นิยาย ผมจะรักแล้วนะครับคุณพี่ฝ่ายช่าง ตอนที่ 5
ความเดิมตอนที่แล้ว ฟีฟ่าได้ไปทำงานร่วมกับพี่ภูผา รุ่นพี่ฝ่ายช่างที่แอบชอบ❤
เรื่องราวของทั้งคู่จะเป็นยังไงมาติดตามกันต่อได้เลยครับ
บทที่ 5
ตั้งแต่เริ่มงานมาวันนี้เป็นวันแรกที่ผมจัดการงานตรงหน้าเสร็จก่อนเวลาเลิกงาน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพี่หญิงที่ดึงงานบางส่วนกลับไปทำ ตอนนี้ผมจึงไปช่วยงานพี่แมวเหมียวเท่าที่พอจะทำได้
“เป็นไงบ้างล่ะเมื่อวานไปเดินตรวจงานกับฝ่ายช่าง”
“ก็ดีครับพี่หญิงสนุกดี”
“วันนี้ต้องไปเดินตรวจอีกใช่ไหมล่ะ วันเดียวไม่เสร็จหรอก”
“ครับ ถึงเวลาเดี๋ยวพี่เขาจะมาเรียก”
“เหนื่อยหน่อยนะ”
“ไม่หรอกครับ สนุกดีได้เรียนรู้งานใหม่ ๆ ด้วย”
“คิดอย่างนั้นก็ดี ประสานงานกับฝ่ายช่างจะวุ่นวายหน่อย อะไรจุกจิกก็ส่งใบแจ้งงานมาทำไปอีกหน่อยก็ชิน”
ได้แต่ยิ้มตอบกลับไป ตอนนี้ผมยังนึกถึงหน้าของพี่ภูผาตอนที่สอนงานให้บนดาดฟ้าอยู่เลย คนอะไรจะมองมุมไหนก็ดูดี ได้คนสอนงานดีขนาดนี้งานหนักแค่ไหนผมก็สู้ตาย
สู้โว้ยยยย
ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้ผมแทบจะยิ้มออกมา
“พูดถึงก็มาเลย”
ผมหันไปมองตามเสียงพี่หญิงก็เห็นว่าพี่ภูผากำลังผลักประตูเข้ามาพร้อมยิ้มโปรยเสน่ห์ทักทายทุกคน
“ไปกันครับ พี่มารับแล้ว”
ไม่ต้องพูดอะไรมากมายแค่ยืนนิ่ง ๆ พูดแค่นี้ผมก็คิดไปไกลแล้ว
มันให้ความรู้สึกเหมือนแฟนมารับกลับบ้านไม่มีผิด
“จะไปไหนกันคะ” เสียงขัดความสุขมาพร้อมพี่แมวเหมียวที่มาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยสายตายากจะคาดเดาที่มองผมกับพี่ภูผาพร้อมด้วยยกยิ้มที่มุมปากนิด ๆ
“ไปตรวจงานต่อจากเมื่อวานครับ” เป็นพี่ภูผาที่ตอบออกไป
“สนใจรับคนไปช่วยตรวจเพิ่มไหมคะพอดีพี่ว่าง”
ว่างหรอครับ แล้วงานที่วางกองอยู่บนโต๊ะนั่นล่ะคืออะไร
“ไม่เป็นไรครับพอดีผมอยากไปกับน้องฟีฟ่า”
ขออนุญาตเขินได้ไหมครับ ส่วนพี่แมวเหมียวคงอึ้งสิครับและดูเหมือนพี่แมวเหมียวจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ หรืออาจจะไม่ใช่ในเมื่อสีหน้าเจ้าตัวไม่ได้ดูใกล้เคียงคำว่าอึ้งแม้แต่น้อย แล้วสายตาที่วาวเป็นประกายขึ้นมานี่มันอะไรกัน
ผมชักจะเดาทางพี่สาวคนนี้ไม่ถูกแล้วครับ
“กลับไปทำงานได้แล้ว” เสียงของพี่หญิงดังขึ้นเหมือนเสียงเรียกเข้าชั้นเรียนเพราะพี่แมวเหมียวก็เดินกลับไปที่โต๊ะทันทีส่วนพี่ภูผาก็เดินนำผมออกไป
“ไปกันครับ”
“ครับ” คงมีแต่พี่ภูผาสินะที่ไม่รู้สึกอะไรกับความวุ่นวายของคนในห้อง ผมได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ ให้เพื่อนในแผนกแล้วเดินตามแผ่นหลังกว้างออกไป
“ดูเหมือนพี่เหมียวจะชอบพี่นะครับ”
“แต่พี่ไม่ได้ชอบเขาสักหน่อย”
“ครับ”
“อีกอย่างพี่มีคนที่ชอบอยู่แล้ว”
จุกสิครับได้ยินแบบนี้
ทำไมถึงรู้สึกจุกไปทั้งความรู้สึก ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องรู้สึกทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าคงมีแต่ผมที่แอบชอบอีกฝ่ายอยู่ข้างเดียว
ทั้งที่รู้ว่ามันคงเป็นอย่างที่คิดไม่ได้
“ครับ” คงทำได้แต่ยิ้มทั้งที่รู้สึกเสียใจ
เป็นไปได้ก็อยากให้คนที่พี่เขาชอบเป็นผมคนนี้ ถึงแม้ผมจะเป็นผู้ชายเหมือนพี่เขาก็ตาม
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ป...เปล่าครับ พอดีคิดอะไรเพลินไปหน่อย”
“ไปเดินข้างหลังทำไมมาเดินข้างพี่ดิ” พี่ภูผาดึงผมไปเดินกอดคอไว้ “แล้วที่บอกว่าคิดอะไรเพลิน ๆ นี่คิดเรื่องพี่ด้วยหรือเปล่า”
ทำไมถึงอ่อยเก่งขนาดนี้ครับ
จะรู้บ้างไหมว่ายิ่งทำอย่างนี้ผมยิ่งคิดไปไกลนะ
แต่พี่เขาจะไปรู้ได้ไงล่ะในเมื่อมีแค่ผมที่รู้เพราะมันเป็นความรู้สึกของผมเองที่ต้องเก็บเอาไว้ จะให้พูดออกไปตรง ๆ ก็ทำไม่ได้ คงต้องเก็บซ่อนความรู้สึกแบบนี้ต่อไปแล้วเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกัน
คงเป็นทางที่ดีที่สุด
ผมมัวแต่สนใจคนข้าง ๆ ทำให้ไม่ได้มองเลยว่ามีช่างอีกสองคนเดินสวนมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงเหมือนตะโกนคุยกันทั้งที่ยืนห่างกันแค่หนึ่งไม้บรรทัด
“ฮั่นแหน่ เดี๋ยวนี้ควงเด็กเดินว่อนในบริษัทเลยนะ” พี่โกโก้ที่เดินสวนมาร้องทัก
“พี่ก็ไปแซวพี่ภูผา ว่าแต่จะพาพี่ฟีฟ่าไปทำอะไรครับพี่” คนนี้ชื่อแสตมป์ครับ ผมพอจะจำได้เพราะเป็นช่างเด็กสุดของแผนกและหน้าตาดี (รองจากพี่ภูผา) พูดขึ้นต่อ
“เดินตรวจงานประจำเดือนไง” พี่ภูผาตอบ
“น้องดูบอบบางอย่าไปทำอะไรหนัก ๆ ล่ะครับเดี๋ยวน้องจะไม่ไหว แต่ห้องสัมมนาชั้นสี่ว่างนะลูกค้าเพิ่งใช้เสร็จ พี่เพิ่งไปตรวจห้องมา” ถึงกระซิบคุยกันแต่ผมที่ถูกแขนคล้องคอไว้ก็ได้ยินนะครับพี่โกโก้
ปกติแล้วช่างเขาคุยกันทะลึ่งแบบนี้หรือไง
หรือผมจะคิดทะลึ่งไปเอง เขาอาจจะหมายถึงให้เราสองคนขึ้นไปตรวจห้องสัมมนาก็ได้
“ไปทำงานกันดีกว่าเดี๋ยวงานจะไม่เสร็จ” พี่ภูผาเดินไปต่อทำให้ผมต้องก้าวเท้าเดินตามไปโดยมีเสียงหัวเราะดังอยู่ข้างหลัง
ในที่สุดก็ตรวจครบทุกชั้น เช็กครบทุกจุดสักที ผมทิ้งตัวลงนั่งรอพี่ภูผาที่ขอตัวไปห้องน้ำหน้าห้องจัดประชุมที่ไม่มีใครใช้งาน
“โอ้ยยย”
“ตกใจหรอ” อีกฝ่ายหัวเราะผมที่สะดุ้งตัวลอยเพราะถูกขวดน้ำเย็นฉ่ำแตะตรงต้นคอ “พี่ซื้อมาให้”
“ให้ผมหรอ”
“อยู่กันสองคนจะให้พี่ซื้อฝากใครล่ะครับ”
“ขอบคุณนะครับ”
น้ำขวดแรกที่พี่ภูผาซื้อให้ ไม่กินได้ไหมจะเก็บไว้แต่ก็ทำได้แค่คิดเพราะตอนนี้เปิดฝาขวดแล้วกรอกน้ำลงปากเป็นที่เรียบร้อย
“ป่ะ”
“ไปไหนครับ” งานก็ทำเสร็จหมดแล้ว นี่ผมยังจะต้องไปทำอะไรอีกแค่เดินไปทุกชั้นก็ปวดขาจะแย่
“ไปหาอะไรสนุก ๆ ทำกัน”
ผมสำลักน้ำลายตัวเองจนต้องไอออกมาชุดใหญ่ นี่ถ้ามีน้ำอยู่ในปากคงได้เห็นผมพ่นละอองฝอยออกไปแน่นอน
“คิดอะไรอยู่เนี่ย” พี่ภูผารีบลูบหลังพลางหัวเราะ
ตกลงว่าจะช่วยหรือจะขำกันแน่ครับ
“ไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย” กว่าจะเค้นเสียงตอบออกไปได้
“แน่ใจว่าไม่ได้คิด หน้านี่แดงเลยนะ” พี่ครับ ผมเพิ่งสำลักน้ำหน้าจะแดงคงไม่ใช่เรื่องแปลก
“ก็พี่พูดกำกวมให้ผมคิด”
โบ้ยความผิดให้ซะเลย เกือบจะทำผมสำลักน้ำตายแล้วไหมล่ะ
“คิดลึกนะเราเนี่ย อะไรสนุก ๆ เนี่ยพี่หมายถึงไปนั่งเล่นชั้นดาดฟ้ากัน ไปไหม”
“ไปครับ” ตอบแบบไม่ต้องคิด
“แล้วถ้าพี่ชวนไปทำอะไรสนุก ๆ อย่างอื่นล่ะครับจะไปไหม”
“พี่ภูผา” ผมทำเสียงดุ
แต่มีหรอที่อีกฝ่ายจะกลัว ไม่เลย ซ้ำยังหัวเราะไม่หยุดอีกต่างหาก
คงต้องขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น คงต้องขอบคุณงานตรวจอาคารประจำเดือนที่ทำให้เราได้ใกล้ชิดกัน ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เราสองคนได้ใกล้ชิดถึงจะแค่สองวันแต่ก็เปลี่ยนจากคนไม่รู้จักกันให้ได้พูดคุยกันถึงแม้จะไม่สนิทสนมเหมือนเพื่อนร่วมแผนกแต่ก็ดีกว่าได้แค่แอบมองไปวัน ๆ ท้องฟ้าตอนนี้เริ่มเปลี่ยนจากสีส้มอ่อนเป็นความมืดตัดกับแสงสว่างจากอาคารบ้านเรือนและท้องถนนที่มีรถติดอยู่ยาวเหยียดกลายเป็นวิวที่ดูสวยไปอีกแบบ อากาศก็เริ่มเย็นลงจนรู้สึกได้
เหงา
จู่ ๆ ความเหงาก็เข้ามาในความรู้สึก ผมทิ้งตัวลงนั่งบนม้านั่งไม้ตัวยาวแขนทั้งสองข้างขยับขึ้นกอดตัวเองไว้โดยที่สายตายังมองเหม่อไปตามแสงสีของเมืองหลวงที่ดูไม่เงียบเหงาเหมือนความรู้สึกข้างใน นานเท่าไหร่แล้วนะที่ผมเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้
จะว่าไปอารมณ์ตอนนี้ก็ชวนให้คิดถึงบ้านอยู่ไม่น้อย
“หนาวหรอ”
“ครับ” อันที่จริงก็ไม่ได้หนาวหรอกครับแค่รู้สึกเหงามากกว่า
“แบบนี้อุ่นขึ้นไหม” คนถามนั่งลงข้าง ๆ และขยับเข้ามาโอบไหล่ให้ผมตกอยู่ในอ้อมกอด
“ผม...อุ่นครับ” อยากจะบอกออกไปตรง ๆ ว่าเขินครับแต่ก็ไม่กล้าพูดออกไปเลยตอบออกไปอย่างนั้นแทน
คิดไปไกลอีกแล้วครับ
คิดไปไกลมากด้วยตอนนี้
ผมเป็นน้องชายคนเล็กของครอบครัวที่มีพี่ชายคนโตและพี่สาวคนกลางคอยดูแลมาตลอดจนเรียนจบและได้ทำงานจนถึงทุกวันนี้ ความรู้สึกที่ได้รับการดูแลมาตลอดชีวิตผมจำมันได้ดีแต่ความอบอุ่นที่เคยสัมผัสมาตลอดจากพี่ทั้งสองคนมันต่างออกไปจากความอบอุ่นที่สัมผัสได้ในตอนนี้
มันเป็นความอบอุ่นที่ต่างออกไปซึ่งผมเองก็ไม่รู้จะอธิบายเป็นคำพูดได้อย่างไร รู้แค่ว่าตอนนี้ผมรู้สึกดีจนไม่อยากลุกไปไหน
อยากหยุดเวลาเอาไว้ตรงนี้ถึงแม้ผมจะทำได้แค่แอบเขิน แอบคิดไปไกล แอบมองใบหน้าคนข้าง ๆ แล้วไม่กล้าพูดอะไรออกไปก็ตาม แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ได้ใกล้ชิดกัน
“แสงไฟก็สวยดีนะครับ แต่ดูไปนาน ๆ ก็รู้สึกเหงาขึ้นมา” ผมพูดขึ้นลอย ๆ ปล่อยให้เสียงลอยละล่องไปตามสายลมเย็น
“เหงาหรอ”
“ครับ”
“ไม่ต้องเหงา มีพี่อยู่เป็นเพื่อนทั้งคนบางทีเวลาคิดถึงคนที่บ้านพี่ก็ชอบนั่งเหม่อมองท้องฟ้าแบบนี้เหมือนกัน ถึงจะรู้สึกเหงาแต่มันก็ทำให้พี่รู้สึกสบายใจถ้าไม่เชื่อลองมองขึ้นไปดูสิ”
ผมแหงนหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าที่เปลี่ยนเข้าสู่ความมืดเป็นที่เรียบร้อยก่อนจะปล่อยลมหายใจออกยาวเหยียด จริงอย่างที่พูดถึงภาพของท้องฟ้าที่กว้างใหญ่จะทำให้รู้สึกเหงาแต่ก็ทำให้อีกส่วนของความรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
“ฟีฟ่ามีพี่น้องหรือเปล่า”
“มีครับ ผมมีพี่ชายกับพี่สาว”
“เป็นน้องคนสุดท้องหรอ”
“ครับ แล้วพี่ล่ะ” ผมกลับมามองหน้าคนข้าง ๆ
“พี่เป็นลูกคนเดียว ไม่เคยรู้สึกเลยการมีพี่น้องมันเป็นยังไง ตอนเด็กพี่ไม่เคยรู้สึกอยากมีพี่น้องเลยนะเพราะคิดว่าเป็นลูกคนเดียวมันก็ดีอยู่แล้วพ่อแม่จะได้รักเราแค่คนเดียว”
“แล้วตอนนี้ล่ะครับ”
“มีน้องชายสักคนก็คงดี” แขนที่โอบไหล่ผมไว้ถูกกระชับแน่นขึ้น “ให้พี่เป็นพี่ชายของฟีฟ่าอีกสักคนนะ”
“ได้สิครับ ดูจากอายุแล้วพี่คงเป็นพี่คนโตเลยล่ะครับ”
“พูดเรื่องอายุแล้วหมดอารมณ์เลย”
“ขอโทษครับพี่ชายยย...” ผมทำเสียงทะเล้นติดตลกแต่นั่นก็เป็นคำที่ใช้ย้ำเตือนความคิดว่าอีกฝ่ายคิดกับผมแค่นั้นไม่ได้เกินเลยไปไกล
แค่พี่น้องกันเท่านั้น
ทำไมคำว่าพี่น้องจากปากที่ได้ยินถึงทำให้ผมรู้สึกจุกอยู่ที่ความรู้สึกได้อย่างนี้ อยากจะพูดออกไปให้ได้ยินว่าไม่ได้อยากเป็นแค่น้องชาย
อยากเป็นมากกว่านั้นพี่เข้าใจไหม
แต่ก็คงทำได้แค่ยิ้มกลบเกลื่อน
“พี่เคยเหงาบ้างไหมเวลาที่เห็นคนอื่นที่มีพี่น้อง” ผมถามออกไปเพราะกลัวว่าความเงียบจะเข้ามาแทนที่
“ก็...เคยมีนะ ตอนเด็ก ๆ เวลาที่เห็นเพื่อนมีพี่มารับที่โรงเรียน มีน้องให้นั่งเล่นกันเวลารอกลับบ้านแต่พี่ต้องนั่งรอแค่คนเดียว”
“ฟังแล้วก็เหงาเหมือนกันนะ”
“แต่ตอนนี้พี่คงไม่เหงาแล้วล่ะก็พี่มีฟีฟ่าแล้วนี่ไง” พี่ภูผาขยี้ลงบนผมของผมที่ไม่รู้ว่าจะนุ่มอย่างที่พี่เขาคิดไว้หรือเปล่า “กลับกันเถอะ”
“ครับ”
“ฟีฟ่าพักอยู่แถวไหน”
“นั่นไงหอผม” ผมลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วชี้ไปตรงบริเวณหอพักซึ่งมองเห็นได้ง่ายจากดาดฟ้าสูง มองจากตรงนี้เหมือนจะใกล้แค่เดินถึงแต่เอาจริง ๆ ก็ไกลอยู่เหมือนกันนะ
“จริงดิ ใกล้ ๆ งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“เอ่อ...ไม่เป็นไรครับพี่ ผมกลับเองได้จะได้ไม่รบกวนพี่”
“ทำไมถึงปฏิเสธพี่ชายได้ลงคอล่ะ”
พูดขนาดนี้แล้วผมคงปฏิเสธไม่ได้สินะ ตั้งแต่มาอยู่เมืองหลวง นอกจากซ้อนท้ายพี่วินมอเตอร์ไซค์แล้วผมก็ไม่เคยซ้อนท้ายใครเลยนะ
ใช้เวลาไม่นานบิ๊กไบค์สีดำวาวที่ผมเห็นตั้งแต่วันแรกที่เริ่มงานก็มาจอดส่งตรงหน้าหอพัก
“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง”
“อื้ม เจอกันพรุ่งนี้นะ”
“พรุ่งนี้ผมหยุดครับ”
“ลืมไปเลยว่าพรุ่งนี้วันเสาร์ งั้นเราก็ไม่เจอกันสองวันเลยสิ แบบนี้พี่ก็คิดถึงแย่” "
“ค...ครับ” ผมตอบเสียงสั่นเลยล่ะครับ
ทำไมถึงชอบพูดอะไรให้คิดไปไกลเกินกว่าคำว่าพี่น้องกันนะ
“ไว้เจอกันวันจันทร์พี่ไปล่ะ”
ผมยืนโบกมือส่งพี่ภูผาจนลับตาก่อนจะเดินขึ้นไปบนห้องแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงทั้งชุดทำงาน ทั้งที่พรุ่งนี้จะได้นอนตื่นสาย ทั้งที่เป็นวันหยุดแรกของการทำงานที่รอคอยแต่เมื่อคิดว่าจะไม่ได้เจอคนที่วนเวียนอยู่ในความคิดแล้วผมก็รู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูก เสียงของอีกฝ่ายที่บอกว่าเราเป็นพี่น้องกันยังก้องในความคิด ตอนนี้ผมไม่สามารถอธิบายความรู้สึกของตัวเองให้ใครเข้าใจได้เลยครับแม้แต่จะอธิบายให้ตัวเองเข้าใจความรู้สึกของตัวเองยังทำไม่ได้เลย
“เห้อ...” ทำได้แค่ถอนหายใจให้ความรู้สึกตัวเองแล้วลากร่างกายไปอาบน้ำ แต่จะว่าไปก็รู้สึกหิวขึ้นมาแล้วสิ แทนที่จะเดินตรงไปยังห้องน้ำตอนนี้จึงต้องเปลี่ยนไปที่กระติกน้ำร้อนแทนเพื่อจัดการต้มน้ำใส่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ซื้อติดห้องเอาไว้ยามหิว
ครืด
ครืด
ครืด
ไม่ทันจะได้จะได้ตักเข้าปากมือถือที่วางไว้บนโต๊ะก็สั่นรัวจนต้องหยิบขึ้นมาดู
“ส่งแชทมาขนาดนี้ มีอะไรด่วนอีกล่ะเนี่ย” ผมเปิดอ่านข้อความในช่องสนทนาจากเพื่อนสนิทสมัยเรียนเจ้าเก่าเจ้าเดิมเพิ่มเติมคือพักหลังมานี่หายไปจากชีวิตผมอยู่หลายสัปดาห์
วุ้นเส้นที่กินแล้วอร่อย : ฟีฟ่า
: แกรู้จักพี่ภูผาด้วยหรอ
: ไปรู้จักกันได้ไง
: ทำไมฉันไม่เคยรู้เรื่องนี้
: ตอบค่ะ มาตอบเดี๋ยวนี้
: ตอบด่วนค่ะ
: ตอบบบ
: ฮัลโหลมายเฟร์นมาตอบหน่อย
: อย่าปล่อยให้เพื่อนรอนาน
พี่ภูผางั้นหรอ...
นี่วุ้นเส้นรู้จักพี่ภูผาด้วยงั้นหรอ แล้วรู้ได้ไงว่าผมรู้จักกับพี่ภูผา เห็นทีคงต้องคุยกันยาวแล้ว ผมย้ายตัวเองไปนอนพาดบนเตียงระหว่างที่รอให้เส้นบะหมี่ในชามสุกได้ที่เพื่อที่ได้จะพิมพ์ตอบเพื่อนซี้กลับไปเพราะคงเป็นผมมากกว่าที่จะต้องถามอีกฝ่ายไปรู้จักกันได้ยังไง
ผมเอง : รู้จัก
: ทำงานที่เดียวกัน
: รู้จักพี่ภูผาด้วยหรอ
: แล้วรู้ได้ไงว่าเรารู้จักพี่เขา
สิบนาทีผ่านไปช่องแชทก็ยังเงียบเหมือนเดิม
ยี่สิบนาทีผ่านไปก็ยังไร้วี่แววของคำตอบ
แล้วผมที่เหนื่อยมาทั้งวันก็เผลอหลับไปพร้อมความสงสัยที่ยังไม่ได้คำตอบ
---------------
ติดตามอ่านตอนอื่นๆ ได้ที่
บทที่ 4 https://board.postjung.com/1485834
บทที่ 3
https://board.postjung.com/1481624
บทที่ 2 https://board.postjung.com/1480825
บทที่ 1 https://board.postjung.com/1480220