชัคมาหรือลิงซามังโกก็ได้ เพราะสองลิงที่ว่านี้หาอาหารกินเวลากลางวัน อีกทั้งสองชนิดไม่ฆ่าสัตว์แล้วฉีดเป็นชิ้นๆ อย่างบาบูนน้ำ
อีกทฤษฏีหนึ่งก็คือทฤษฎีทาร์ซานหรือเมาคลี หรือเรียกว่าคนปละ(Feral humans) ซึ่งเรื่องแบบนี้เห็นกันบ่อยๆ ในทวีปแอฟริกา โดยราวปี 1980 ตำรวจพบเด็กชายอายุราว 5 ขวบที่ป่านิวปาร์คในแคว้นกวาซูลู-นาตาลของอาฟริกาใต้ อาศัยอยู่กับฝูงลิง ตำรวจต้องใช้กล้วยล่อออกมาจึงจับตัวได้ และนำมาเลี้ยงไว้ที่ศูนย์สังคมสังเคราะห์อิกเวซีเจ้าหน้าที่ที่นั่นตั้งชื่อ ให้เขาว่า แซตเตอร์เดย์ ตอนนี้โตขึ้นแล้ว แต่ก็ยังคงมีอาการท่าทางคล้ายลิงอยู่ และไม่ชอบนุ่งผ้าถ้าคนเผลอก็จะถอดเสื้อผ้าออกทิ้ง ฟังภาษาคนออกแต่พูดไม่ได้ คนงานที่ศูนย์ฯ เชื่อว่าแซตเตอร์คงจะถูกทิ้งที่ไว้ในป่า ตั้งแต่ตอนที่เกิดใหม่ๆ แล้วฝูงลิงคงนำเขาไปเลี้ยงไว้
อีกทฤษฎีก็เรื่องของมนุษย์กินคน โดยสมัยก่อนเกิดกลียุคเมื่อปี 1820 กว่าๆ อันเป็นผลมาจากกษัตริย์ซากาสามารถรวมชนเผ่าซูลูให้มีอำนาจเหนือเผ่าอื่นๆ ในแถบนั้น ทำให้คนเผ่าอื่นต้องหนีตายไปอาศัยอยู่ในถ้ำตามป่าเขาห่างไกล ซึ่งต้องใช้ชีวิตลำบากยากแค้น หลายคนถูกบังคับให้ต้องกลายเป็นมนุษย์กินคน จนกลายเป็นข่าวลือเลื่องว่าชาวบ้านพบเห็นอสุรกายครึ่งคนครึ่งสัตว์คล้ายลิง บาบูนขนเต็มตัว จนเกิดปัญหาทางจิตใจของมนุษย์ ความหวาดกลัวที่ฝังในจิตใจทำให้มองเห็นคนปละแล้วคิดว่าเป็นมนุษย์วานรก็เป็น ได้
นอกจากนี้ก็มีความเห็นอีกทฤษฎีหนึ่งคือมันอาจเป็นสัตว์โบราณจริงๆ ก็เป็นไปได้ โดยอาจมีสัตว์ที่เป็นบรรพบุรษของคนหลงเหลืออยู่และสืบต่อมาจนถึงเดี่ยวนี้ และมีรูปร่างพฤติกรรมของวานรมนุษย์ไม่ผิด ซึ่งมันอาจดำรงชีวิตในแถบทุรกันดารห่างไกลผู้คน
มีหลักฐานอีกอันหนึ่งที่น่าจะเกี่ยวของกับบาบูนน้ำคือ ที่เพิงผาใกล้ๆ เขตวาร์เดนในแคว้นโอเรนจ์ฟรีสเดต มีภาพเขียนโบราณของชาวบุชแมน เป็นรูปการต่อสู้ระหว่างพวกบุชแมนที่มีรูปร่างเล็กแต่มีอาวุธกับคนตัวโตแต่ ปราศจากอาวุธ ซึ่งภาพนี้บ่งบอกได้สองอย่างคือ มีมนุษย์วานรในสมัยดึกดำบรรพ์และอยู่ถึงที่นั้นจนถึงทุกวันนี้ และอีกอย่างคือเป็นรูปอุปมาหมายถึงคนปละ
ตามถ้ำทางแถบเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือของอาฟริกาไม่ไกลจากย่านที่ลือกัน เรื่อง บาบูนน้ำนั้น โดยเฉพาะที่สวาร์ตจการส์ และกรอมไดรใกล้ๆ เมืองครูเกอร์ดอร์ป และที่มากาปันสกัดในเขตวอเตอร์เบิร์ก ได้มีผู้พบเห็นโครงกระดูกมนุษย์วานรออสสตราโลปิเธคัส และมนุษย์ดึกดำบรรพ์โฮโมฮาบิลิส ถ้านำเรื่องนี้มาพิจารณาร่วมกับภาพเขียนของบุชแมนแล้วก็ชวนให้คิดว่า บางทีในอดีตที่นั่นบุชแมนอาจเคยอยู่ร่วมกับมนุษย์วานรเหล่านี้มาก่อน