หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Team Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

คำมั่นที่ไร้เจ้าของ

โพสท์โดย อักษราลัย

คำมั่นที่ไร้เจ้าของ

 

 อักษราลัย

 

          แดดยามบ่ายส่องทะลุกลุ่มเมฆลงมาสาดความร้อนแรงไปทั่ว ความรู้สึกแสบร้อนผิวกายในยามนี้คงไม่เท่าความรู้สึกภายใน ฉันนั่งมองภาพถ่ายใบนั้นด้วยใจที่ปวดร้าว เฝ้าแต่ถามคำที่ไม่มีตอบ

 

          “ที่รัก สัญญานะว่าเราจะรักกันตราบชั่วฟ้าดินสลาย” เขาพูดพลางจ้องหน้าฉันนิ่งนาน ระหว่างเราดื่มกาแฟยามบ่ายในฤดูหนาวปีที่สองของการแต่งงาน วันนั้นแดดอบอุ่นไม่ต่างจากประกายในดวงตาของเขา

 

            “ตลกจริง ๆ เลยคุณ ชั่วฟ้าดินสลายนี่นะ ชื่ออย่างกับหนัง”

 

            “แหมคนจะโรแมนติกซะหน่อย ทำเป็นขำไปได้” ฉันจ้องเข้าไปในดวงตาคู่นั้นของเขาราวกับจะบันทึกภาพตรงหน้าให้จำไว้ในส่วนลึกของสมอง คลี่ยิ้มบางเบา ก่อนพูดกลับไปว่า

  

          “ถ้าชั่วฟ้าดินสลาย ฉันไม่รู้มันเป็นยังไง แต่ถ้าสัญญาว่า เราจะเดินไปด้วยกันจนแก่เฒ่า ทุกวินาทีจะมีกันและกันเสมอ จะจับมือประคองกันไป ตราบจนวันสุดท้าย แบบนี้ดีไหมคะ”

 

          คำมั่นที่มีให้กันแบบขำ ๆ ในวันนั้น กลับเป็นตัวฉันเองที่ยึดมันไว้แน่นจนลมหายใจสะดุด เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง คนที่ไม่ยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คนที่ไม่ยอมปล่อย กลับกลายเป็นฉัน คนที่ใคร ๆ ขนานนามมาตลอดว่า เย็นชา

 

          ฉันเอื้อมมือไปแตะขอบกรอบรูป รูปนั้นเอียงเล็กน้อยราวกำลังจะไถลตกจากโต๊ะไม้เก่า แก้วกาแฟอีกใบวางอยู่ข้าง ๆ คราบสีน้ำตาลจับแก้วจากคราบกาแฟที่ไม่เคยถูกนำไปล้าง แอบเห็นขนสั้น ๆ ของแมวลอยติดอยู่หนึ่งเส้น มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีแมว แต่ละแวกนี้มีแมวจรหกเจ็ดตัวที่ชอบมาตะกุยถังขยะหน้าบ้านในยามเย็น ฉันมองคราบบาง ๆ บนพรมใกล้ขาโต๊ะอีกครั้ง สีมันซีดจนกลืนไปกับเส้นใย แต่พอเงยหน้าขึ้น ความรู้สึกบางอย่างกลับไหลย้อนขื่นขึ้นมาจนถึงลำคอ ความรู้สึกที่ฉันไม่อยากจะทวนว่าคืออะไร

 

          หน้าต่างบานเก่ารับแสงบ่ายเรื่อ ริ้วผ้าม่านบาง ๆ พลิ้วไหวตามแรงลม บ้านไม้สองชั้นหลังนี้แก่กว่าเรา มันรู้จักการจากลาและการกลับมาอย่างที่ฉันไม่รู้จัก มันส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเล็กน้อยเมื่อฉันเหยียบชานบันได เหมือนจะเตือนว่าตรงนี้เคยมีใครผ่านมาก่อน หรือบางที…ยังอยู่

เสียงโทรศัพท์สั่นอยู่บนโต๊ะกินข้าว ฉันเดินไปหยิบ หน้าจอเรืองชื่อ “เมย์” เพื่อนร่วมงานที่ฉันไม่ค่อยสนิทนัก แต่ก็พอคุยกันได้ในเวลาขาดคนฟัง

  

          “ฮัลโหล”

            “อร…เงียบไปเลยนะ เป็นยังไงบ้าง”

            “ก็ดี…เท่าที่จะดีได้”

            เมย์เงียบไปนิด ก่อนถามด้วยเสียงต่ำเบา “เขายังไม่ติดต่อมาเหรอ”

  

          ฉันเหลือบมองเก้าอี้ไม้ตัวที่เขาชอบนั่ง มุมนั้นยังมีหนังสือที่เขาอ่านค้างไว้วางพับหน้าคั่นไว้ “ยัง”

  

          “ถ้า…ถ้าต้องการอะไร โทรหาเราได้ตลอดนะ อร เราเป็นห่วง”

  

          ฉันอยากหัวเราะกับคำว่า “ห่วง” ของคนที่ไม่รู้จักเราเลยสักนิด แต่พูดเพียง “ขอบใจนะ” แล้ววางสาย

 

          ฉันเดินไปที่ครัว เปิดก๊อกน้ำ ล้างแก้วกาแฟที่ปล่อยค้างจนเริ่มขึ้นคราบ หยดน้ำกระทบแก้วดังติ๋งติ๋งเป็นจังหวะ ฉันลูบวนตรงคราบอย่างใจเย็น ลูบไปเรื่อย ๆ วนไปอยู่แบบนั้น เสียงล้อรถจากหน้าบ้านแล่นผ่านไป เสียงนกกระจอกทะเลาะกันใต้ชายคา ฉันยืนมองหยดน้ำเกาะปลายแก้ว จู่ ๆ มือก็สั่นขณะจะคว่ำแก้วลงบนตะแกรงวาง ฉันวางไม่มั่น กลับกลายเป็นแก้วกลิ้งตกเคาน์เตอร์หล่นกระแทกพื้น เสียงกระจกแตกแตกตัวเองออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระเด็นไกลไปถึงปลายพรม

  

          ฉันชะงัก สิ่งนั้นผุดขึ้นในหัวฉัน—เสียงกระจกแตกอีกเสียงหนึ่งที่เก่ากว่ามาก หนักกว่า และไม่อยู่ในห้องนี้ ความคิดปะทุขึ้นแวบเดียวเหมือนไฟกะพริบ ฉันหลับตา ภาพพร่าเลือน เงาวูบไหว ใบหน้าเขาเอียงเล็กน้อย มีน้ำสีแดงวิ่งจากขอบคิ้วลงมาข้างแก้ม ฉันสูดลมหายใจแรง ๆ พยายามดึงสติกลับ

 

          “หลอนอะไรของแก” ฉันกระซิบบอกตัวเอง ก้มเก็บเศษแก้วอย่างระมัดระวัง หยดน้ำที่ปลายนิ้วเย็นเฉียบ มีเส้นบาง ๆ ของเลือดซึมขึ้นตามรอยบาดเล็ก ๆ ฉันดูดเลือดออกเงียบ ๆ แล้วล้างมือ

 

          ใต้อ่างล้างจานมีถังขยะสีดำ ฉันเปิดฝาออก ความคิดก้องนิดเดียวสะท้อนในหัว ฉันเห็นกระดาษทิชชู่ก้อนใหญ่จับตัวกันแน่น รอยสีน้ำตาลเข้มฝังอยู่ในเนื้อกระดาษอย่างดื้อดึง มันดูเหมือนคราบกาแฟที่ซึมติด แต่ลึกลงไปในเนื้อสีคล้ำกว่า มีกลิ่นบางอย่างบาง ๆ แวบขึ้นมา ฉันปิดฝากระแทกดังปัง เอื้อมมือไปดึงสายยาง น้ำพุ่งแรงจนกระเซ็นโดนหน้า ฉันหัวเราะกับความซุ่มซ่ามของตัวเอง นี่ฉันหัวเราะเพราะไม่อยากร้องไห้?

 

          ก้าวกลับเข้าห้องนั่งเล่น ภาพเขายังอยู่ในกรอบ ฉันยกมันขึ้น จับสองมือให้นิ่ง แปลกตา รอยนิ้วที่มุมกรอบมีคราบฝุ่นที่ฉันยังไม่ได้เช็ด มันวาดลายเหมือนเส้นทางของคนที่เดินวนเวียนอยู่ในที่เดิม จู่ ๆ ฉันอยากออกไปข้างนอก อยากให้ลมพัดหน้าให้แรงกว่านี้สักหน่อย เผื่อจะพัดความเงียบในบ้านให้แตกกระจาย

 

          ฉันสวมรองเท้า หยิบกุญแจ เปิดประตูบ้าน เสียงแมวร้องจากกำแพงข้างบ้านสองสามตัวแข่งกัน รั้วเหล็กขึ้นสนิมเล็กน้อยแถวบานพับ เขาชอบบ่นว่าต้องทาจาระบี แล้วสัญญาจะทำ ปรากฏว่ายังไม่ได้ทำสักที ข้างรั้วมีต้นโมกที่เขาปลูก กลิ่นหอมหวานอ่อน ๆ ลอยมากับลม 

 

          ฉันเดินลึกไปหลังบ้าน ไม้กระถางวางเรียงกันอยู่บนชั้นวางที่เขาต่อเองจากแผ่นไม้เหลือใช้ กระถางใหม่หนึ่งใบอยู่ตรงมุมสุด เป็นกระถางปูนหนัก ๆ มีดินใหม่ชื้น ๆ ฝาปิดดินด้วยเศษใบไม้แห้ง ฉันจำไม่ได้ว่าเราเคยซื้อมันเมื่อไหร่

ฉันย่อตัวลง ขยับเศษใบไม้ออกจากผิวดิน กลิ่นชื้นของดินผสมกลิ่นสนิมของรั้วไหลขึ้นจมูก บางอย่างในดินแข็งกว่า เหมือนปลายอะไรสักอย่าง ฉันใช้นิ้วเขี่ยให้ดินแยกตัว มันเป็นเข็มกลัดโลหะอักขระเล็ก ๆ ที่ฉันจำได้ดี เขากลัดมันกับเสื้อแจ็กเก็ตตอนเราไปทะเลเมื่อปีก่อน เข็มกลัดรูปดาวเล็ก ๆ ที่เขาบอกว่าซื้อจากร้านมือสองในซอยศิลปะ ฉันหยุดนิ่ง ลมหายใจหดสั้น ดินรอบ ๆ เข็มกลัดยังแน่นเหมือนพึ่งถูกกดทับ

 

          “เขาทำสวนไว้…” ฉันบอกตัวเอง แต่เสียงในหัวกลับถามว่า “เมื่อไหร่”

 

          ฉันลุกขึ้น เอื้อมไปหยิบพลั่วเล็ก ๆ ข้างชั้นวางไม้ ดินชื้นนุ่มในชั้นแรกพอให้พลั่วแคะง่าย แต่ชั้นถัดไปกลับแน่นแข็งผิดปกติ ฉันทำไปเรื่อย ๆ อย่างคนที่ลืมเวลา ผ่านไปไม่รู้กี่นาที เหงื่อซึมลงหลังคอ ฉันตักดินขึ้นทีละช้อน ๆ เศษผ้าสีเทาโผล่พ้นผิวขึ้นมาเหมือนลิ้นของสัตว์ที่เหนื่อยล้า ฉันหยุด พลั่วตกกระทบขอบกระถางดังอยู่ในหัวเกินจริง

 

          ฉันค่อย ๆ เขี่ยดินออกอีก ผ้านั้นมีลายทางจาง ๆ คล้ายแขนเสื้อแจ็กเก็ตของเขา ความเย็นเฉียบวิ่งขึ้นมาตามต้นแขน ขณะที่ปลายนิ้วฉันสัมผัสขอบผ้าว่า “ใช่” และ “ไม่” ในเวลาเดียวกัน เสียงทุกอย่างรอบตัวเงียบลง ฉันยืนชะงักอยู่นาน ก่อนตัดสินใจใช้มือเปล่าขุดดินต่อ ดินติดซอกเล็บ มีกลิ่นชื้นของใบไม้ มันไม่ใช่กลิ่นของสวน แต่เป็นกลิ่นของบางคืนที่ฉันลืมไม่ลง

 

          ขณะฉันกำลังเขี่ยดินตรงรอยผ้า เสียงรถจักรยานของเด็กข้างบ้านดังผ่านหน้าบ้าน ฉันสะดุ้ง หยุดทำ นิ่งฟังจนเสียงผ่านไปไกลแล้ว จึงก้มลงอีกครั้ง คราวนี้ฉันเห็นปลายของอะไรบางอย่างที่ไม่ควรอยู่ใต้ดิน ปลายเล็บมือซีด ๆ ที่ดินเกาะคลุม ฉันเผลอปล่อยเสียงแผ่วออกจากคอเหมือนคนถูกฝันร้ายบีบคอ ลมหายใจดับลึกลงอย่างกระชั้น เหมือนมีมือหนึ่งกดหัวฉันลงใต้ผิวน้ำ

 

          ฉันทิ้งพลั่ว ลุกพรวดถอยหลังชนชั้นวางไม้จนกระถางอีกใบสั่นกราว ดอกโมกสั่น บางดอกร่วงลงพื้น ฉันกดมือกับกำแพง หัวเข่าอ่อนแรง เกือบจะล้ม หากไม่จับขอบรั้วไว้ทัน ไม่นานความเงียบก็กลับมาเหมือนเดิม มีแต่เสียงหัวใจตัวเองที่ดังจนรู้สึกว่าไม่ใช่ของฉัน

 

          ฉันเดินโซเซกลับเข้าบ้าน ปิดประตู หัวชนบานไม้ดังตุบ รู้สึกถึงความสากของไม้เก่าบนหน้าผาก ลากเท้าไปห้องน้ำ เปิดก๊อกให้น้ำไหลแรงจนกระเด็นใส่กระจกเงาที่มีฝุ่นจับ ม่านอาบน้ำสีครีมมีรอยกระดำกระด่างด้านล่าง ฉันยืนมองหน้าตัวเองในกระจก ดวงตาบวมแดงโดยที่ฉันไม่รู้ว่าตัวเองร้องไห้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ปลายนิ้วที่ขุดดินยังสั่น ใต้เล็บยังมีดินสีเข้มติดอยู่ ฉันค่อย ๆ ล้างมันออกอย่างสะเปะสะปะน้ำกระเซ็นจนเสื้อเปียก กลิ่นดินผสมกลิ่นสนิมไหลลงท่อไปทีละน้อย ๆ

 

          เมื่อความเย็นของน้ำทำให้หัวใจช้าลง ฉันเดินไปที่ห้องเก็บของใต้บันได บ้านหลังนี้มีช่องเก็บของเล็ก ๆ ประตูไม้สีเข้มที่เขาเคยบอกว่าต้องหยอดน้ำมันบ่อย ๆ มันฝืดทุกครั้งที่เปิด ฉันจับลูกบิด หมุนไปหนึ่งครั้ง สองครั้ง เสียงฝืดดังขึ้นเหมือนลมหายใจของคนแก่ ฉันดันประตูเข้า กลิ่นอับแล่นสวนออกมา พร้อมกลิ่นอีกอย่างที่ฉันรู้จักแต่ไม่อยากรู้จัก ชั้นวางของอยู่ซ้ายมือ มีลังไม้เรียงอยู่สามใบ ป้ายบนลังเขียนด้วยปากกาเมจิก “ของจุกจิก” “เครื่องมือ” “ของใช้เทศกาล” ฉันย่อตัวลงตรงลังเล็กสุด ดึงมันออกเล็กน้อย พลาสติกเก่าที่ใช้กันกระแทกหล่นออกมาคล้ายหิมะสีเหลือง ฉันเห็นผืนผ้าสีเทาที่คุ้นตาโผล่อยู่ด้านล่าง

 

          มือฉันสัมผัสเนื้อผ้านั้นแค่ปลายนิ้ว มันแข็งและหยาบกว่าปกติ ตรงชายผ้ามีคราบสีคล้ำเป็นดวงเล็ก ๆ และยังมีรอยเส้นขีดเป็นทางเหมือนเคยถูกลากบนพื้น ฉันตลบผ้าขึ้น ดึงออกมาอย่างช้า ๆ ในนั้นมีเสื้อเชิ้ตสีเทาแขวนอยู่บนไม้แขวนเก่า เสื้อของเขา ปกเสื้อด้านในตะเข็บหลุดเล็ก ๆ มีเศษผมเส้นสั้นติดอยู่หนึ่งเส้น ฉันเงยหน้าขึ้นมองเพดาน รู้สึกว่ามันยุบต่ำลงมาอีกนิ้ว ดวงไฟทรงกลมสีเหลืองราวกับมองฉันอยู่ด้วยสายตาที่ไม่อยากแปลความหมาย

 

          ใต้เสื้อเชิ้ตมีอะไรแข็ง ๆ วางทับอยู่ ฉันหยิบขึ้นมา โทรศัพท์เครื่องเก่าของเขา เคสแตกมุมนิด ๆ หน้าจอมีรอยร้าวบาง ๆ เป็นเส้นแบบแมงมุม ฉันกดปุ่มด้านข้าง หน้าจอติดขึ้นช้า ๆ ด้วยแบตที่อ่อนมาก ฉันวิ่งไปหยิบสายชาร์จต่อ ความกระวนกระวายทำให้ปลั๊กหลุดสองครั้งก่อนจะเสียบเข้าที่ ในจังหวะที่หน้าจอสว่างขึ้น เสียงหัวใจฉันก็เต้นผิดจังหวะ

 

          หน้าล็อกจอมีเวลาและวันที่ย้อนกลับไปหลายวัน คืนก่อนที่เขาจะ “หายไป” ฉันกดปลดล็อกด้วยรหัสที่ฉันจำได้จากนิสัยชอบใช้เลขเดิม ๆ ของเขา โทรศัพท์สั่นหนึ่งครั้ง เปิดหน้าจอหลักฉันเลื่อนไปที่แอปบันทึกเสียง นิ้วชะงัก เหงื่อซึมที่ฝ่ามือ ฉันแตะเปิด

 

          ไอคอนไฟล์แสดงบันทึกเสียงแค่สามไฟล์ ไฟล์สุดท้ายชื่อเป็นตัวเลขยาว ๆ ตามเวลา ฉันกดเล่น เสียงจึ๊บจั๊บสัญญาณรบกวนดังขึ้นก่อน แล้วจึงได้ยินเสียงของฉันเอง แหบเล็กน้อยเหมือนผ่านการร้องไห้มา

 

          “…พอเถอะชัช เราคุยกันแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว”

  

          เสียงเขาตอบกลับ เบาลงอย่างระวัง “อร เราไม่ได้คิดจะไปไหน เราแค่…”

  

          “อย่าพูดคำว่า ‘แค่’ อีก” เสียงของฉันแข็งขึ้น “ทุกครั้งที่คุณพูด ‘แค่’ มันไม่เคย ‘แค่’ เลย”

 มีเสียงวางแก้วบนโต๊ะดังแกร๊ง ต้นไฟล์มีเสียงกระจกขยับ ฉันได้ยินลมหายใจสองคนถี่ขึ้น ฉันได้ยินเสียงเก้าอี้ครูดพื้น ชั่วขณะหนึ่งมีความเงียบเหมือนคนทั้งคู่กำลังเลือกคำที่จะโยนให้กัน

  

          “คุณไม่เคยเชื่อใจผมเลย” เขาพูด

  

          “ฉันเชื่อคำสัญญา” ฉันตอบ “ฉันเชื่อในสิ่งที่คุณพูดวันนั้น”

  

          “คำสัญญาไม่ใช่กรง”

  

          “แต่คุณทำให้มันเป็น”

  

          เสียงอะไรสักอย่างปะทะกันดังปึงตามด้วยเสียงแก้วแตก ฉันสะดุ้งจนเผลอหยุดไฟล์ แล้วกดเล่นต่อ

  

          “อย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ” เสียงฉันดังขึ้น เกือบจะกลายเป็นแผด

  

          “อร ใจเย็น ๆ เอาวางลงก่อน เดี๋ยว…”

 ไฟล์จบลงด้วยเสียง “โครม” หนักและครางยาวของคนที่ลมหายใจสะดุด

 

          ฉันยืนฟังนิ่ง ๆ มันเป็นเสียงฉันเอง เสียงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ โทรศัพท์หลุดจากมืออย่างไม่มีแรง ก้าวถอยหนึ่งก้าว ชนชั้นไม้ข้างหลังจนฝุ่นฟุ้งขึ้น พยายามหายใจยาว แต่กลับยิ่งตื้น รู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองกลายเป็นของแปลกปลอมในห้องนี้

 

          สวิตช์ไฟใต้บันไดสั่นแผ่ว ฉันปิดไฟ ประตูค่อย ๆ ปิดอย่างเชื่องช้าในจังหวะที่ลมหายใจฉันตกหล่นเป็นช่วง ๆ ฉันเดินขึ้นบันไดทีละขั้น บ้านทั้งหลังเหมือนเปลี่ยนรูป ลายไม้บนราวบันไดที่เคยเห็นเป็นลายใบไม้อ่อน ๆ ตอนนี้กลายเป็นริ้วเล็บยาว ๆ ที่เกี่ยวรั้งฉันไว้กับบันไดแต่ละขั้น

 

          ฉันกลับไปที่รูปถ่าย วางมันในมือ แล้วรู้สึกถึงน้ำหนักของกระดาษที่ไม่น่าจะหนักขนาดนี้ ภาพรอยยิ้มของเขาติดอยู่กับดวงตาฉัน เหมือนกำลังถามว่า “ยังจะรออีกหรือ” ฉันวางรูปลง ถอนหายใจ แล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า ดึงบานประตู บานพับส่งเสียงแหลม ตรงชั้นบนสุดมีกล่องรองเท้ากระดาษสีดำ กลิ่นน้ำหอมผู้ชายจาง ๆ ลอยขึ้นมาพร้อมควันความทรงจำ ฉันเปิดกล่อง ดูสิ่งของภายใน แหวนเงินเรียบหนึ่งวง ใบเสร็จเก่า ๆ จากร้านกาแฟที่เราเคยไป บัตรเข้างานภาพยนตร์เก่าสามสี่ใบ ฉันหยิบแหวนขึ้นมา มันเย็นเฉียบจนชายเสื้อฉันที่เปียกน้ำเมื่อครู่เย็นตามไปด้วย

 

          “ตราบชั่วฟ้าดินสลาย” ฉันกระซิบคำที่เราเคยหัวเราะใส่กัน เสียงภายในหัวเยาะกลับมา ฟ้าดินสลายได้ แต่ความทรงจำที่เลือกจะจำอาจยืนยาวกว่า

 

          ค่ำลงโดยไม่ทันสังเกต แสงจากภายนอกเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเทาจาง ๆ ฉันเปิดโคมไฟตัวเตี้ยที่โต๊ะข้างโซฟา แสงส้มอุ่นสาดตัวเองลงบนพรม คราบที่ฉันเคยมองเหมือนคราบกาแฟกลับปรากฏสีชัดขึ้น มันไม่ใช่กาแฟ ไม่ใช่ไวน์ มันเป็นสีของสิ่งที่ฉันรู้จักดีที่สุดในค่ำคืนนี้ ฉันนั่งลงข้างพรม ใช้ปลายนิ้วแตะแผ่วเบา เบาจนเหมือนจะไม่แตะ ฉันนึกถึงมือของเขาที่เคยจับมือฉันเบา ๆ ช่วงที่เรายังไม่กล้ารักกันมากขนาดนี้

 

          ประตูหน้าบ้านมีเสียงเคาะเบา ๆ ตามด้วยเสียงทักของคุณป้าข้างบ้าน “หนูอร อยู่ไหม”

 

          ฉันสะดุ้ง ลุกขึ้นเช็ดนิ้วกับชายเสื้ออย่างลนลาน เดินไปเปิดประตู

  

          “ค่ะคุณป้า”

  

          ป้าถือถุงพลาสติกใส่มะม่วงน้ำปลาหวานมาในมือ “เอามะม่วงมาฝาก เผื่ออยากกินอะไรเปรี้ยว ๆ”

  

          “ขอบคุณค่ะป้า”

  

          ป้ามองลอดเข้าไปในบ้าน “เงียบจังนะลูก…เอ่อ ไม่เห็นชัชไหมหลายวันละ ไปไหนล่ะ”

 คำว่า “ไม่เห็นเลย” กระแทกอก “เขา…ไปธุระต่างจังหวัดน่ะค่ะ”

  

          ป้าเงียบ นิ่งอย่างคนที่มีคำถาม แต่เลือกเก็บมันไว้ เธอยื่นถุงให้ฉันแล้วตบไหล่เบา ๆ “มีอะไรก็บอกป้านะ”

 

          ฉันปิดประตู กลับมานั่งที่เดิม เปิดถุงมะม่วง กลิ่นน้ำปลาหวาน ทำให้ลิ้นขมแปลก ๆ ฉันกัดหนึ่งชิ้น เคี้ยวอย่างคนไม่มีรสชาติ สูดลมหายใจเข้า กลิ่นหอมของโมกหน้าบ้านกลับลอยสวนมา แปลกที่ในความปั่นป่วน กลิ่นนั้นทำให้ใจฉันนิ่งลงชั่วครู่หนึ่ง

 

          ฉันลุกขึ้นอีกครั้ง เดินไปหยุดที่บันได ก้มมองราวไม้ มือเลื่อนลงเหมือนอยากให้ไม้ช่วยประคอง “ถ้าสัญญาว่าจะจับมือประคองกันไป ตราบจนวันสุดท้าย” ประโยคที่ฉันพูดวันนั้นทิ่มเข้ากลางอกตัวเอง ตราบจนวันสุดท้าย คำนี้ไม่เคยกำหนดว่าเป็นของใคร

 

          ฉันเดินลงบันไดไปยังใต้บันไดอีกรอบ กระเป๋าผ้าบางใบพาดอยู่กับตะปู ฉันหยิบมันมา คว้าถุงมือยางจากชั้นวาง ก้มลงใส่ มือที่สั่นเริ่มนิ่งเมื่อได้ทำบางอย่างที่มีทิศทาง ฉันหยิบถุงขยะหนา ๆ ออกมาหนึ่งม้วน วางไว้ข้างลำตัว พอเปิดประตูใต้บันไดใหม่ กลิ่นนั้นก็กลับมาต้อนรับเหมือนรู้จักกันดีอยู่แล้ว

 

          ครั้งนี้ฉันไม่ได้เปิดไฟ ปล่อยให้ความมืดครอบคลุมสายตา ปล่อยให้มือเป็นผู้มองแทน ฉันค่อย ๆ ดึงลังออกทีละใบ ดึงเสื้อเชิ้ตสีเทาออกมาวางอย่างเรียบร้อยกว่าที่ฉันจะคิดได้ในสถานการณ์นี้ ใต้กองผ้ายังมีผ้าขนหนูเก่า ๆ พันเป็นก้อนอยู่ ฉันแก้มัดของมัน ผืนผ้าเปิดโชว์รอยคล้ำที่ซึมแผ่ออกเหมือนดอกไม้ที่บานผิดฤดู ฉันปิดตาวูบ น้ำหนักของอากาศในห้องเปลี่ยนไปชัดเจน ฉันรู้ว่าข้างในคืออะไร 

 

          นานมากกว่าที่ฉันจะเอื้อมมือไปแตะผ้าอีกครั้ง ฉันคลี่มันออก เผยปลายข้อมือซีดกับแหวนเงินเรียบ ฉันหยุดหายใจ มันคือแหวนวงเดียวกับที่อยู่ในกล่องข้างบน แต่นี่คืออีกวง เป็นคู่ของมัน ฉันยกมือขึ้นส่องแสงจากหน้าจอโทรศัพท์ให้ใกล้พอจะเห็นลายสลักด้านใน “A & C” ตัวหนังสือเล็กจนแทบอ่านไม่ออก ฉันสะอื้นโดยไม่มีเสียง น้ำตาหยดลงบนผิวโลหะแล้วไหลซึมหายไป

 

          ฉันเอื้อมมือไปแตะนิ้วเขาเบา ๆ มันเย็นจนมือฉันชา “ขอโทษ” ลมหายใจฉันออกมาเป็นคำที่แห้งแตก ฉันพูดซ้ำอีกครั้ง “ขอโทษ” แล้วอีกครั้ง จนคำ ๆ นั้นไม่มีความหมายอะไรนอกจากการเคลื่อนไหวของริมฝีปาก

 

          คืนนั้นยาวนานอย่างผิดปกติ ฉันนั่งอยู่อย่างนั้น ข้างคนที่ฉันเคยรักจนคิดว่าฟ้าดินเป็นพยาน พูดกับเขาด้วยเสียงที่ฉันเคยใช้บอกลาแต่ไม่เคยใช้สารภาพ ฉันเล่าให้เขาฟังเรื่องต้นโมกที่ออกดอกมากกว่าทุกปี เล่าเรื่องแมวจรที่ชอบนอนบนฝากระโปรงรถ เล่าเรื่องเมย์ที่โทรมาเมื่อบ่ายและป้าที่เอามะม่วงมาให้ ฉันเล่าจนกระทั่งเสียงตัวเองเบาลงเรื่อย ๆ แล้วหายไปในความมืด

 

          ฟ้ายังไม่สว่าง ฉันตัดสินใจทำในสิ่งที่ควรทำ ถุงมือยางยังอยู่กับมือ ฉันจัดการห่อผ้าขนหนูนั้นให้แน่นกว่าเดิม วางมันลงบนผืนผ้าพลาสติก ผูกเชือกเป็นปมสองชั้น ฉันรู้สึกว่าทุกการกระทำของฉันเป็นการกระทำของคนอื่น คนคนหนึ่งที่ฉันไม่คุ้น แต่มีมือแบบฉัน ลมหายใจแบบฉัน ฉันยกมันขึ้นอย่างระมัดระวังมากที่สุดเท่าที่หัวใจฉันจะอนุญาต เดินไปหลังบ้าน ปลดกุญแจประตูหลังอย่างเบา เสียงโลหะกระทบกันดังชัดกว่าทุกครั้ง

 

          กระถางปูนหนักที่ฉันเคยขุด ฉันขุดต่อให้ลึกพอที่จะวางลงได้อย่างสมบูรณ์ ฉันวางสิ่งนั้นลงในดินช้า ๆ เหมือนวางของที่แตกง่าย แล้วค่อย ๆ ตักดินกลบ คลี่ผืนดินให้เรียบ วางเข็มกลัดรูปดาวไว้ตรงกลางเหมือนเครื่องหมายเล็ก ๆ ที่มีความหมายเฉพาะสองคน ฉันปักกิ่งโมกเล็ก ๆ ให้อยู่ตรงริมกระถาง ใช้นิ้วกดรอบ ๆ ให้แน่น พอเสร็จ ทุกอย่างดูธรรมดาอย่างน่ากลัว มันคือกระถางต้นไม้หนึ่งใบในบรรดากระถางนับสิบใบในบ้านนี้

 

          ฉันยืนอยู่ตรงนั้นนานจนข้อเท้าชา ลมหายใจเช้าตรู่เย็นกว่าที่คิด เสียงไก่ขันจากท้ายซอยเริ่มดังขึ้นทีละบ้าน ฉันเงยหน้ามองท้องฟ้า เส้นขอบฟ้าเริ่มเปลี่ยนจากน้ำเงินดำเป็นเทาอ่อน แล้วค่อย ๆ ไหลไปส้มอ่อน เหมือนใครบีบสีหยดลงบนผืนผ้าใบใหญ่ของโลก

 

          ฉันเดินกลับเข้าไปในบ้าน ล้างมือในครัว ถอดถุงมือทิ้งในถังขยะ มองมือเปล่าของตัวเอง มือที่ฉันเคยใช้ลูบผมเขา ใช้คีบปลาให้เขา ใช้จับมือเขาตอนข้ามถนน มันคือมือเดียวกับที่ฉันใช้วางเขาลงในดินเมื่อครู่ ฉันนั่งลงที่โต๊ะ หยิบกระดาษโน้ตขาว ๆ ใบหนึ่งกับปากกาหมึกดำ เขียนช้า ๆ ตัวหนังสือดูกังวลเหมือนหัวใจของคนเขียน

 

“ถึงชัช

            คำมั่นของเรา คงมีเจ้าของในวันที่เรายังจับมือกันอยู่ วันนี้ฉันคืนมันให้ฟ้าและดิน ขอโทษที่ฉันทำลายทุกอย่าง

            รัก…อร”

 

          ฉันวางกระดาษไว้ใต้กรอบรูป เอียงกรอบให้ตรง เอื้อมไปจับแหวนเงินในกล่อง หยิบมันออกมาสองวง วงของฉันกับวงที่ฉันเก็บจากนิ้วเขา ฉันวางมันข้างกรอบรูปสองวงชิดกัน ลมหายใจที่ออกในห้องเช้านี้เบากว่าทุกวัน ราวกับบ้านยอมรับความจริงพร้อมฉัน

 

          เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่เมย์ แต่เป็นหมายเลขที่ฉันรู้จักดี สถานีตำรวจ ฉันมองหน้าจอสว่าง ยืนนิ่งนานพอที่เสียงเรียกจะดับไป แล้วดังขึ้นใหม่ ฉันปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้น ตัดสินใจหยิบขึ้นมาเมื่อเสียงเรียกวนรอบที่สาม

  

          “สวัสดีครับ คุณอรใช่ไหมครับ เรามีเรื่องจะสอบถามเกี่ยวกับคุณชัช เพื่อนบ้านแจ้งมาว่า…”

  

          ฉันหลับตา สูดลมหายใจเข้า “ได้ค่ะ” เสียงฉันนิ่งจนน่าแปลกใจ “ฉันมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง”

 

          ฉันวางสายโดยไม่ได้เล่าอะไร ฉันเดินไปยืนที่หน้าต่าง เปิดม่านรับแสงเช้าเต็มที่ แดดแรกทะลุผ่านเข้ามาเหมือนเส้นไหมสีทองละเอียดไหลบ่าลงพื้นไม้ ฉันยืนอยู่ในแสงนั้น เงาของฉันพาดยาวบนพรมตรงคราบที่เคยเป็นคำถาม ตอนนี้มันไม่ใช่คำถามอีกแล้ว มันคือประโยคยอมรับที่ไม่มีคำแก้ตัว

 

          ฉันมองกระถางปูนหลังบ้านผ่านช่องหน้าต่าง มองดินที่ยังชื้นอยู่ เศษใบโมกที่ฉันกดให้เรียบ ๆ ค่อย ๆ ฟูขึ้นตามแรงลม ฉันเผลอยิ้ม รอยยิ้มที่ไม่มีความสุขหรือความเศร้า มันเป็นรอยยิ้มของคนที่เจอคำตอบถึงแม้จะไม่อยากได้คำตอบนั้น

 

          เสียงกุญแจรถห่าง ๆ ดังขึ้นหน้าบ้าน ฉันได้ยินเสียงรองเท้ากระทบพื้นปูน เสียงพูดคุยเบา ๆ ของคนสองสามคน ฉันเดินไปหยิบเสื้อคลุม สวมทับเสื้อยืดเปียกชื้น ผูกผมหลวม ๆ ละมือจากกรอบรูปเหมือนบอกลา ฉันไม่จูบรูป ไม่กอด ไม่พูดคำว่า “รัก” อีก เพราะคำ ๆ นั้นไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว

 

          ฉันหันหลังให้รูป เดินไปที่ประตู หน้าเท้าชะงักเมื่อผ่านเก้าอี้ไม้ตัวโปรดของเขา ฉันวางมือบนพนักเบา ๆ ชั่ววินาที แล้วปล่อยลง มือข้างนั้นสั่นน้อยลงกว่าเมื่อคืนมาก ฉันเปิดประตู รับเช้าวันใหม่ที่เข้ามาพร้อมเงาร่างของชายชุดเครื่องแบบ ดวงตาของเขาไม่ได้ดุ แต่มองเหมือนคนที่รู้ว่าควรฟังมากกว่าพูด

 

          “คุณอรใช่ไหมครับ”

            “ค่ะ”

            “เราขอเข้าไป…”

            “เชิญค่ะ” ฉันถอยให้ เขากับผู้ช่วยสองคนก้าวเข้ามาในบ้าน เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ฉันแทบไม่ได้ฟัง เพราะเสียงอีกเสียงดังชัดกว่า เสียงหัวใจของฉันที่เต้นแบบคนที่เลิกโกหกตัวเองแล้ว

 

          ฉันชี้ไปที่โต๊ะ “มีบันทึกเสียงในโทรศัพท์ของเขา แล้ว…โน้ตที่ฉันเขียนไว้” ฉันเงยหน้ามองหลังบ้านผ่านกระจก “ข้างนอก…มีต้นโมกที่ออกดอกสวยกว่าทุกปี”

 

          เจ้าหน้าที่เงียบไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบา ๆ เขามองฉันเหมือนเข้าใจบางอย่างโดยไม่ต้องได้ยินรายละเอียด ฉันเดินตามพวกเขาไปยังหลังบ้าน เปิดประตูให้ลมเช้าพัดเข้ามาอีกครั้ง กลิ่นดินชื้นหอมขึ้นอย่างอ่อนโยน ฉันหยุดที่ระเบียงไม้ กอดตัวเองแน่นเหมือนคนหนาวในวันที่แดดแรง ก่อนเอ่ยด้วยเสียงที่เบากว่าลมหายใจ

 

          “คำมั่นของเรา…วันนี้ไม่มีเจ้าของแล้วค่ะ”

เจ้าหน้าที่ไม่ได้ตอบ พวกเขาย่อตัวลงข้างกระถาง เสียงพลั่วจมลงดินดังปุ ๆ อย่างสม่ำเสมอ ฉันยืนอยู่ตรงนั้น มองแสงอาทิตย์ไต่ขึ้นศีรษะกำแพงทีละนิ้ว เสียงนกบนสายไฟฟ้าเริ่มประสานทำนองเช้า เมฆบางก้อนเคลื่อนตัวช้า ๆ ราวกับเวลาพูดเบา ๆ กับโลก

 

          ฉันหลับตา สูดลมหายใจยาวหนึ่งครั้ง ยาวพอให้กลิ่นโมกเข้าไปถึงปอด ยาวพอให้ดวงตาร้อนจัดกลายเป็นอุ่น ฉันรู้ว่าแสงเช้านี้ไม่ได้ให้อภัยใคร แค่เปิดเผยทุกอย่างอย่างซื่อ ๆ และในความซื่อนั้นเองที่ฉันยืนอยู่อย่างไม่หนีอีกต่อไป

เมื่อเสียงพลั่วหยุดลง โลกทั้งใบก็เหมือนเงียบคล้ายมีใครปิดสวิตช์ดนตรี ฉันลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ เห็นมือของเจ้าหน้าที่หยุดนิ่งบนดินชื้น เขาเงยหน้ามองฉันเพียงครู่เดียว ฉันพยักหน้า ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีการโวยวาย ไม่มีข้อแม้

 

          ฉันหันกลับเข้าบ้าน เดินไปหยิบกรอบรูปขึ้นอีกครั้ง ตั้งให้ตรง วางแหวนสองวงลงบนผ้าเช็ดโต๊ะสีขาว แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิม มือประสานกันบนตัก เฝ้าดูแสงอาทิตย์เลื่อนผ่านพื้นไม้เหมือนนาฬิกาทรายที่กลับด้านได้เสมอ แต่สำหรับบางอย่าง การกลับด้านไม่ช่วยให้เม็ดทรายย้อนคืน

 

          นาฬิกาแขวนบนผนังส่งเสียงติ๊ก…ต็อก…ช้าและแน่นอน ฉันนั่งฟังเสียงนั้นจนมันกลายเป็นจังหวะหายใจใหม่ของฉัน บางทีในโลกที่ฟ้าดินสลายได้ทุกวินาที คำมั่นก็อาจมีไว้เพื่อเตือนใจว่า เมื่อถึงวันที่ต้องปล่อย ควรปล่อยอย่างที่คนเคยสัญญาว่าจะจับมือกัน ปล่อยอย่างอ่อนโยนที่สุดเท่าที่หัวใจที่แตกแล้ว

จะทำได้

 

          ในความเงียบถัดจากนั้น ฉันได้ยินเสียงตัวเอง ไม่ใช่เสียงร้องไห้ แต่เป็นเสียงที่พูดกับบ้านอย่างชัดถ้อยชัดคำ

 

          “พอแล้ว เข้าใจแล้ว”

 

          -จบ-

.

เนื้อหาโดย: อักษราลัย
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
อักษราลัย's profile


โพสท์โดย: อักษราลัย
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
พืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทยชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีดพบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติแบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้สภาทนายความ แจงเหตุลบชื่อ ‘ทนายคนดัง’ ออกจากทะเบียนทนายแคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการีเปิดเงื่อนไขพนักงาน "ไดกิ้น" ที่จะได้รับทอง ไม่ขาด ไม่ลา ไม่สายเขมรยึดทรัพย์โรงงานจีน เพื่อนำเงินมาชดใช้ค่าจ้างคนงาน 600 คน
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ซาอุฯ สั่ง "มันอัดเม็ดไทย" เพิ่ม 30,000 ตัน! เกษตรกรเฮลั่นนี่คือสิ่งมีชีวิตที่สูงที่สุดและใหญ่ที่สุดในโลก Redwood และ Sequoiaเฮลิคอปเตอร์ไร้คนขับของจีน ทดสอบบินและยิงกระสุนจริงครั้งแรกแล้ว‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
กระทู้อื่นๆในบอร์ด เรื่องสั้น
มรดกพระเครื่องน้ำตาแม่หอคอยกระจกทรายลูกไม้หล่นใต้ต้น
ตั้งกระทู้ใหม่