โบท็อกซ์ปลอม อันตรายที่ควรระวัง พร้อมวิธีตรวจสอบโบท็อกซ์แท้

โบท็อกซ์ปลอม อันตรายที่ควรระวัง พร้อมวิธีตรวจสอบโบท็อกซ์แท้
โบท็อกซ์เป็นหนึ่งในหัตถการเสริมความงามที่ได้รับความนิยมสูงในประเทศไทยและทั่วโลก ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยลดริ้วรอย ยกกระชับใบหน้า และปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัดใหญ่ ทำให้มีผู้เข้ารับบริการเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ความนิยมนี้ก็มาพร้อมกับปัญหาใหญ่ที่หลายคนมักมองข้าม นั่นคือ “โบท็อกซ์ปลอม” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีการรับรอง และเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง

 

บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจเกี่ยวกับโบท็อกซ์อย่างละเอียด ตั้งแต่ว่าคืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง ความแตกต่างระหว่างโบท็อกซ์แท้กับโบท็อกซ์ปลอม วิธีสังเกต จุดเสี่ยงที่มักเจอ รวมถึงอาการผิดปกติที่บ่งบอกว่าคุณอาจถูกหลอกฉีดของปลอม และแนวทางป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ

 

โบท็อกซ์คืออะไร และทำงานอย่างไร

โบท็อกซ์ หรือชื่อเต็มว่า Botulinum Toxin Type A เป็นสารสกัดจากแบคทีเรีย Clostridium botulinum สารชนิดนี้มีคุณสมบัติในการยับยั้งการทำงานของสารสื่อประสาท Acetylcholine ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดคลายตัวชั่วคราว ไม่หดเกร็งเหมือนปกติ

 

ผลลัพธ์ที่ได้จากโบท็อกซ์

1. ลดเลือนริ้วรอย เช่น รอยตีนกา หน้าผาก หรือรอยย่นระหว่างคิ้ว
2. ยกกระชับใบหน้า ช่วยปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น
3. ปรับสัดส่วนหน้าเรียว (V-shape) โดยการฉีดลดขนาดกราม
4. ลดเหงื่อมากผิดปกติ บริเวณรักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า
5. รักษาอาการทางการแพทย์บางอย่าง เช่น ไมเกรน กล้ามเนื้อกระตุก หรือภาวะนอนกัดฟัน

เพราะโบท็อกซ์ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและในระยะเวลาสั้น ๆ อีกทั้งไม่ต้องพักฟื้นนาน จึงทำให้เป็นที่นิยมในวงการความงามทั่วโลก

 

โบท็อกซ์ปลอมคืออะไร ทำไมถึงอันตราย

โบท็อกซ์ปลอม คือผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทย และไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยสากล อาจเป็นสารเลียนแบบที่ไม่ใช่ Botulinum Toxin จริง หรือมีการผสมสารอื่น ๆ ที่ไม่รู้ที่มา ผลที่ตามมาคือความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่หวัง และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
โบท็อกซ์ปลอมมักพบในคลินิกเถื่อน หรือผู้ที่รับฉีดนอกสถานที่ในราคาถูก เมื่อเทียบกับโบท็อกซ์แท้ที่มีราคาค่อนข้างสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด

 

ทำไมโบท็อกซ์ปลอมถึงยังมีในตลาด

ถึงแม้ภาครัฐจะเข้มงวดกับการนำเข้าและจำหน่าย แต่โบท็อกซ์ปลอมก็ยังพบได้บ่อย เนื่องจากหลายปัจจัย ได้แก่

1. ความต้องการสูง โบท็อกซ์เป็นหัตถการยอดฮิต ผู้บริโภคจำนวนมากอยากเห็นผลลัพธ์รวดเร็ว ราคาจับต้องได้
2. ราคาของแท้สูงกว่า โบท็อกซ์แท้ต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพ เสียภาษีนำเข้า ทำให้ราคาต่อยูนิตสูง ผู้ที่มองหาราคาถูกจึงมักตกเป็นเหยื่อ
3. การลักลอบนำเข้า ตลาดมืดมักนำโบท็อกซ์ปลอมเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ผ่านช่องทางออนไลน์หรือคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน
4. ผู้บริโภคขาดความรู้ หลายคนไม่รู้วิธีตรวจสอบของแท้ เช่น การเช็กเลข อย. หรือโฮโลแกรม
5. คลินิกเถื่อนมุ่งเน้นกำไร บางแห่งเลือกใช้ของปลอมเพื่อลดต้นทุน และใช้แพทย์เถื่อนหรือบุคคลทั่วไปฉีดให้คนไข้

 

วิธีตรวจสอบโบท็อกซ์แท้ vs โบท็อกซ์ปลอม

เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ การรู้จักวิธีตรวจสอบเบื้องต้นเป็นสิ่งสำคัญ

1. เช็กเลขทะเบียน อย. โบท็อกซ์แท้ต้องมีเลข อย. ไทย สามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ อย.
2. ตรวจบรรจุภัณฑ์ ตัวอักษรชัดเจน ไม่สะกดผิด กล่องสมบูรณ์ ไม่บุบไม่จาง
3. โฮโลแกรมหรือ QR Code แบรนด์แท้บางยี่ห้อจะมีระบบสแกนเพื่อตรวจสอบข้อมูลกับผู้นำเข้า
4. ราคา ถ้าถูกเกินจริง เช่น “หลักพันแต่ได้หลายร้อยยูนิต” ให้สงสัยไว้ก่อน
5. ช่องทางการจำหน่าย โบท็อกซ์แท้จำหน่ายให้คลินิกที่มีใบอนุญาตเท่านั้น ไม่วางขายทั่วไปหรือออนไลน์
6. แพทย์ต้องผสมต่อหน้า เพื่อให้มั่นใจว่าใช้ของแท้จริง ๆ

 

อันตรายและผลข้างเคียงจากโบท็อกซ์ปลอม

การฉีดโบท็อกซ์ปลอมไม่ใช่เพียงแค่เสียเงินฟรี แต่ยังเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก ตัวอย่างความเสี่ยงที่พบได้ เช่น

1. ไม่ได้ผลตามต้องการ ริ้วรอยยังคงอยู่ ใบหน้าไม่กระชับ หรือยากระจายผิดตำแหน่ง
2. ใบหน้าเสียรูป หนังตาตก คิ้วตก ปากเบี้ยว หรือยิ้มไม่เป็นธรรมชาติ
3. ติดเชื้อทางผิวหนัง ปวด บวม แดง รอยช้ำไม่หาย หรือเกิดก้อนแข็งใต้ผิว
4. อันตรายต่อระบบประสาท กล้ามเนื้ออ่อนแรงทั่วร่างกาย คล้ายอัมพาตชั่วคราว
5. อาการแพ้รุนแรง ผื่น คัน หายใจติดขัด ความดันตก เสี่ยงถึงชีวิต

 

ยี่ห้อโบท็อกซ์แท้ที่นิยมในไทย

เพื่อลดความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกซ์ปลอม ควรเลือกฉีดโบท็อกซ์แบรนด์ที่ผ่านการรับรอง และใช้ในคลินิกมาตรฐานเท่านั้น เช่น

1. Allergan (อเมริกา) – ตัวยาบริสุทธิ์สูง ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6–8 เดือน
2. Dysport (อังกฤษ) – กระจายตัวยากว้าง เหมาะกับการฉีดบริเวณกว้าง
3. Nabota (เกาหลี) – คุณภาพสูง ราคาคุ้มค่า อยู่ได้นาน 4–6 เดือน
4. Neuronox (เกาหลี) – ได้รับความนิยมในไทย ราคาไม่สูงมาก
5. Xeomin (เยอรมัน) – ปราศจากโปรตีนเสริม ลดโอกาสการดื้อยา

 

อาการที่ควรสงสัยว่าอาจเป็นโบท็อกซ์ปลอม

หลังฉีดโบท็อกซ์ปลอม ไม่ว่าจะทราบหรือไม่ทราบ หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์

1. บวมแดงผิดปกติ ปวดมาก หรือมีก้อนแข็ง
2. หน้าเบี้ยว ยิ้มไม่เท่ากัน หนังตาตก
3. กล้ามเนื้ออ่อนแรงเกินไป พูดไม่ชัด กลืนลำบาก
4. อาการแพ้ เช่น ผื่นคัน หายใจลำบาก หน้ามืด

 

วิธีแก้ไขหากเผลอฉีดโบท็อกซ์ปลอม

1. รีบพบแพทย์ทันที เพื่อประเมินและรักษาอย่างเหมาะสม
2. รอให้ฤทธิ์ยาสลาย ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือน
3. รักษาตามอาการ เช่น ให้ยาปฏิชีวนะ ยาแก้แพ้ หรือการนอนโรงพยาบาลในกรณีรุนแรง
4. หัตถการชั่วคราว เช่น ฟิลเลอร์หรือเลเซอร์เพื่อปรับความสมดุล
5. งดการฉีดซ้ำเอง เพราะอาจทำให้ปัญหาแย่ลง

 

วิธีป้องกันไม่ให้ถูกหลอกฉีดโบท็อกซ์ปลอม

1. เลือกคลินิกที่มีใบอนุญาตถูกต้อง
2. ตรวจสอบเลข อย. และบรรจุภัณฑ์
3. ให้แพทย์ผสมและเปิดกล่องต่อหน้า
4. ระวังโปรโมชั่นราคาถูกเกินจริง
5. ศึกษายี่ห้อโบท็อกซ์แท้ก่อนตัดสินใจ

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโบท็อกซ์ปลอม (FAQ)

1. โบท็อกซ์ปลอมอยู่ได้นานแค่ไหน?
คำตอบ ความจริงไม่สามารถกำหนดได้แน่นอน เนื่องจากตัวยาไม่มีมาตรฐาน บางคนฉีดแล้วไม่เห็นผลเลยภายในไม่กี่วัน ขณะที่บางรายอาจมีผลข้างเคียงที่ยาวนานหลายเดือน ต่างจากโบท็อกซ์แท้ที่ผลลัพธ์อยู่ได้เฉลี่ย 4–6 เดือนอย่างชัดเจน

 

2. โบท็อกซ์ปลอมทำให้ดื้อยาจริงหรือไม่?
คำตอบ การฉีดโบท็อกซ์ปลอมทำให้เสี่ยงดื้อยาจริง เพราะการใช้โบท็อกซ์ปลอมที่มีตัวยาเจือปนหรือปริมาณสารออกฤทธิ์ไม่สม่ำเสมอ อาจกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อต้าน Botulinum Toxin เมื่อไปฉีดโบท็อกซ์แท้ในอนาคต อาจเห็นผลน้อยลงหรือไม่เห็นผลเลย

 

3. ทำไมราคาของโบท็อกซ์แท้ถึงสูงกว่ามาก?
คำตอบ เพราะโบท็อกซ์แท้ต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพระดับสากล เสียภาษีนำเข้า และมีการควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อความปลอดภัย ขณะที่โบท็อกซ์ปลอมมักเลี่ยงกระบวนการเหล่านี้ จึงสามารถขายในราคาถูก แต่ก็แลกมากับความเสี่ยงสูง

 

4. ถ้าไม่มั่นใจว่าเป็นโบท็อกซ์แท้หรือไม่ ควรทำอย่างไร?
คำตอบ ควรขอให้แพทย์เปิดกล่องและผสมตัวยาต่อหน้าทุกครั้ง ตรวจสอบเลข อย. และบรรจุภัณฑ์ หากไม่ตรงหรือไม่สามารถยืนยันได้ ควรปฏิเสธการฉีด และเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือแทน

 

5. การฉีดโบท็อกซ์ปลอมกับ “หมอกระเป๋า” เสี่ยงยังไง?
คำตอบ หมอกระเป๋าไม่ใช่แพทย์จริง ขาดความรู้ด้านกายวิภาคและมาตรการความปลอดภัย มักใช้โบท็อกซ์ปลอมเพราะราคาถูก และอาจฉีดผิดตำแหน่ง ทำให้เกิดหน้าเบี้ยว หนังตาตก หรือติดเชื้อรุนแรงได้

 

บทสรุปเกี่ยวกับโบท็อกซ์ปลอม

โบท็อกซ์เป็นตัวช่วยสำคัญในการดูแลความงาม แต่หากเลือกผิดพลาดไปใช้โบท็อกซ์ปลอม อาจส่งผลเสียทั้งด้านสุขภาพและความมั่นใจ การเลือกใช้โบท็อกซ์แท้ที่ผ่านการรับรอง และฉีดโดยแพทย์ในคลินิกที่ได้มาตรฐานเท่านั้น คือวิธีที่ช่วยลดโอกาสเสี่ยงจากการฉีดโบท็อกซ์ปลอม และได้ผลลัพธ์ตรงตามความต้องการ