ลัทธิจู๋
ลัทธิบูชาจู๋
บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
เริ่มด้วยเรื่องที่มีสาระมากมาย ลัทธิบูชาจู๋ ฟังแล้วอย่าเพิ่งคิดอกุศล แนวคิดบูชาจู๋มีรากเหง้าอยู่ในหลาย ๆ วัฒนธรรมทั่วโลก และมันก็ไม่ใช่เรื่องมั่วเซ็กซ์ เรื่องบัดสีอะไร มันคือการบูชาเพื่อความอุดมสมบูรณ์ และการเจริญพันธุ์
ทำไมต้องจู๋
มีนักมนุษย์วิทยาเคยร่าย ทฤษฎีเกี่ยวกับแนวคิดบูชาอวัยวะเพศไว้ว่า เกิดจากการที่คนโบราณสังเกตธรรมชาติ คือฟ้า และดิน เวลาฟ้าส่งอะไรบางอย่างลงมาบนดิน เช่น ฝน หรือแสงแดด เป็นต้น ผืนดินก็จะมีพืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์ ออกดอกออกผล พอมามองในมุ้ง...อ้าวเฮ้ย จู๋ของผู้ชายก็ส่งบางอย่างเข้าไปในจิ๋มผู้หญิงเหมือนกันนี่หว่า เสร็จแล้วผู้หญิงก็ท้องมีลูกออกมา เหมือนผืนดินมีพืชพันธุ์เติบโตให้เก็บเกี่ยว
ยังมีความเชื่ออีกว่าถ้าใครเคารพ จู๋ก็จะได้ดิบได้ดี แต่หากใครที่คิดไม่ดีกับจู๋หรือลบหลู่ดูหมิ่นหรือประการใดที่ทำไม่ดีกับจู๋ ผู้นั้นครอบครัวนั้นดินแดนนั้นประเทศนั้นก็จะเกิดความวิบัติหายนะอย่างร้าย แรงได้
เมื่อเห็นดังนั้นคนโบราณจึงมองว่าท้องฟ้า เป็นฝ่ายรุก (active agent) มีเพศชาย ส่วนดิน เป็นฝ่ายรับ (passive agent) มีเพศหญิง เป็นเหตุให้เทพแห่งท้องฟ้าส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย และพระแม่ธรณีของแทบทุกวัฒนธรรมเป็นผู้หญิง เพราะมีหน้าที่อุ้มชูพืชผลนั่นเอง
อธิบายคร่าว ๆ ได้ตามนั้น
วัฒนธรรมบูชาจู๋รอบโลก
มีร่องรอยการบูชาจู๋ให้เห็นในหลายแห่งขอเริ่มจากกรีกก่อนก็แล้วกัน
ภาพจู๋ยักษ์จากวิหารไดโอนิซุสบนหมู่เกาะเดลอส (Delos) เป็นเทพแห่งไวน์และองุ่น จึงไปเกี่ยวพันกับเรื่องความอุดมสมบูรณ์ (Fertility) ด้วย ก็เลยได้จู๋มาเป็นสัญลักษณ์อยู่หน้าวิหาร และลูกชายของไดโอนิซุสก็ไม่น้อยหน้า
พริอาพุส (Priapus) ลูกชายไดโอนิซุสกับอะโฟรไดต์ ความอุดมสมบูรณ์มาดองกับความรัก จะได้อะไรล่ะจ๊ะ ก็ลูกดกไงล่ะ เป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ ปกป้องผลไม้ และเป็นเทพแห่งอวัยวะเพศชาย นอกจากของ ๆ เทพองค์นี้จะมหึมาแล้ว ยังกล่าวกันว่าแข็งตลอดเวลาอีกด้วย ใครมีอาการนกเขาไม่ขัน กรุณาไปหามาบูชาด่วน
จริง ๆ มีหลายตำนาน บ้างก็ว่าเป็นลูกไดโอนิซุส บ้างก็ว่าลูกเฮอร์มีส บ้างก็ว่าลูกของซุสเอง แต่จะเห็นได้ว่า พ่อ ๆ แต่ละองค์เป็นเทพประเภทฮอร์โมนเพศชายเหลือเฟือทั้งนั้น ว่ากันว่าโดนเฮร่าสาปให้ขี้เหร่ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ นับเป็นพวก "หน้าเน่า แต่เป้าเริด" ของแท้แต่ดั้งเดิม
กลับมาทางอู่อารยธรรมเอเชีย อินเดีย
มีหรือจะพลาดการบูชาของแบบนี้ ที่คุ้นเคยกันดี ก็ศิวะลึงค์ไงล่ะจ๊ะ มักจะมาคู่กับฐานรองรูปโยนี ก็เป็นตัวแทนความอุดมสมบูรณ์ ความเป็นไปของโลกนั่นแหละ
ขยับใกล้เขามาอีกนิด ก็ที่ญี่ปุ่น ที่มีเทศกาลแห่จู๋ยักษ์กัน
จากภาพข้างบนคือการเอาจู๋ศักดิ์สิทธิ์มาทำความสะอาดที่น้ำพุร้อน โดยผู้หญิงที่อยากมีลูก ในตอนท้ายพิธีต้องขึ้นขี่จู๋ด้วยถึงจะได้ผล
ที่ภูฏาน ก็มีการเขียนรูปจู๋ไว้หน้าบ้าน เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของบ้านและป้องกันสิ่งชั่วร้าย
แล้วก็มีการเต้นระบำเพื่อความอุดมสมบูรณ์โดยมีการถือสัญลักษณ์ไอ้จู๋ไว้ด้วย
เมืองไทยเอง ก็มีเหมือนกัน ที่ศาลเจ้าแม่ทับทิมที่ปาร์คนายเลิศ ก็มีลึงค์ตั้งโด่เด่ให้บูชาขอลูกเหมือนกัน และก็มีการแห่ลึงค์ของจังหวัดไหนสักแห่ง จขบ.เคยอ่านในสารคดี หรือศิลปวัฒนธรรมนี่แหละ แต่จำไม่ได้ซะแล้ว
ภาพทางซ้ายที่ปาร์คนายเลิศ ทางขวาศาลเจ้าแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ที่เอามาเทียบกันเพราะจะให้ดูว่า สองอันนี้เขาทำรายละเอียดได้ถึงพริกถึงขิงดีจริง ๆ ทั้งรอยหยัก รอยย่น และเส้นเลือดปูดโปน ...ฮ่าาาาาาาาาห์
ลัทธิบูชาจู๋สมัยใหม่
การบูชาจู๋สมัยก่อนเกี่ยวพันกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ แต่ในปัจจุบันก็มีการบูชากันทางเซ็กซ์โดยเฉพาะ ก็คือความคลั่งไคล้ในอวัยวะัเพศชายนั่นแหละครับ ขนาด ความกว้าง ความยาว ความโค้งงอน รูปลักษณ์ ขลิบ ไม่ขลิบ เจาะ ไม่เจาะ โกน ไม่โกน ก็หมกมุ่นกันไป ไม่ใช่เฉพาะเกย์เท่านั้นนะ ที่คลั่งไคล้ของพวกนี้ ผู้หญิงบางคนก็ชอบนะขอบอก
แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ต่างกันระหว่างการบูชาทางพิธีกรรมกับการบูชาทางเพศก็คือ...
ดูเหมือนว่า จะเชื่อกันว่าดีต้องใหญ่ ใหญ่ต้องดี
ถึงแม้นัก จิตวิทยาหรือหมอ ๆ จะพยายามพูดจนปากฉีกว่า ขนาดไม่สำคัญ ใช้ยังไงต่างหากที่สำคัญกว่า ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ฟังคำเตือนกันซักเท่าไร...
ดังนั้นหากใครมีแค่ไหนก็จงภูมิใจในสิ่งที่ตนมี อย่าไปฉีดเพิ่มขนาดเลยจ๊ะ
เอ่อผมไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้ยังไงอีกข้อมูลไม่ครบ จึงขอเชิญ mr. jamie มาเสริมเพื่อพวกคุณเข้าใจอย่างท๊องแท้