หนีกรุง... แม่ลาน้อยที่ไม่น้อยเหมือนชื่อ
บันทึกการเดินทางเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เมื่อเดือนตุลาคม เป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว ก่อนอื่นขอแนะนำตัว เพื่อนๆ ชาวพันทิพทุกท่าน เรียกผมว่า WhiteTheRock ก็ได้ครับ ผมจะพาทุกท่านขึ้นเหนือไป แม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน ด้วยเวลา 3 วัน 2 คืน ขอตั้งชื่อทริปว่า “หนีกรุง…แม่ลาน้อย เมื่องที่ไม่น้อยเหมือนชื่อ” มาเปลี่ยนความวุ่นวายในเมืองหลวง เดินก้าวเท้ากันแบบช้าๆ ส่งทริปท้ายปีหนีกรุง
การเดินทาง
จากตัวเมืองเชียงใหม่ - อำเภอ แม่ลาน้อย ประมาณ 264 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 3-4 ชั่วโมงกว่าๆ โดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 108 เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน ครับ ปล. แล้วแต่จะขับช้าหรือเร็ว อย่างไงปลอดภัยไว้ก่อน
แม่ลาน้อย เป็นชื่ออำเภอ ในจังหวัด แม่ฮ่องสอน เป็นอำเภอที่โอบล้อมด้วยภูเขา อยุ่บนพื้นที่สูง มีป่าใหญ่ น้ำตกและธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ โดยมีลำน้ำสองแง่ คือ “แม่ลัวะน้อย” และ “แม่ลัวะหลวง” คำว่า ลัวะ เป็นภาษาพื้นเมืองดั้งเดิมของ (ละว้า ) หรือไทยใหญ่ ซึ่งคนที่นี้ก็จะเป็นชาวเขาไทยใหญ่นั้นเองครับ นานวันเข้า การออกเสียงก็เพี้ยนเปลี่ยนไปจากคำว่า “ลัวะ” ไปเป็น “ลา” จนมีที่มาว่าแม่ลาน้อย
ที่แห่งนี้มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ศาสนา และความเชื่อมากมาย ผมรู้สึกว่าการได้มาเยือน อำเภอเล็กๆครั้งนี้ สร้างความประทับใจ ให้ผมหลายอย่าง ทั้งจากการต้อนรับ ทางธรรมชาติ เปรียบเสหมือน ท่านประธานเปิดงานในพิธีเดินกลางหอประชุมใหญ่ๆ โดยทั้งสองข้างทางขณะเดินมีเสียง ปรบมือ พร้อมเพลงบรรเลงอย่างนุ่มหู แต่ความพิเศษของผมไม่ใช่เช่นนั้น ผมเป็นแค่คนธรรมดา คนหนึ่ง คงไม่มีโอกาสได้รับเชิญให้ไปเปิดงานที่ไหน หรือเสียงปรบมือจากใครๆ ซึ่งของขวัญที่ผมได้การมาครั้งนี้ คือ เสียงเพลงบรรเลงจากธรรมชาติ โดยมีเสียงเปียโนเป็นสายน้ำ เจ้านกน้อยขับร้องเสียงเพลง ช่างเป็นสุดยอดผลงานประสานเสียง ที่จัดขึ้นกลางขุมเขา อันกว้างใหญ่
“เฮินไต รีสอร์ท “ ที่พักบนเส้นทางสายธรรมชาติของแม่ฮ่องสอน ซึ่งยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวรู้จักมากนัก โอบล้อมด้วยทุ่งนา ขุนเขาเขียวขจี เป็นอีกหนึ่งความประทับใจ ที่อยากจะมาเล่าสู่กันฟัง ลักษณะของรีสอร์ทนี้ เป็นบ้านไม้ประยุกต์แบบวิถีไทยใหญ่ผสมล้านนา สร้างอยู่ริมทุ่งนาขั้นบันได ที่นำเสนอวิถีชีวิตชีวิตแบบดั้งเดิม โดยแต่ละหลังเชื่อมทางเดินด้วยสะพานไม้ มาบรรจบลงตรงลานชมดาว ซึ่งจุดนี้สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ ท้องนาสีเขียว ด้วยความลงตัวที่ชวนให้หลงใหล มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ ไม่เหมือนใครและก็ไม่มีใครเหมือน “ เฮินไต รีสอร์ท”
นอกจากความประทับใจ วิวของรีสอร์ทแล้ว ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่จะขาดไม่ได้เลย คือ การบริการที่เป็นกันเอง แจกรอยยิ้มกันทั้งวัน พูดคุยกันได้อย่างสบายใจ มีการบริการทั้งอาหารและเครื่องดื่ม เสริฟพร้อมความเป็นธรรมชาติ หรือจะนั่งจิบเบียร์ยามเย็น ชิวๆกลางทุ่งก็เก๋ไปอีกแบบ หนึ่งบทสนทนาที่เจ้าของ รีสอร์ท ได้มาพูดคุยกับแขกที่มาเยือนรวมถึงตัวผมด้วย ผมถามไปหนึ่งอย่าง คือ จุดเริ่มต้นรีสอร์ทเฮินไตเป็นมาอย่างไงครับ ?
ลานชมดาว
เสน่ห์ระหว่างทาง
ผมเป็นหนึ่งคนที่ชอบการเดินทาง ได้เปิดประสบการ์ณใหม่ๆ โดยเฉพาะ ขุมทรัพย์ทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างขึ้น ทุกครั้งก่อนที่ผมจะได้ไป สถานที่ไหน ผมจะศึกษาหาข้อมูล โดยเริ่มจากเบสิค ทางโลกออนไลน์ สื่อต่างๆ ก่อนจะออกเดินทางด้วยเพื่อนคู่ใจ กล้อง DSLR รุ่นเก่า ผมถ่ายรูปมามากมาย ถ่ายมาเป็นร้อยๆใบ พอจบทริปก็จะกลับมานั่งดูรูป นั่งคัดแล้ว คัดอีก เอารูปที่ดีที่สุด รูปที่เจ๋งที่สุด ผมเป็นหนึ่งคนที่รักการถ่ายรูปและการเขียน ซึ่งผมไม่รู้เลยว่าต้องเริ่มจากตรงไหน ต้องทำอะไรบ้าง พอมารู้ตัวอีกที ย้อนหลังกลับไปสัก 2 ปีที่แล้ว ผมก็ได้เขียนบทความต่างๆ รวมถึงการเขียนรีวิวการท่องเที่ยวโดยนำรูปที่ผมถ่ายมาบรรยาย หรือนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของผม ที่ได้ทำตามความฝันและสิ่งที่ตัวเองรัก
แสงสุดท้ายที่ แม่ลาน้อยนี้
ความรู้สึก ณ จุดนี้ ภาพที่ได้เห็นอยู่ตรงหน้า ทำไมมันช่างสวยงามเช่นนี้ สีฟ้าครามบนท้องฟ้า แต่งแต้มจุดสีขาวของก้อนเฆม ใบหน้าค่อยๆเงยมอง แล้วหลับตาลง รับรู้ถึงไออุ่นของสุริยา การล่ำลาแล้วพบกันวันใหม่ เป็นการบอกลาที่ไม่จากไป ทิ้งภาพควมประทับใจให้ตราตรึง
[มิตรภาพระหว่างทาง
ทุกครั้งผมจะให้ความสำคัญกับคำว่า “มิตรภาพ” เสมอมันเป็นส่วนเติมเต็มของถนนสายนี้ ถ้าขาดสิ่งนี้ไป ความสวยงามระหว่างทาง อาจจะลดน้อยลง จะดีแค่ไหน ระหว่างทางเดินมีเสียงหัวเราะ ที่ดังไปพร้อมกัน พูด คุย เดินเล่นอย่างสนุกสนาน นอกจากเพื่อนจะคอยเติมเต็มในสิ่งที่เราขาด เพื่อนยังเติมรสชาติของถนนเส้นทางนั้นด้วยและอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ ความกล้า คุณต้องก้าวข้ามมันไปให้ได้ อย่ากลัวที่จะยิ้มรับกับผู้คนที่เดินผ่าน อย่ากลัวที่จะกล่าวคำว่าสวัสดี เพื่อเป็นการเปิดทางของถนนมิตรภาพแห่งสายใหม่
สุดท้ายนี้ ก่อนจะลากันไปทริปส่งท้ายปี ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่เป็นส่วนหนึ่งในมิตรภาพการเดินทางครั้งนี้ ถ้าผมจะเขียนบันทึกการเดินทางลงสมุด แล้วเก็บมันเอาไว้คนเดียว คงไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าวันหนึ่งสมุดเล่มนั้นหายไป….