หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Team Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

มรดกพระเครื่อง

เนื้อหาโดย อักษราลัย

 

มรดกพระเครื่อง

 

อักษราลัย

 

 เช้าวันจันทร์ความเงียบสงบปกคลุมทั่วสำนักงาน คลื่นลมแห่งความเร่งรีบดูเหมือนหยุดพัก ทุกอย่างดำเนินไปตามร่องรอยเดิมอย่างไม่รีบร้อน ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศไหลวนอย่างซื่อสัตย์เป็นจังหวะเดียวกัน 

 

      เสียงพิมพ์คีย์บอร์ดไม่ต่างจากฝนเม็ดเล็กที่ตกลงบนแผ่นตัวหนังสืออย่างไม่มีสิ้นสุด ภาคินเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หมุนเก่า ๆ จอคอมพิวเตอร์สะท้อนเงาหน้าซีด ๆ ของเขา ตัวเลขในสเปรดชีตกางยาวเหยียด เกาะกุมสมาธิไม่ให้ไปไหน กล่องข้าวพลาสติกวางอยู่มุมโต๊ะ เขาดูดกาแฟสำเร็จรูปอุ่น ๆ รสขมที่บอกอะไรไม่ได้มากไปกว่า “ต้องตื่นเพื่อทำงาน”

 

 เพื่อนข้างโต๊ะคุยเรื่องบอลเมื่อคืน อีกคนส่งสติกเกอร์ไลน์รูปหมาใส่หมวก ไป ๆ มา ๆ ในวงสนทนาที่ไม่เคยมีบทสรุป ผู้จัดการเดินผ่านพร้อมคำถามเดิม “บิลลูกค้า ปิดหรือยัง” ภาคินพยักหน้า ร่างกายตอบก่อนสมองอย่างคุ้นชิน เป็นยิ่งกว่าอัตโนมัติ

 

 เสียงโทรศัพท์ดังในกระเป๋ากางเกงตอนเขากำลังปรับสูตรลิงก์เซลล์ในไฟล์งบคงค้าง เสียงน้องสาวลอดมาตามสัญญาณด้วยน้ำเสียงแตกพร่า “พ่อ… พ่อไปแล้วนะพี่” 

 

 ลมหายใจเขาสะดุดค้าง ตัวเลขบนหน้าจอพร่าเหมือนหยดน้ำฝนบนกระจก ภาคินนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนเอ่ยคำสั้นที่สุดเท่าที่คนหนึ่งจะพูดกับข่าวใหญ่ในชีวิต “อืม… เดี๋ยวพี่กลับบ้าน”

 

 บ่ายนั้นเขากลับบ้านด้วยกระเป๋าเป้ใบเดียว ถนนคดเคี้ยวผ่านทุ่งนาปลายฤดูเกี่ยว เหลืองแห้งรอไถกลบ กลิ่นดินแดดบ่ายอุ่นสากจมูก บ้านไม้สองชั้นยกใต้ถุนที่เขาเคยวิ่งเล่นในวัยเด็กยังอยู่เหมือนเดิม แต่เล็กลงถนัดตาเมื่อยืนพิงเสา แม่ยืนรับแขกอยู่หน้าบ้าน ใบหน้าแห้งผากดวงตาแดงก่ำ น้องสาวคอยตักน้ำให้ญาติ ๆ มือไม่ว่างสักนาที เสียงสวดจากลำโพงวัดลอยมากับลม พาให้ไก่บ้านร้องรับแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว

 

 งานศพพ่อทำตามธรรมเนียมเรียบ ๆ คนเฒ่าคนแก่พูดถึงพ่อว่า เป็นคนแข็ง เงียบ พูดสั้น ๆ แต่รับผิดชอบ สะพานข้ามร่องน้ำหลังบ้านฝีมือพ่อซ่อมแล้วซ่อมอีกจนยังข้ามได้ทุกหน้าฝน เด็ก ๆ ยังเล่นไล่จับจนกระดานดังเอี๊ยดอ๊าดเป็นจังหวะคุ้นหู ภาคินนั่งเงียบ ๆ ฟังเรื่องของคนที่เขาไม่เคยรู้จักดีพอ ทั้งที่เขาเรียกคนนั้นว่า “พ่อ” มาตลอดชีวิต

 

 คืนหลังเผาศพ น้องสาวยื่นหีบไม้เล็ก ๆ ให้ ตัวหีบด้านนอกสีคล้ำเป็นคราบมือ เขาใช้ความระมัดระวังมากเกินจำเป็นเหมือนถือไข่ดิบแล้วกลัวทำตกแตก ภายในมีซองพลาสติกใสกรอบเหลืองเรียงกันแน่นแต่เป็นระเบียบ พระเครื่องหลากพิมพ์นอนเงียบในนั้น ดินกรุสีน้ำตาลจับตามขอบ บางองค์มีคราบสีดำจาง ๆ ค้างในร่องลึกวางรูปพระ เหรียญสมเด็จเหรียญหลวงพ่อ สลับกับพระที่ภาคินอ่านไม่ออกว่าเป็นพิมพ์อะไร

 

 “พ่อบอกว่า ถึงเวลา ให้เอาให้พี่ ลูกชายคนเดียวของพ่อ” น้องสาวบอกง่าย ๆ เสียงท้ายประโยคแผ่วเบา น้ำเสียงยังคงแตกพร่าเจือสะอื้น สายตาหลบจากเขาไปที่พื้นไม้

 

 จังหวะนั้นความโศกเศร้าถอยหลังออกไปอย่างผิดคาด ช่องว่างในอกค่อย ๆ ถูกแทนด้วยแรงเต้นเล็ก ๆ ไปทั่วร่าง เขาหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปพระแต่ละองค์ แสงไฟบ้านสะท้อนผิวพลาสติกแข็ง ๆ เขาพิมพ์ชื่อที่พอจะเดาได้ลงในช่องค้นหา ผลลัพธ์จากโลกอีกฝั่งปรากฏราคาที่ต่อแถวยาวราวบัตรคิวธนาคาร “หลักหมื่น… หลักแสน… บางองค์ถึงล้าน” ตัวเลขปั้นความหวังขึ้นในหัวอย่างรวดเร็วราวภาพฝัน

 

 คืนถัดมาเขาขับรถเข้าเมือง ตรงไปตลาดพระที่เคยเห็น กลิ่นบุหรี่เก่าเก็บและน้ำหอมราคาถูกปะทะจมูกตั้งแต่ก้าวแรก เสียงผู้ชายอายุไม่เท่ากันคุยกันดังลั่นแต่จับใจความไม่ได้ ใครสักคนหัวเราะดังลั่น ใครอีกคนเคาะตู้กระจก ป้ายกระดาษเขียนลายมือโก่ง ๆ ว่า “รับเช่า-ให้เช่าพระแท้ พระเก๊คืนเงิน”

 

 ภาคินยื่นกล่องไม้ให้ร้านที่มีป้ายเรียบที่สุดวางอยู่บนตู้ ในนั้นมีพระทั้งพระเครื่อง พระพุทธรูปบูชาเรียงรายอยู่แน่นขนัด คนขายสวมแว่นขยาย พับหนังตาบนต่ำ มือจับพลิกพระในซองอย่างทะนุถนอมแต่แววตาไม่อ่อนโยน แว่นกลมส่องชิดเนื้อพระจนเห็นเสี้ยนเล็ก ๆ ข้างขอบ เขาดูนานแล้ววางลง

 

 “เก๊หมด” เสียงสั้นกุดไร้อารมณ์

 

 ภาคินยืนค้าง สมองทำงานช้ากว่าสายตาคนขายสองจังหวะ “ผมดูในเน็ต… ราคามัน…”

 

 “ในเน็ตอะไร ๆ ก็ได้” อีกฝ่ายยิ้มฝืด ๆ “ของจริงต้องดูด้วยตา ส่องด้วยใจ”

 

 คำว่า “ส่องด้วยใจ” ฟังเหมือนคำโฆษณาชวนฝัน แต่ในตลาดนี้มันเหมือนคาถาใส่เกราะ คนในร้านถัดไปพูดคล้ายกัน ต่างกันตรงสำเนียงและรอยระแวงในริมฝีปาก ภาคินกลับบ้านตอนบ่ายแก่ ๆ ด้วยกล่องไม้ใบเดิมที่มีน้ำหนักมากกว่าเดิม ไม่ใช่น้ำหนักของวัตถุ แต่เป็นน้ำหนักของความอับอายที่พูดไม่ออก

 

 เขาไม่ขายในวันนั้น และไม่ขายในอีกหลายสัปดาห์ถัดมา เขาเริ่มเดินตลาดด้วยมือเปล่า เปลี่ยนจากคนถูกตัดสินเป็นคนเฝ้าดู หมุนตัวไปตามแผงที่มีผู้ชายสวมนาฬิกาสแตนเลสเงาวับ ซองพลาสติกขยับผ่านมือแล้วมือเล่าเหมือนธนบัตร กลิ่นยาฆ่าเชื้อเจือในอากาศบาง ๆ จากมือที่เพิ่งล้าง เขาจดคำใหม่ลงสมุดเล็กใบหนึ่ง “เส้นศิลป์ คราบกรุ รอยตัดขอบ ร่องหน้าที่ควรลึก เม็ดแร่ แป้งโรย” ตัวหนังสือเขียนเกินชีวิตพนักงานบัญชีอย่างที่เขาเคยเป็น

 

 คืนวันธรรมดาเขาเปิดหนังสือภาพพิมพ์พระกรุเก่า ๆ ที่ซื้อจากร้านหนังสือมือสอง สปอตไลต์สว่างจ้าตั้งโต๊ะก้มส่องเนื้อดินที่ถูกขยายบนกระดาษหยาบ เขาเข้ากลุ่มไลน์นักเลงพระ ใช้ชื่อบัญชีธรรมดา ๆ “คิน คนดู” อ่านการโต้เถียงเรื่องเส้นเกศาและคราบขอบปางสมาธิอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนเตรียมตัวสอบ กว่าจะรู้ตัวก็ล่วงเลยเที่ยงคืนหลายครั้ง 

 

 ครั้งแรกที่เขา “เจ็บตัว” เกิดขึ้นในเช้าวันเสาร์ เขาเจอพระพิมพ์ที่คนขายหน้าใหม่ยกขึ้นโชว์ในกลุ่มไลน์ “สวยเดิม” หลายคนตาไว พิมพ์ทับกันในช่องแชต เขาเร่งขับรถไปนัดเจอที่ร้านกาแฟมุมตลาด พระองค์นั้นอยู่บนถาดพลาสติกขาวอย่างเรียบร้อย แสงส่องจากหน้าต่างร้านทอดบนผิวองค์พระเป็นเกล็ดนวล เขาจ่ายเงินโดยไม่ต่อ หัวใจเต้นแรงเพราะกลัวคนอื่นตัดหน้า 

 

     กลับถึงบ้านส่องดูอย่างตื่นเต้นแล้วใจหล่น รอยตัดขอบเรียบจนผิดยุค เม็ดแร่ที่ควรฝังในดินกลับวางบนผิวเหมือนฝุ่นโรยใหม่ ๆ เขานั่งนิ่งอยู่นาน ยอมรับว่าโดนตุ๋น และบอกตัวเองว่า “นี่คือค่าลงทะเบียนเรียน”

 

 หลัง “ลงทะเบียนเรียน” สองสามครั้ง สายตาเขาเริ่มเปลี่ยน น้ำหนักมือส่องลูบเปลี่ยน ความร้อนรนตอนเห็นคำว่า “สวยเดิม” ค่อย ๆ ถูกแทนด้วยความเย็น ช้าลง แต่แหลมขึ้นอย่างมีหลัก เขาเริ่มรู้จักคนในตลาดมากขึ้น ชื่อ “พี่ดำสนามใต้” “ลุงชูโรงเก่า” “อาซ้อหนองแขม” ถูกเรียกออกจากปากเขาอย่างเป็นกันเอง ผู้คนเริ่มถามความเห็นเขาเรื่องพระรุ่นที่เขาอ่านบ่อย ผิวหน้าเรียบเฉยของภาคินเริ่มมีแววบางอย่าง คล้ายคนที่เห็นทางเดินลับใต้ถุนบ้านตัวเอง

 

 เย็นวันหนึ่ง ขณะยืนดูคนเฒ่าคนแก่ถกเถียงเรื่องรอยแตกลายงากรุวัดหนึ่ง ชายวัยกลางคนรูปร่างเตี้ยผมหงอกหยักศกมองหน้าภาคินนานกว่าปกติ ดวงตาหรี่ลง “เอ็ง… ลูกลุงมนัสใช่ไหม” ชื่อพ่อหลุดออกจากปากคนแปลกหน้า ภาคินตอบสั้น “ครับ”

 

 “ลุงมนัสนี่ดังนะสมัยข้า” เสียงหัวเราะของเขามีอะไรปนอยู่ “ดังแบบนักเลงพระจริง ๆ ปล่อยของเก๊จนวงการสั่นสะเทือน แต่อย่างว่า มือถึง ใจถึง ขยันถึง” เขาชะโงกหน้ามาใกล้ “ของในกล่องที่เอ็งหอบเดินวันแรก ๆ นั่นแหละ… ฝีมือพ่อเอ็งทั้งนั้น”

 

 ภาคินยืนเฉย แต่ในอกเหมือนมีอะไรแข็งเกร็งคล้ายโซ่จักรยานที่ดีดตกเฟือง ความคิดสั้น ๆ ผ่านแวบมา ภาพพ่อห้อยพระหลายองค์ตลอดชีวิต แต่ไม่เคยพูดถึง มื้อเย็นที่เงียบ มีเสียงช้อนกระทบจานเป็นจังหวะเดียวกันเสมอ บางคืนพ่อกลับดึก เปลือกตาดำคล้ำแบบคนทำงานกลางตลาด เขาไม่ถาม และพ่อไม่เล่า ทุกอย่างตกกระจายออกเป็นผง แล้วจับตัวใหม่ในรูปทรงเดิม เพียงแต่คนในรูปนั้นยืนคนละมุม

 

 ตั้งแต่นั้น เขาไม่เคยคิดจะขายพระในกล่องนั้นเลย มันกลายเป็นซากเรือที่พ่อจอดทิ้งไว้ให้กลางบ้าน ใช้ประโยชน์ไม่ได้แต่ไม่อาจลากไปทิ้ง เขาเลือกอีกทาง สะสมพระของแท้ด้วยเงินของตัวเอง จับมือกับคนตรงไปตรงมาเท่าที่หาได้ และตอบคำถามด้วยสายตาตรง ๆ เท่าที่ทำได้ ชื่อของเขาเริ่มหมุนเวียนในตลาด เสียงกระซิบ “ไอ้คินดูพระแม่นนะ” เดินนำหน้าร่างจริงของเขาไปหนึ่งก้าวเสมอ

 

 บางเดือนเขาขาดนัดกับเพื่อนร่วมงาน หลีกลงจากก๊วนกินหมูกระทะเย็นวันศุกร์ โทรศัพท์ในที่ทำงานเริ่มดังด้วยเรื่องนัดดูพระมากกว่ารายการค่าใช้จ่ายลูกค้า เขาสังเกตว่ากลิ่นออฟฟิศทุกเช้าคือกลิ่นน้ำยาถูพื้นผสมกาแฟสำเร็จรูป ส่วนกลิ่นของตลาดพระคือควันบุหรี่เก่ากับพลาสติกอุ่นแดด ร่างกายค่อย ๆ เลือกกลิ่นหลังมากกว่าโดยไม่ต้องตัดสินใจ

 

 ฤดูฝนปีนั้นเขาได้รับข้อความจากผู้จัดงานประกวดพระใหญ่ที่โรงแรมหรู “เรียนเชิญคุณภาคินเป็นหนึ่งในคณะกรรมการพิจารณา” ตัวหนังสือสุภาพชนิดที่ชีวิตพนักงานบัญชีไม่เคยพานพบ ภาคินอ่านซ้ำอยู่หลายรอบ คล้ายมองชื่อของตัวเองอยู่บนบัตรผ่านงานที่ไม่คิดว่าจะได้แตะ เขาตอบตกลงทั้งที่มือยังค้างอยู่บนคีย์บอร์ดงบกำไรขาดทุน

 

 วันงาน เขาใส่สูทที่ไม่ค่อยได้ใส่ รองเท้าหนังยังแข็งคับปลายเท้าจนต้องเดินสั้น ๆ รถเลี้ยวเข้าโรงแรม พนักงานเปิดประตูด้วยรอยยิ้มที่ผ่านการซ้อมมาอย่างดี กลิ่นหอมอ่อน ๆ ในโถงกับแชนเดอเลียร์ส่องแสง ห้องบอลรูมปูพรมลายเรขาคณิต สีทองบนผนังทำเสียงคนให้เบาขึ้นโดยอัตโนมัติ โต๊ะยาวเรียงเป็นแถว มีพระอยู่ใต้ไฟสปอตไลต์ทีละองค์ ด้านล่างติดป้ายพิมพ์ชื่อรุ่นและปีที่สร้าง พิธีกรเสียงนุ่มกล่าวต้อนรับ แขกในสูทและชุดไทยประยุกต์เดินถือแก้วไวน์เดินหมุนวนเหมือนเล่นก้าอี้ดนตรี

 

 กรรมการห้าคนนั่งเรียง ภาคินนั่งปลายสุด เขาสบตาคนข้าง ๆ ชายร่างสูงผมหยักศก ทักทายด้วยชื่อเล่นยาว ๆ ที่ใคร ๆ ก็รู้จักในวงการ วงสนทนาก่อนเริ่มคล้ายเพลงเปิดงาน เรื่องยากกลายเป็นคำง่าย “องค์นี้ดูดีมาก” “เนื้อตรงยุค” “พิมพ์นี้หลอกยาก” คนในห้องยิ้มให้กันราวงานมงคล มากกว่างานที่ต้องใช้ตาและใจวัดความจริง

 

 งานเริ่ม พระองค์แรกเลื่อนมาที่หน้าเขา แว่นขยายของโรงแรมใสจนเห็นเส้นเลือดตัวเองในตาขาว เขาหยิบพระขึ้นเบา ๆ สัมผัสแรก เย็นเรียบเกินไป ขอบรอบองค์ถูกตัดจนเนียนผิดธรรมชาติ ร่องลึกบางจุดซ้ำมือช่างใหม่ที่เกินยุค เม็ดแร่คล้าย… คล้ายฝังไม่ถูกชั้น เขารู้ทันทีว่า “เก๊” เป็นคำที่ตรงที่สุด แต่เขาไม่ได้พูด คนข้าง ๆ เอ่ยก่อนด้วยน้ำเสียงกระจายอำนาจ “องค์นี้สวยครับ ของแท้แน่นอน เนื้อจัด ลักษณะทุกอย่างครบ”

 

 ผู้จัดงานพยักหน้าหงึก ๆ คนถือไมค์ยิ้มบันทึกคำว่า “แท้” ใว้ในอากาศ แขกข้างล่างทำตาเป็นประกายเหมือนเห็นเลขล็อตเตอรี่รอบถัดไป ภาคินมองพระในมือ คำว่า “เก๊” ลอยอยู่แถวลิ้น แต่โดนอะไรสักอย่างกดไว้ อาจเป็นมือที่ยื่นมาจากใต้โต๊ะ อาจเป็นสายตาหลายสิบคู่ อาจเป็นเงายาว ๆ ของ “วงการ” ที่วางตัวบนไหล่เขาอย่างนุ่มนวลแต่หนักแน่น

 

 เขาวางพระลง ยิ้มบาง ๆ แบบที่เรียนรู้จากออฟฟิศเวลาลูกค้าถามว่าทำไมรายจ่ายสูงผิดปกติ ยิ้มที่ไม่ตอบอะไร เขาขยับปาก “เห็นตามท่านครับ” เสียงตัวเองเบากว่าที่คิด แต่พอถึงไมโครโฟนก็ดังพอให้คนทั้งห้องได้ยิน

 

 เสียงตบมือตามมาเหมือนฝนโปรยกลางฤดู คนข้างล่างยิ้ม พนักงานโรงแรมยิ้ม พิธีกรยิ้ม ภาคินมองมือของตัวเองที่ยังวางบนโต๊ะนิ่งราวหม้อที่ปิดไฟแล้ว แต่ไอร้อนยังวนอยู่ข้างใน

 

 พิธีไปต่อ องค์ต่อองค์ บางองค์เขามั่นใจว่าแท้ บางองค์ไม่ เขาเริ่มสังเกตว่าคำว่า “แท้” ในห้องนี้มีจังหวะของมันเอง กลมกล่อมกว่าคำว่า “ถูกต้อง” และหวานกว่า “จริง” เล็กน้อย ทุกครั้งที่เสียง “แท้” ดังขึ้น ภาพในกล่องแชตของกลุ่มนักเลงพระในโทรศัพท์เขาก็ผุดขึ้นร่วมร้องเฮเหมือนเชียร์บอล เขาหันมองแขกคนหนึ่งที่ห้อยพระเป็นพวงตรงอก เสื้อเชิ้ตสีครีมของชายคนนั้นพองเล็กน้อยตรงท้อง ภาคินรู้สึกเหมือนมีใครเอาผ้าขาวบางคลุมตา ผ้าที่ทำจากคำชมเชย

 

 หลังจบงาน คนจำนวนมากเข้ามาจับมือเขา “ยินดีต้อนรับนะคุณภาคิน สายตาคมดี” “หนุ่มแต่ดูเก๋า” “อนาคตไกล” ความชื่นชมไหลมาเหมือนน้ำร้อนผสมชาสำเร็จรูป เร็วและรสชาติคล้าย ๆ กัน เขาโค้งหัวรับคำทั้งหมดด้วยท่าทางที่เหมาะสม สายตาเหลือบเห็นคนคนหนึ่งยืนอยู่มุมห้อง ชายเตี้ยผมหงอกหยักศกคนนั้น แกยกคางนิด ๆ เหมือนเรียก แต่ไม่เข้ามา แววตาแกไม่ได้ซับซ้อน ไม่มีแววประชด มีเพียงความเงียบของคนผ่านอะไรมาเยอะแล้วรู้ว่าไม่มีคำไหนจำเป็น

 

 ค่ำคืนนั้น ห้องเช่าเขากลับสว่างด้วยไฟดวงเดียวบนเพดาน กล่องไม้วางอยู่บนโต๊ะ พื้นผิวด้านบนเป็นรอยขีดข่วนที่จำไม่ได้ว่าเกิดตอนไหน ภาคินนั่งลง เปิดกล่องออก ล้วงซองพลาสติกเก่าออกมาเปิดทีละอัน พระของพ่อกลับมาอยู่บนมือเขาอีกครั้ง เงามืดของตัวเองถูกแสงพาดลงบนโต๊ะไม้

 

 เขาส่องพระที่ถูกตัดสิน “เก๊หมด” ในวันแรกอีกครั้ง คราบกรุที่คุ้นตาเมื่อตอนนั้น ตอนนี้กลายเป็นควันจาง ๆ ของอดีตที่เดินกลับมาตบไหล่ เขาวางพระลงทีละองค์ เงี่ยหูฟังความเงียบที่ตีกรอบห้องไว้ ความเงียบพูดชัดกว่าคำชมในโรงแรม แต่ใครจะอยากฟัง ความคิดหนึ่งคืบคลานมาจากขอบโต๊ะ เราไม่ใช่พ่อ เราเลือกทางของเราแล้ว แต่อีกความคิดลุกขึ้นนั่งข้าง ๆ อย่างไม่เกรงใจ ในห้องบอลรูมเมื่อบ่าย ใครกันยกมือ

 

     เสียงหัวเราะหลุดจากคอเบา ๆ ก่อนกลายเป็นลมหายใจยาว เขาเอื้อมมือหยิบองค์ที่ขอบแตกเล็กน้อยขึ้นมา นิ้วโป้งลูบผ่านรอยแตกนั้นช้า ๆ รอยแตกเหมือนทางเดินลับจากยุคพ่อมายุคเขา ถ้าปิดไว้ด้วยกาว กาวก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งขององค์พระ ไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่ความเท็จ เป็นเพียงสิ่งที่ช่วยให้ “อยู่ได้”

 

 โทรศัพท์สั่นบนโต๊ะ ข้อความเด้งจากกลุ่มไลน์กรรมการ “งานวันนี้สวยงามครับ ขอบคุณทุกท่านสำหรับเกียรติและมิตรภาพ” รูปไวน์แดงเรียงพร้อมมือยกแก้วปรากฏใต้ข้อความ ภาคินจ้องดูนิ่ง ๆ แล้ววางหน้าจอคว่ำลงบนโต๊ะ

 

 กลางดึก เขาฝันถึงตลาดพระ เสียงหัวเราะกระแทกคอ กลิ่นควันบุหรี่อ้อยอิ่ง ย่ามผ้าพาดบ่าคนชรา ผิวมือแตกแห้งของผู้หญิงคนหนึ่งจับซองพลาสติกอย่างระวังราวจับคำพูดลูกหลานไม่ให้บาดใจ เขาเดินวนไปรอบโต๊ะยาวที่ไม่มีทางออก จุดจบของโต๊ะคือจุดเริ่มของโต๊ะอีกตัว ตู้กระจกซ้อนกันเป็นเขาวงกตที่มีแสงส้มจากไฟเก่าครอบอยู่ด้านบน เขามองเห็นพ่อยืนอยู่ไกล ๆ หันหลังให้ เขาตะโกนเรียก แต่เสียงไปไม่ถึง เหลือเพียงภาพหลังค่อม ๆ ที่ค่อย ๆ หลอมเข้ากับเงาคนอื่น แล้วหายไป

 

 เขาตื่นพร้อมเหงื่อซึมตรงท้ายทอย ลมตีใบหน้าจากช่องหน้าต่างเล็ก ผ้าม่านสีเทาบางยกตัวขึ้นเล็กน้อยเหมือนมือคนแก่ที่พยายามเปิดฝากล่อง ภาคินขยับตัวนั่ง ก้มลงหยิบพระอีกองค์ขึ้นส่อง ความคิดกลับชัดเจนอย่างแปลก 

 

 ในวงการนี้ “แท้” อาจเป็นของที่เกิดจากความพร้อมเพรียงของเสียงมากกว่าความพร้อมเพรียงของเหตุผล วงการอื่น ๆ ก็เช่นกัน หุ้น อสังหา การเมือง ข่าวบนหน้าฟีด ทุกที่เสียงดังมักชนะความนิ่ง สังคมคือตลาดใหญ่ที่มีโต๊ะยาวไม่สิ้นสุด ตัวเขาเองตอนบ่ายก็เคาะโต๊ะตามจังหวะนั้นอย่างไม่รู้ตัว

 

 หลายวันต่อมา ภาคินยังรับคำชม ยังคุยกับคนใหม่ที่อยากฝากตัวเป็นศิษย์ ยังคงไปตลาด ยังคงอ่านหนังสือ และยังคงหัวเราะแห้ง ๆ เวลาได้ยินคำว่า “สวยเดิม” เขาตอบข้อความผู้จัดงานอีกงานหนึ่ง “ยินดีครับ” นิ้วโป้งแตะส่งด้วยความระมัดระวังพอ ๆ กับตอนแตะขอบองค์พระ เพียงแต่ครั้งนี้เขารู้แล้วว่าความระมัดระวังไม่ใช่การหยุด แต่คือการเลือกจังหวะที่จะไปให้เข้ากับเสียงในห้อง

 

 เย็นวันอาทิตย์ เขากลับบ้านต่างจังหวัดไปเยี่ยมแม่ นั่งกินแกงส้มกับปลาทอดบนพื้นไม้ แม่ถามนิด ๆ หน่อย ๆ เรื่องงาน เขาตอบสั้น ๆ คล้ายพ่อในความทรงจำมากกว่าที่คิด เด็กในซอยวิ่งผ่าน เสียงหัวเราะใส ๆ ดังสาดเข้ามาใต้ถุน เป็นเสียงที่ไม่ได้ต้องการคำยืนยันว่าแท้หรือเก๊ แค่มีลมหายใจของมันเอง

 

 ก่อนกลับ เขาเปิดหีบไม้ดูอีกครั้ง คราบฝุ่นขึ้นบาง ๆ ที่ขอบ ภาคินไม่ได้เช็ดออกทันที เขาเพียงลูบผ่านเบา ๆ เหมือนรับทราบ แล้วปิดฝา หีบวางอยู่ที่เดิมตรงมุมห้องรับแขก เหมือนก้อนหินที่พ่อวางทับผ้าบาง ๆ กันลมพัด แต่ก็เหมือนประตูเล็กที่เปิดออกสู่ห้องที่เขาเดินเข้าไปแล้ว ห้องที่มีโต๊ะยาว มีแสงส้มจากไฟเก่า และมีเสียงคนเห็นพ้องพร้อมเพรียง

 

 คืนนั้น เขากลับถึงห้องเช่าในเมือง เปิดไฟดวงเดียวบนเพดานอย่างเคย แก้วน้ำเย็นมีไอน้ำเกาะบาง ๆ ข้างแก้ว เขายกขึ้นจิบแล้วหัวเราะในลำคอเมื่อคิดถึงประโยคที่คนขายในร้านแรกพูด “ของจริงต้องดูด้วยตา ส่องด้วยใจ” ประโยคเดียวกันที่วันนี้เขาเอ่ยกับคนรุ่นหลังด้วยน้ำเสียงที่นิ่งขึ้นนิดหน่อยและช้าลงเล็กน้อย เขาวางแก้วลง นั่งกับเก้าอี้ไม้ที่เริ่มส่งเสียงเอี๊ยดเวลาเอนหลัง

 

 มือข้างหนึ่งหยิบพระที่เขาเลือกไว้เอง องค์ที่เชื่อว่าแท้ด้วยสายตาและใจของเขา ขึ้นส่องใต้แสงไฟ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มไม่ได้อุ่น แต่ไม่เย็น รอยยิ้มนั้นเหมือนเส้นบาง ๆ บนเนื้อพระที่ไม่รู้ว่าเกิดจากเวลา หรือจากมือคน

 

 เขาเงยหน้า มองตัวเองในกระจกบานเล็กข้างตู้เสื้อผ้า ชายคนในกระจกสวมสายตาที่ต่างจากเมื่อวันโทรศัพท์ดังครั้งแรก ไม่ใช่คนที่อยากขายทุกอย่างออกไปให้เป็นเงิน แต่เป็นคนที่เรียนรู้จะถือสิ่งหนึ่งไว้แม้ไม่มีราคาในตลาด เพราะมันบอกเรื่องราวที่คนอื่นไม่สนใจ

 

 ไฟในห้องยังส่องลงบนโต๊ะไม้เหมือนทุกคืน ภาคินหันไปเก็บพระลงซองพลาสติก สีเหลืองกรอบสะท้อนสั้น ๆ ก่อนดับ เขาปิดสวิตช์ ล้มตัวลง เตียงส่งเสียงเบา ๆ และความมืดเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน ในความมืดนั้นมีเสียงบางอย่างดังขึ้น เสียงของห้องบอลรูม เสียงกลุ่มไลน์ เสียงเงียบของพ่อ ทั้งหมดซ้อนทับกันจนแยกไม่ออก เขาหลับลงไปในเสียงนั้น

 

 เช้าวันใหม่จะมาถึง คนในตลาดจะโต้เถียงเรื่องเนื้อพระอีกครั้ง ออฟฟิศจะถามถึงบิลลูกค้าอีกหน ร้านกาแฟจะใส่ครีมเท่ากันทุกแก้ว และงานประกวดพระครั้งหน้าอาจส่งคำเชิญมาในกล่องขาเข้าอีก ภาคินคงยิ้มบาง ๆ แบบที่เขาเรียนรู้ แล้วตอบคำเดิม “ยินดีครับ”

 

 มุมปากเขาอาจยกขึ้นอีกนิดตอนฮัมเพลงในคอ ประโยคที่กลายเป็นเสมือนบทสวดประจำวงการ

 

 “ของแท้ ของเก๊… อยู่ที่ว่าใครพูดเสียงดังที่สุด”

 

>> ลงในอ่านอิ่ม ฉบับวันที่ 28 ตุลาคม 68 

เนื้อหาโดย: อักษราลัย
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
อักษราลัย's profile


โพสท์โดย: อักษราลัย
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เจาะสถิติสลากกินแบ่งรัฐบาล ย้อนหลัง 10 ปี (งวด 2 มกราคม)BBC ยกให้ "กรุงพนมเปญ" ติด TOP20..ปลายทางที่ดีที่สุดในโลกมิตรภาพใต้สมุทร เมื่อ "วาฬเพชฌฆาต" จับมือ "โลมา" ร่วมทีมล่าล่าเหยื่ออาเซียนเนื้อหอม! เจาะเหตุผลทำไม บังกลาเทศ-ปาปัวนิวกินี-ฟิจิ อยากเข้าใกล้ครอบครัวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้APC M113 รถเกราะ 60 ปี ลุยสมรภูมิช่องอานม้า เสริม "เกราะไม้" กันจรวดสุดแกร่งนัดแล้วเปลี่ยน! กัมพูชาขอย้าย GBC ไปมาเลเซีย โยนเหตุผลกลัวไทยไม่ปลอดภัยไทยซื้อระบบป้องกันทางอากาศใหม่ !ช่องอานม้าแตก! ทหารไทยรุกยึดบังเกอร์ ปักธงชาติคืนพื้นที่
กระทู้อื่นๆในบอร์ด เรื่องสั้น
น้ำตาแม่คำมั่นที่ไร้เจ้าของหอคอยกระจกทรายลูกไม้หล่นใต้ต้น
ตั้งกระทู้ใหม่