ลูกไม้หล่นใต้ต้น
ลูกไม้หล่นใต้ต้น
อักษราลัย
ไม่มีใครเลือกได้ว่าจะหล่นตรงไหน…เมื่อรากเหง้าคือสิ่งที่เราไม่ได้ปลูกเอง
หลอดนีออนหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวหัวมุมซอย กะพริบเหนือฝากระดานที่ติดป้ายสีฟ้า ตัวหนังสือสีแดงหลุดลอกจนอ่านแทบไม่ออก แสงนั้นส่องเฉียงเข้ามาในบ้านแคบ ๆ ของเราเป็นจังหวะ ติด–ดับ–ติด เหมือนลมหายใจของใครสักคนที่กำลังเหนื่อยล้า กลิ่นน้ำปลากับกลิ่นเหล้าถูกลมพัดวนเข้าไปตามช่องไม้ ฝุ่นละอองลอยเต้นระริกในลำแสงไม่ต่างจากฝูงปลาที่หลงทางในน้ำตื้น
โต๊ะพับเหล็กกลางห้องคือเวที แม่วางไพ่หนึ่งสำรับไว้ตรงหน้าตัวเอง นิ้วมือที่ทาเล็บสีแดงถลอกบิ่นจับไพ่คล่องอย่างคนเคยจับมาตลอดชีวิต แหวนเงินวงหนึ่งเลื่อนหมุนไปมาเพราะนิ้วผอมลงจากการอดข้าวบ่อยครั้ง
“ป๊อกเด้งสักสองตาให้ชื่นหัวใจหน่อย” แม่พูดอย่างที่พูดทุกคืน ก่อนรอยยิ้มจะกว้างขึ้นเมื่อเสียงหัวเราะของพวกพี่น้องในวงดังไปทั้งบ้าน
ฉันนั่งกอดเข่าอยู่ใต้โต๊ะ เงียบจนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของขาโต๊ะ คอยเก็บไพ่ที่หล่นเหมือนเก็บกลีบดอกไม้ที่ร่วงจากต้น แม่ชอบโยนเศษเหรียญให้ “ไปซื้อนมกล่องหน้าปากซอย เดี๋ยวแม่ตามไป” ฉันพยักหน้าแต่ไม่ไปไหน นั่งดูมือของแม่งัดไพ่ รอยเส้นเลือดสีคล้ำ ๆ คดเคี้ยวบนหลังมือของแม่เหมือนแผนที่ลำน้ำที่ฉันไม่มีวันอ่านออก
“แก้วเพิ่มอีกใบได้มั้ยหนู” ลุงที่นั่งติดแม่ร้องบอก ฉันหยิบแก้วพลาสติกใสออกมาจากชั้น จับแน่นจนได้ยินเสียงกรอบแกรบเบา ๆ ตอนนั้นแก้วของฉันมีแต่น้ำเปล่า แต่ฉันชอบยกจิบตามจังหวะของผู้ใหญ่เหมือนเป็นพิธีกรรมลับ ที่ทำให้ฉันได้เข้าใกล้พวกเขาทีละนิด
ไฟนีออนยังกะพริบตามจังหวะหัวเราะ คำสบถ กลิ่นเหงื่อและกลิ่นยาดมผสมกันเป็นหมอกบาง ๆ ในบ้านที่ไม่มีหน้าต่างบานไหนปิดสนิท เมื่อแม่ชนะ แม่จะหัวเราะดัง รอยยับตรงหัวตาเหมือนรอยแผลเป็นที่แผ่กว้างขึ้นทุกครั้งที่มีความสุข เมื่อแม่แพ้ แม่จะเงียบ ริมฝีปากเม้มจนซีดเหมือนกลายเป็นร่างที่ไร้ชีวิต
คืนหนึ่งไพ่หล่นลงพื้นหงายให้เห็นโพธิ์ดำ ฉันเอามือแตะเบา ๆ ชื่อของดอกไพ่แต่ละใบ—ดอกจิก ข้าวหลามตัด โพธิ์แดง โพธิ์ดำ—กลายเป็นคำท่องจำแทน ก–ข–ค ที่ครูให้ในโรงเรียน ฉันจำได้ก่อนใครว่า “สองเด้ง” “สามเด้งกินเรียบ” แม่พูดเสียงนุ่ม
ตอนอยู่ในชั้นเรียน ห้องที่กลิ่นชอล์กคละคลุ้ง เด็กข้าง ๆ ชอบพูดว่าแม่ฉันเป็น “นักเลง” ฉันกัดฟันแน่นจนรสเลือดขื่นขึ้นคอ ที่บ้านเราไม่มีคำนี้ ฉันว่าแม่คือ “คนหาเช้ากินค่ำ” แม่บอกว่าเงินก็เหมือนใบไม้ ใครกวาดมันทันก็เอาไป ถ้ากวาดไม่ทันก็อด บ่ายแก่ ๆ หลังเลิกเรียนฉันยืดเวลาทำการบ้านให้นานที่สุดในร้านก๋วยเตี๋ยวตรงหัวมุม เพราะอยากอาศัยแสงนีออนและกลิ่นน้ำซุปที่ไม่เคยหมดหม้อ ขากลับ ฉันเดินกลับบ้านเห็นแม่เอนหลังกับพนักเก้าอี้พลาสติกสีฟ้า มือคีบบุหรี่ควันบาง เงาบนหัวบนผนังซีเมนต์เป็นรูปผู้หญิงอีกคนที่ยิ้มเศร้ากว่า
แม่สัญญาหลายครั้งว่าจะ “พอเท่านี้” วันอาทิตย์หนึ่งแม่ห้อยผ้าถุงผืนโปรด นั่งล้างตู้กับข้าวจนน้ำใสในกะละมังกลายเป็นสีชาอ่อน แม่แกะปฏิทินม้วนใหม่ติดบนผนัง กากบาทสามวันแรกด้วยปากกาสีฟ้า “แม่เลิกแล้วนะ” แม่พูดเบา ๆ เหมือนกลัวคำพูดตัวเองจะหลุดออกจากปากแล้วไล่มันไม่ทัน วันนั้นข้าวเช้าหอมเหมือนข้าวใหม่ ฉันได้กินไข่ดาวกรอบ ๆ ขอบเกรียม ทอดด้วยน้ำมันที่ยังไม่ถูกใช้จนดำ
สามวันต่อมาพวกพี่น้องแวะมา “เล่นกันเบา ๆ ไม่เกินเที่ยงคืน” เสียงหัวเราะแผ่ว ๆ ก่อนจะค่อย ๆ จูงเก้าอี้เข้ามาในบ้าน แม่หลบตาฉันวินาทีหนึ่ง ก่อนจะยิ้ม “เฉพาะคืนนี้นะ หนู แม่ขอสักหน่อย” ปากกาสีฟ้าบนปฏิทินตายสนิทอยู่ตรงวันที่สี่
ฉันเริ่มเห็นว่าบนโลกนี้มีหลายอย่างที่ “ชั่วคราว” ยืดหดได้เหมือนยางรัดผม ทั้งคำสัญญา ทั้งความจน ทั้งการหัวเราะ
เมื่อฉันอายุสิบสี่ แม่บอกให้ฉันสับไพ่ “เบา ๆ” ฉันวางไพ่ลงสับเลียนแบบมือแม่ เสียงกระดาษกระทบกันเป็นจังหวะที่ฟังแล้วคล้ายเสียงฝนเปิดฤดูกาล แม่เทเหล้าขาวลงแก้วพลาสติกสีใส ยื่นมาทางฉัน “แค่จิบให้รู้รสชาติ เผื่อวันหนึ่งลูกจะเลิกมันได้ง่ายกว่าแม่” ฉันจิบไปหนึ่งคำ รสเผ็ดร้อนแผ่ลงท้องเหมือนเส้นเลือดเล็ก ๆ หลายเส้นกำลังพากันตะโกน โคมไฟนีออนที่กะพริบอยู่เหนือหัวเหมือนขยิบตาให้ฉัน
จากคืนนั้นฉันไม่กลัวความมืดอีก เพราะในความมืดมีโต๊ะกลม มีไพ่ มีมือที่วางทับมือฉันสอนวิธี “อ่านคน” มากกว่าอ่านหนังสือ ใครก้มไหล่คือคนที่กลัวเสีย ใครลูบคอคือคนที่กำลังโกหกตัวเอง ใครหัวเราะดังเกินไปคือคนที่จะร้องไห้ในอีกห้านาที ฉันเรียนรู้สิ่งเหล่านี้เร็วกว่าเรียนตรีโกณมิติ
ลุงคนหนึ่งในวงชอบถามฉัน “อยากเป็นอะไรตอนโต” ฉันตอบไม่ได้สักที คำตอบที่อยู่ในใจฉันเสมอคือ “อยากให้แม่มีข้าว” แต่มันไม่ใช่วิชาชีพ ฉันเลยยิ้มแทนคำตอบ หัวเราะแทนความหวัง แล้วเทเหล้าอีกนิดให้แก้วของตัวเองเต็มขึ้นอย่างเงียบ ๆ
บางคืนฉันกับแม่เดินกลับจากวงไพ่ตอนตีสี่ ถนนดำเงียบสงัด ขวดแก้วเรียงรายริมรั้วอย่างคนที่ล้มแล้วไม่ลุก ต้นชมพู่หน้าบ้านปล่อยผลสุกแดง ๆ ตกลงพื้นดังตุบ แม่เอาเสื้อคลุมพาดบ่าฉัน บ่นว่า “ลมดึกมันกัด” ฉันจับมือแม่ไว้อุ่น ๆ มือแม่สั่นน้อย ๆ
เช้าวันจันทร์ฉันหลับในชั้นเรียน ครูเรียกชื่อแล้วถามว่า “พ่อแม่ไม่คอยดูเหรอ” ฉันยักไหล่ หลับตากลั้นน้ำตา เด็กข้างโต๊ะหัวเราะคิก “แม่มันเมา” คำพูดนั้นปลิวมาติดบนหน้าอกฉันเหมือนป้ายชื่อที่แกะไม่ออก ฉันก้มลงเล็บซีด ๆ ของตัวเองที่ไม่เคยได้ทาอะไรเลยนอกจากน้ำมันพรายของความจน
ค่ำหนึ่งวันฝนพรำ ซอยกลายเป็นลำคลองเล็ก กลิ่นโคลนกับน้ำฝนลอยเข้ามาในบ้าน ไฟดับเพราะหม้อแปลงข้างเสาไฟฟ้าระเบิด เหลือแต่แสงจากร้านก๋วยเตี๋ยวที่ยังกะพริบอย่างไม่ยอมแพ้ เราจุดเทียนวางบนโต๊ะพับ แสงส้มกระเพื่อมทำให้แก้มของแม่ดูอ่อนลง เหมือนแม่ย้อนวัยไปก่อนจะรู้จักคำว่าหนี้ แม่เล่าถึงสมัยเด็กเล่นไพ่กับยายหลังนา เสียงกบร้องเป็นจังหวะประกอบ เพลงชีวิตของแม่เริ่มขึ้นตรงนั้น ฉันฟังแล้วตั้งใจจะเป็นจุดจบที่ต่างไป แต่เสียงฝนเหมือนมือของคนแก่ที่ลูบหัวฉันแล้วกระซิบว่า “ลูกปูเดินตามแม่ปูเสมอ”
คืนปีใหม่ แม่ใส่เสื้อยืดสีแดงตัวที่ใส่ทุกปี มันซีดจนแทบจะกลายเป็นชมพู มือของแม่หยิบไพ่ขึ้นมาช้า ๆ เหมือนยกของมีค่าอย่างที่สุด ฉันนั่งอยู่ตรงข้าม โต๊ะสั่นเล็กน้อยจากเสียงเพลงบ้านข้าง ๆ ที่เปิดดังเกินจำเป็น พอถึงเที่ยงคืน เสียงเคาท์ดาวน์ไกล ๆ ดังจากโทรทัศน์บ้านป้าสาย เด็ก ๆ กรีดร้อง แม่ยิ้มให้ฉัน แก้วของเราแตะกันเบา ๆ
ประตูเหล็กหน้าบ้านกระแทกดัง ซี่ลูกกรงสั่น ไฟฉายส่องวาบเข้ามา “เปิด! ตำรวจ!” เสียงตะโกนทะลุทุกเสียงในบ้าน ฉันยืนขึ้นเร็วจนเก้าอี้ล้มดัง ลุงคนหนึ่งวิ่งไปหลังบ้านอีกคนมุดใต้โต๊ะ ไพ่ปลิวเต็มพื้น แม่หันมาหาฉัน วินาทีนั้นสีหน้าของแม่ราบเรียบจนยากจะคาดเดา เด็กข้างบ้านร้องไห้ แม่ยกมือขึ้นสูง บอกเบา ๆ “เด็กไม่รู้เรื่องนะคะ อย่าทำอะไรลูกฉัน”
เราถูกพาไปโรงพัก ฉันนั่งข้างแม่บนม้านั่งยาวเหล็กเย็น ๆ ไฟนีออนบนเพดานในห้องสอบสวนกะพริบดวงหนึ่งไม่มีใครสนใจซ่อม ตรงข้ามเราเป็นโต๊ะไม้ที่คนในเครื่องแบบนั่งก้มหน้ากรอกรายงาน แม่เอามือโอบไหล่ฉัน “แม่ผิดเอง” ประโยคสั้น ๆ ของคนที่เคยบอกว่าจะเลิกแล้วซ้ำ ๆ ทำให้ฉันอยากวิ่งออกไปให้ไกลที่สุด แต่ขาของฉันโตมาในซอยแคบ ฉันเลยวิ่งได้แค่ในใจ แล้วก็เหนื่อยจนหยุดในใจอีกเหมือนกัน
ชั่วโมงต่อมาเราอยู่หลังลูกกรงห้องขังรวมเล็ก ๆ แม่จับซี่เหล็กแน่นจนปลายเล็บหัก ฉันยืนอยู่อีกฝั่งของเหล็ก เพิ่งรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าเหล็กนั้นเย็นกว่าฝน และแข็งกว่าคำขอโทษ แม่ยิ้มบาง ๆ ดวงตาเป็นเงาน้ำ “หนู หิวไหม” ฉันส่ายหน้า ทั้งที่ท้องร้องดังจนได้ยินเอง เสื้อของแม่มีกลิ่นที่ฉันคุ้นชินมาตลอดชีวิต—กลิ่นเหล้า กลิ่นบุหรี่
แม่ถูกปล่อยตัวตอนเช้า ป้าสายเอาเงินมาประกันให้ เธอส่ายหัวแล้วบ่น “เลิกสักทีเถอะนังเดือน” แม่ก้มหน้ายอมรับคำด่าทั้งหมด ขากลับบ้านฉันเดินข้างแม่โดยไม่จับมือ แดดเช้าฉาบซอยแคบเหมือนจะอบอุ่นแต่ลมที่พัดมากลับทำให้เวิ้งว้าง
หลังเหตุการณ์นั้น แม่หยุดจริงอยู่เดือนครึ่ง บ้านเงียบอย่างที่ไม่เคยเงียบมาก่อน เสียงช้อนกระทบจานกลายเป็นเพลงประจำบ้านใหม่ ฉันเริ่มทำงานพิเศษในร้านขายของชำปลายซอย กลิ่นสบู่ กาแฟ และเส้นมาม่าที่เพิ่งมาจากโรงงานทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองสะอาดขึ้นนิดหน่อย เงินเดือนน้อยนิดทำให้ฉันเห็นว่าโลกของผู้ซื้อต่างจากโลกของผู้ขายแค่ไหน บางวันฉันหลับไปบนกระสอบข้าวสาร รู้สึกถึงความนิ่มที่ปะปนกับความแข็งราวกับชีวิตกำลังสอนฉันให้รู้จักคำว่า “พอ”
ทั้งที่บ้านเงียบดีแล้ว แต่เงียบก็เหมือนความมืด มันทำให้เราได้ยินเสียงหัวใจตัวเองดังเกินไป คืนหนึ่งพวกพี่น้องที่หายหน้าไปตั้งแต่วันนั้นโผล่มาพร้อมถุงฝรั่งดองและน้ำแข็งหนึ่งถัง “นิดเดียว คลายเครียด” แม่หัวเราะเก้อ ๆ บอกว่า “เดี๋ยว ๆ” ฉันยืนนิ่ง รู้สึกเหมือนกำลังมองต้นไม้ที่เริ่มเอนเข้าไปหาแดดจ้าแบบไม่เกรงความร้อน
ฉันกลับมาดึกวันนั้น เห็นเงาไหว ๆ บนผนังอีกครั้ง เห็นไพ่คว่ำอยู่กลางโต๊ะ เห็นแก้วพลาสติกสองใบเปียกน้ำเกาะพราว เห็นแม่ชนะในตาแรก เสียในตาที่สาม และเงียบในตาที่ห้า ฉันนั่งลงตรงเก้าอี้เก่าตัวเดิมโดยไม่รู้ตัว พอรู้สึกตัวอีกทีไพ่ก็อยู่ในมือฉันแล้ว เราเล่นกันจนรุ่งเช้า เล่นเหมือนเราต้องการลืมอะไรบางอย่าง
แม่เริ่มไอเป็นเลือดกะปริดกะปรอย แม่บอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก แค่แพ้ควัน” โรงพยาบาลไกลเกินค่ารถ ฉันซื้อยาแก้ไอมาวางบนหัวเตียง เห็นกล่องยาขาว ๆ เรียงกัน แม่ซูบลงทีละนิด ใบหน้าที่เคยแดงจัดเวลาได้ดอกใหญ่ ๆ กลายเป็นขาวซีดเหมือนกระดาษวาดเขียน
วันที่แม่ล้ม ฉันกำลังนับเหรียญในลิ้นชักร้านขายของชำ เศษเหรียญตกพื้นดังกรุ๊งกริ๊งไม่เข้ากับเสียงร้องของคนเรียกรถพยาบาลในโทรศัพท์ ฉันวิ่งกลับบ้านผ่านแสงแดดสายที่แหลมคม ฉันเห็นแม่นอนบนพื้น หัวใจของฉันวิ่งไปถึงแม่ก่อนตัวฉันไปถึง แม่ลืมตาช้า ๆ แล้วหลับอีกครั้งเหมือนคนกำลังกะพริบตาช้า ๆ
โรงพยาบาลคือโลกอีกใบที่เย็นและขาวเหมือนท้องฟ้าวันฝนหยุดใหม่ ๆ ฉันเซ็นชื่อไปบนกระดาษมากมายจนปลายนิ้วชา หมอบอกคำยาว ๆ ที่ฉันไม่คุ้น—ตับแข็ง โรคแทรกซ้อน บลา ๆ—ฉันไม่รู้ว่าคำไหนเจ็บกว่าคำไหน แม่มองฉันนิ่ง กุมมือฉันไว้หลวม ๆ “กลับบ้านเถอะ หนู แม่ไม่ชอบกลิ่นยา” ฉันหัวเราะร้องไห้ไปพร้อมกัน “ไม่ไหวแล้วแม่” แม่ยิ้ม “แม่ไหวมาเยอะแล้ว” คืนนั้นฉันเฝ้าแม่ที่เตียงเหล็ก มือแม่อุ่นน้อยกว่าที่เคยอุ่นมาตลอดชีวิต
เราเอาแม่กลับบ้านในสัปดาห์ต่อมา ชีวิตย้ายมาอยู่บนเตียงพับข้างหน้าต่างที่มองไปเห็นหลอดนีออนร้านก๋วยเตี๋ยวที่ยังกะพริบอย่างซื่อสัตย์ แม่กินข้าวได้น้อย ชอบดูฉันจัดไพ่เล่นคนเดียว ฉันสับไพ่ให้แม่ดู แม่พยักหน้าช้า ๆ วันหนึ่งแม่ขอให้ฉันปูผ้าใหม่บนโต๊ะพับ บอกให้หยิบแก้วพลาสติกใสหนึ่งใบ วางน้ำแข็งสักสองก้อน แล้วเทน้ำเปล่าลงไป “เสียงน้ำแข็งชนแก้วมันเหมือนเสียงแก้วเหล้าเลย” แม่หัวเราะ ฉันยิ้มทั้งน้ำตา จู่ ๆ ก็อยากให้ทั้งชีวิตนี้ไม่มีเสียงอะไรชนอะไรอีกแล้ว
งานศพของแม่จัดที่วัดท้ายซอย ตามธรรมเนียมคนแถวบ้านจะตั้งวงไพ่ให้คนที่เฝ้าศพได้คลายเหงา ฉันไม่อยาก แต่ป้าสายพูดว่า “มันเป็นหน้าที่” ญาติห่าง ๆ เอาสำรับใหม่แกะห่อมาวางตรงโต๊ะพลาสติกสีขาว ฉันยืนมองมันอยู่นาน ไม่แน่ใจว่ามันคือไพ่หรือรูปถ่ายหมู่ของชีวิตที่ผ่านมา ฉันนั่งลงด้วยสาเหตุที่ฉันอธิบายให้ตัวเองไม่ได้ เราเล่นกันเงียบ ๆ เหมือนทำตามหน้าที่ พระสวด ลมค่ำพัดให้ผ้าขาวที่คลุมโลงไหววาบเหมือนแม่กำลังกะพริบตาขอพัก
หลังเผาแม่ บ้านดูเงียบเกินไป ความเงียบไม่ใช่คลื่นอีกต่อไป มันเป็นบ่อที่ลึกเกินกว่าสายตาจะมองเห็นก้น ฉันลองก้มลงไปฟัง เสียงที่ลอยขึ้นมาไม่ใช่เสียงของแม่ แต่เป็นเสียงไพ่ปะทะกันและเสียงน้ำแข็งกระทบแก้ว ฉันรู้แล้วว่าเสียงพวกนี้จะไม่หายไปไหน
ฉันพยายามอยู่ห่างมัน ตื่นเช้าไปทำงานเพิ่มที่ร้านรับจ้างล้างแก้วในงานเลี้ยงโรงแรม กลิ่นน้ำยาล้างจานที่แรงจนแสบจมูกช่วยล้างความจำได้ชั่วคราว เงินที่ได้ต่อคืนมากกว่าที่เคยเห็นในหนึ่งสัปดาห์ ฉันเก็บใส่ซองสีน้ำตาล วางไว้ใต้หมอน หวังว่าสักวันหนึ่งซองเหล่านี้จะหนาพอจะถ่วงความทรงจำไม่ให้ปลิว แต่บางคืนฉันยังเดินผ่านบ้านดงไพ่ แสงไฟเหลืองขุ่นไหวเหมือนคำเชิญ ฉันยืนอยู่นานตรงริมรั้ว เห็นลุงป้าน้าอายังนั่งที่เดิม เห็นแก้วที่ยังชนกัน หัวเราะยังดังเท่าเดิม โลกนั้นเรียกฉันเหมือนสายน้ำเรียกเรือเล็กที่หลงฝั่ง
ฉันกลับเข้าไปนั่งอีกครั้งในคืนหนึ่งที่ฝนตกหนักจนถนนเหมือนลำธาร น้ำขังสะท้อนไฟนีออนที่กะพริบให้กลายเป็นเส้นยาวสั่น ๆ บนผืนน้ำ ฉันบอกตัวเองว่าจะเล่นแค่ตาเดียว—คำว่า “แค่ตาเดียว” ก็เหมือนคำว่า “แค่คืนนี้” ของแม่ในอดีต ฉันสับไพ่ด้วยมือที่เหมือนของแม่มากขึ้นทุกวัน ฉันหัวเราะตอนชนะ เงียบตอนแพ้ ฉันยกแก้วจิบทีละน้อย ๆ เพราะไม่อยากให้หมดเร็วเกินไป ฉันเข้าใจทันทีว่าทำไมแม่ถึงชอบเสียงแก้วกระทบฟันน้ำแข็ง—มันทำให้ใจเราเชื่อว่าทุกอย่างยังเย็นอยู่ ทั้งที่แท้จริงแล้วภายในมันไหม้มานาน
คืนที่ฉันรู้ตัวว่ากลายเป็นแม่มากกว่าเป็นตัวเองคือคืนที่เด็กหญิงข้างบ้านลอดเข้ามาใต้โต๊ะแล้วเก็บไพ่ที่หล่น เธอหัวเราะคิกเมื่อจับได้ว่าฉันกำลังมอง เธอชูไพ่โพธิ์แดงให้ดู ฉันเห็นเงาของตัวเองซ้อนทับกับเงาแม่ในดวงตาใส ๆ นั้น ฉันอยากยื่นมือไปหยุดเวลา แต่เวลาไม่มีมือให้จับ ฉันเลยวางมือเบา ๆ บนหัวเธอและพูดอย่างที่แม่ไม่เคยพูดกับฉัน “ไปนอนเถอะ ดึกแล้ว” เธอวิ่งหัวเราะออกไป ฉันนั่งนิ่งอยู่กับไพ่ในมือ ปล่อยให้มันอุ่นขึ้นจนนึกว่าเป็นสิ่งมีชีวิต
ฉันพบเขาในเดือนต่อมา—ผู้ชายที่บอกว่ารู้จักทางลัดในการหาเงิน เขาหัวเราะง่าย ใจดี พาไปกินก๋วยเตี๋ยวตอนเช้าหลังคืนยาว ๆ ฉันคิดว่าบางทีชีวิตก็คงมีทางตรงบ้าง เขาบอกว่าอยากมีครอบครัว บอกว่าฉันเหมือนคนที่เขารู้จัก—ฉันพยักหน้า ทั้งที่ใจหนึ่งกลัวว่าคนคนนั้นจะเป็นแม่ของเขาหรือฝันของเขาหรือหนี้ของใครสักคน เราอยู่ด้วยกันไม่นานนักเขาก็หายไป มีเพียงจดหมายฝากไว้สั้น ๆ “ขอโทษนะ ฉันไม่ไหว” ไม่มีชื่อ ไม่มีที่อยู่ ฉันก้มลงเห็นทารกในท้องฉันเงียบเหมือนฝนที่หยุดไปเมื่อคืน
ท้องฉันโตขึ้นพร้อมหนี้ พี่ ๆ ในวงไพ่บอกให้ฉันพัก แต่ฉันหัวเราะ “ฉันเล่นให้เบาเอง” คำว่าเบาเป็นคำกลวงเหมือนแก้วที่ล้างสะอาดเกินไป ฉันเล่นจนดึกขึ้นเพื่อไม่ต้องคิดอะไร ฉันชนะบ้างแพ้บ่อย เศษเหรียญในกระเป๋ากระทบกันเวลาฉันเดินเหมือนเสียงระฆังที่ปลุกไม่ให้ฉันหลับไปในฝันดี
คืนหนึ่งหลังเที่ยงคืน ฉันวางมือบนท้องที่ดิ้นแผ่ว ๆ ไฟนีออนนอกหน้าต่างยังกะพริบอย่างซ้ำซาก ฉันกระซิบกับคนที่ยังไม่เห็นแสงโลก “แม่ขอโทษนะ ถ้าแม่ไม่ใช่ต้นไม้ที่ดีพอให้ลูกหล่นลงมาแล้วเจอพื้นนุ่ม ๆ” เสียงในท้องเงียบเป็นคำตอบที่ฉันอ่านไม่ออก ฉันนึกถึงมือแม่ที่เคยจับมือฉันตอนเดินในซอยเปียกฝน คิดถึงวันที่แม่ถามว่าหิวไหม คิดถึงเสียงหัวเราะที่ดังและน้ำตาที่เงียบเกินไป ชีวิตของเราช่างคล้ายกันอย่างน่าขนลุก เราเหมือนต้นไม้สองต้นที่ปลูกในกระถางเดียวกัน รากพันกันแน่นจนแยกไม่ออกว่าของใครเป็นของใคร
ฉันคลอดลูกสาวในเดือนที่ฝนตกมากที่สุดของปี เสียงฝนบนหลังคาของโรงพยาบาลทำให้ฉันคิดว่าทุกหยดคือนิ้วมือของแม่ที่เคาะบอกว่าทุกอย่างยังเดินหน้าต่อไปได้ ฉันอุ้มเธอไว้ เธอหลับ กะพริบตาช้า ๆ ฉันสัญญากับตัวเองอีกครั้ง สัญญาที่คนอย่างฉันชอบผูกไว้กับอากาศ—ว่าฉันจะเป็นทางตรงให้เธอเดิน ฉันจะตัดหญ้าหนาม ฉันจะฝังไพ่ทั้งหมดไว้ใต้ต้นชมพู่จนมันงอกเป็นแกนไม้ที่แข็งแรง ฉันจะทำทุกอย่างที่แม่คงอยากทำแต่ทำไม่ทัน
ฉันทำได้เดือนหนึ่ง สองเดือน สามเดือน—เสียงหัวเราะจากบ้านดงไพ่กระซิบเรียกฉันเหมือนสายน้ำเรียกเรือเล็กซ้ำ ๆ ฉันทำงานสองกะจนหลังแข็ง เงินไม่พอซื้อผ้าอ้อมแพง ๆ ฉันซักผ้าอ้อมผืนเดิมจนลายดอกไม้แทบหายไป เพื่อนเก่าถามว่า “อยากเอางานนอกเวลาไหม คืนละพัน” คืนละพันคือคำที่หวานจนไม่อาจปฏิเสธ ฉันวางลูกนอนกับป้าสายแล้วแต่งตัวเดินออกจากบ้านอย่างแผ่วเบา กลัวเสียงพื้นไม้จะปลุกคนทั้งโลกให้รู้ว่าฉันกำลังทำสิ่งที่สัญญาว่าจะไม่ทำ
วงไพ่คืนแรกหลังคลอดเหมือนบ้านเก่าที่ฉันเปิดประตูเข้าไปแล้วทุกอย่างยังอยู่ที่เดิม กลิ่นเดิม เสียงเดิม ฉันนั่งลงสับไพ่ เล่นจนเช้า กลับบ้านพร้อมซองเงินสีขาวอุ่น ๆ ฉันจูบหน้าผากลูกและร้องไห้—น้ำตาหยดลงบนแก้มเล็ก ๆ เหมือนหยดฝนลงบนใบไม้ใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าฤดูกาลจะหมุนไปทางไหน
หลายเดือนต่อมา ลูกฉันเริ่มคลาน เธอชอบซุกใต้โต๊ะเหมือนฉันตอนเด็ก เธอเก็บสิ่งที่หล่น—ไม่ว่ามันจะเป็นช้อน หนังยางที่ขาด หรือไพ่หนึ่งใบที่เผลอหล่นจากกระเป๋าฉัน เธอหัวเราะคิกชูไพ่โพธิ์แดงให้ฉันดู ฉันสะดุ้งเหมือนคนถูกปลุกจากฝัน ฉันย่อตัวลงนั่งระดับสายตากับเธอ เอื้อมมือช้า ๆ ไปรับไพ่คืน “แม่เก็บให้” เธอยิ้มเหมือนแสงเช้า พูดคำแรกในชีวิตที่ชัดกว่าคำอื่น “แม่” ฉันยิ้มทั้งน้ำตา คำนี้หนักกว่ากองเหรียญทั้งหมดบนโลก
คืนนั้นฉันเอาสำรับไพ่ไปฝังใต้ต้นชมพู่ ไฟร้านก๋วยเตี๋ยวยังกะพริบอย่างเดิม ดินชื้นเย็นจับปลายนิ้วเหมือนมือของใครสักคนที่ฉันคิดถึง ฉันตักดินกลบด้วยมือเปล่า ยืนอยู่ตรงนั้นจนเหงื่อซึมหลัง มือสั่นเล็กน้อยแต่ฉันไม่ได้กลัว ด้านในบ้านลูกหลับสนิท เสียงลมหายใจของเธอนิ่มเหมือนเสียงใบไม้ไหว
ฉันบอกตัวเองว่าพอแล้ว—พอจริง ๆ—ฉันจะยอมทำงานหนักเพิ่มอีกกะ ฉันจะยอมซักผ้าอ้อมจนมือแตก จะยอมก้มหน้าก้มตารับคำค่อนแคะ อย่างน้อยให้ลูกได้โตในทางที่ควร ป้ายชื่อที่คนเคยแปะบนหน้าอกฉันฉันจะเก็บมันไว้กับตัว ไม่ให้หล่นไปติดบนหน้าอกเล็ก ๆ ของเธอ
หลายเดือนถัดมา ฉันยังเดินผ่านบ้านดงไพ่ทุกคืนเพราะซอยมันเลี่ยงไม่ได้ แสงไฟในบ้านนั้นยังไหวคล้ายเปลวเทียน แว่วเสียงหัวเราะมาบาง ๆ เกือบเหมือนเสียงร้องไห้ ฉันกอดลูกแน่นขึ้นทุกครั้งที่เดินผ่าน เราเหมือนเรือสองลำเล็ก ๆ ที่ฝ่าคลื่นออกไปช้า ๆ หวังว่าวันหนึ่งจะเจออ่าวที่น้ำสงบ ฉันไม่มีแผนที่ ไม่มีเข็มทิศ มีแต่ดวงดาวที่กะพริบเหนือหัวและเรื่องเล่าที่แม่ทิ้งไว้ให้—เรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่อยากมีชีวิตง่าย ๆ แล้วพบว่าความง่ายนั้นแพงกว่าทองแท้
ลูกฉันเติบโตขึ้นทีละวัน เธอชอบนั่งใต้ต้นชมพู่กับฉันตอนเย็น เราเก็บผลสุกที่หล่นแล้วล้างน้ำเกลือกินด้วยกัน ฉันไม่เคยบอกเธอว่าใต้ดินตรงนั้นฝังอะไรอยู่ ฉันแค่มองว่าผลที่หล่นจากกิ่งสูง ๆ ยังมีเนื้อหวานให้ชิมแม้มันมีรอยดินติดบ้าง เราเช็ดมันออกด้วยชายเสื้อ เสียงหัวเราะของลูกแผ่วเบาเหมือนใบที่สีกันในลมอ่อน ๆ ดวงตาของเธอสะท้อนท้องฟ้าและใบไม้ ฉันเห็นภาพตัวเองอยู่ในนั้น—ไม่ใช่ผู้หญิงที่ถือไพ่หรือแก้วเหล้า แต่เป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่กำลังพยุงทางให้ใครอีกคนเดิน
บางคืนฉันยังฝัน—ฝันว่ากลับไปนั่งใต้โต๊ะ เก็บไพ่ที่หล่นเหมือนเก็บคำพูดที่ลืมพูด แม่หัวเราะอยู่ฝั่งตรงข้าม ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมนีออนกะพริบไกล ๆ ในซอย ฉันจับมือเล็ก ๆ ที่นอนข้าง ๆ ให้แน่น แล้วกระซิบคำสัญญาเดิมซ้ำ ๆ อย่างคนที่กลัวลืมภาษา “แม่จะไม่พาลูกเดินคดเคี้ยวแบบแม่ปู แม่จะพาไปบนทางที่มีไฟพอ ไม่แสบตา ไม่มืดเกินไป”
ฉันไม่รู้ว่าฉันจะทำได้ตลอดหรือเปล่า ฉันแค่รู้ว่าทุกเช้าเมื่อลูกตื่นขึ้นมา เธอเรียกฉันว่าแม่ด้วยเสียงเดิม และทุกเย็นเมื่อดวงอาทิตย์ชุบสีทองลงบนซอยแคบ ฉันกับลูกจะนั่งใต้ต้นชมพู่ เก็บผลที่หล่น กัดมันด้วยฟันน้ำนม และหัวเราะในแบบที่ไม่ต้องมีไพ่ ไม่มีแก้ว ไม่มีใครต้องชนะใคร
ฉันมองลูกหลับ ดวงตาของเธอขยับใต้เปลือกตาเหมือนกำลังฝัน ลูกไม้หล่นใต้ต้นใช่ไหม บางที…ถ้าต้นยอมเปลี่ยนดินเสียใหม่ รากใหม่อาจแตกต่างจากรากเดิมนิดหน่อย แต่เพียงนิดหน่อยนั้น ก็อาจพอให้ผลที่หล่นลงมาไม่กระแทกแรงเหมือนเมื่อก่อน
ฉันลูบศีรษะลูกเบา ๆ รับฟังเสียงหายใจเข้า–ออกที่เท่ากันของเธอ ในเงาสลัวนั้น ฉันเหมือนเห็นแม่ยืนพิงประตูยิ้มบอกล่ำลา เธอไม่ได้ถือไพ่ ไม่ได้ถือแก้ว มีเพียงมือเปล่าที่เคยพยุงฉันเดินบนซอยแคบ ๆ มาจนถึงวันนี้ ฉันยกมือขึ้นทาบบนอากาศ ตรงที่คิดว่าเธอยืนอยู่ แล้วพูดเบา ๆ
“ไปเถอะ แม่ เดี๋ยวฉันพาลูกเดินต่อเอง—แม้มันจะยังไม่ตรงนักก็ตาม”
-จบ-
พืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
2569 ตรงกับเป็นปีนักษัตรอะไร สีนำโชค พร้อมปีชง
10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯ
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
เปิดการบ้านภาษาไทย เรียงอักษรให้เป็นคำ แบบนี้ยากไปไหม
"ตระกูลฮุน" ถึงคราวอวสาน! คนในชิ่งหนีปิดฮุยวัน-ปชช.หมดตัวเงินในบัญชีถอนไม่ได้
ปิดฉาก! มหากาฬฯ โบนัสพนักงาน “ไดกิ้น” คือ Get out
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
เพื่อนสนิทเปิดใจหลังเกิดเหตุ! เผย 'ณัฐวุฒิ ปงลังกา' หลับไม่ตื่น-ไม่ขอตอบปมทะเลาะในวงเหล้า ขณะผลชันสูตรชี้ชัดพบ "ไซยาไนด์"
“ศุภจี” เฮ! ARASCO ซาอุฯ สั่งซื้อมันสำปะหลังอัดเม็ดเพิ่ม 3 หมื่นตัน ปีหน้าลุ้นพุ่งแตะ 1 แสนตัน
หาดใหญ่จมน้ำ รถลูกค้า ‘วิริยะประกันภัย’ ขอเคลมพุ่ง 3,800 คัน



