ผมจะรักแล้วนะครับคุณพี่ฝ่ายช่าง [นิยาย]
นิยาย : ผมจะรักแล้วนะครับ คุณพี่ฝ่ายช่าง
เริ่มงานวันแรกก็เจอคนถูกใจ สูง หล่อ หน้าคม ดีกรีเป็นช่าง ยิ่งรู้จักก็ยิ่งดีต่อใจ แล้วแบบนี้จะห้ามใจไหวได้ไงกัน 🥰
👨🔧เริ่มงานวันแรก ฟีฟ่า ก็ได้เจอ ภูผา หนุ่มหน้าคม ผิวสีแทน สูงกำลังดีแถมดีกรีเป็นช่าง แค่เจอกันใจก็เต้นรัวแล้วหนุ่มฝ่ายช่างยังเข้ามาตีสนิทให้หัวใจเต้นแรงกว่ากลองไม่เว้นวัน เจอแบบนี้ใครจะไปอดใจไหว 💘
ฝากนิยายสักเรื่องไว้ในอ้อมอกอ้อมใจนักอ่านทุกท่านด้วยนะครับ
พร้อมแล้ว ไปอ่านกันได้เลย ❤
บทที่ 1
7.00 น.
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นเป็นรอบที่สามตามด้วยฝ่ามือคว้าเอามือถือตัวปัญหามานอนกอดไว้พร้อมกดเลื่อนการปลุกออกไปให้ปลุกอีกครั้งเป็นรอบที่สี่
บอกเลยว่าง่วงนอนเหลือเกิน...
ง่วงมากถึงมากที่สุด
ตื่น...
แต่ภาพใบหน้าของตัวเองก็ดันลอยเด่นมาในความฝันอันขาวสว่างพร้อมด้วยเสียงตะโกนอัดใส่หน้าทำเอาดวงตาที่ปิดสนิทถึงกับต้องเปิดพร้อมด้วยร่างกายที่เด้งขึ้นนั่งแบบอัตโนมัติ
กี่โมง...
คำถามแรกที่ถามตัวเองแล้วรีบความหามือถือขึ้นมาดูเวลาตามวิถีคนเมืองที่มีนาฬิกาแต่กลับดูเวลาผ่านหน้าจอสมาร์ตโฟน ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเป็นเหมือนกัน
ใช่ไหมล่ะ
“เจ็ดโมง”
ไม่จริง...
รีบขยี้ตาให้มั่นใจว่าไม่ได้เมาขี้ตาหรืออยู่ในสภาพงัวเงียจนดวงตาเลอะเลือนแล้วดูเวลาผิดไปแถมหลังจากขยี้ตาเสร็จเวลาก็เดินผ่านจากเจ็ดโมงพอดิบพอดีกลายเป็นเจ็ดโมงหนึ่งนาที
พูดได้เต็มปากเลยล่ะครับว่าตอนนี้เวลาหนึ่งนาทีก็มีค่า
ถ้าไม่เป็นเพราะตื่นเต้นที่ได้งานประจำที่แรกหลังจากเรียนจบจนเมื่อคืนไม่เป็นอันหลับอันนอน ตอนนี้ผมคงมีเช้าอันสดใสต้อนรับวันแรกของการเริ่มงานแทนที่จะเป็นการกระโจนลงจากเตียงด้วยความเร่งรีบแบบนี้ เพิ่งเข้าใจความหมายของคำว่าลนลานที่แท้จริงก็วันนี้ล่ะ ยิ่งรีบก็เหมือนทุกอย่างยิ่งช้าไปหมดสวนทางกับเวลาที่เดินไปแบบไม่มีคำว่ารีรอ
เวลาทุกนาทีมีค่า
เข้าใจแล้วครับ เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงแกนกระดูกเลย
08.12 น.
ผมก้มดูนาฬิกาข้อมือหลังจากที่หยุดพักอยู่ในสวนหย่อมขนาดเล็กหน้าบริษัทพร้อมอาการเหนื่อยหอบจนหายใจไม่ปกติปนเปกับเหงื่อเม็ดเล็ก โชคดีที่เหลือเวลาให้พักร่างกายอีกสิบกว่านาทีก่อนถึงเวลานัดหมายรายงานตัวเพื่อเริ่มงาน
Society media & Republic
แหงนดูชื่อบริษัทอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าไม่ได้มาผิดที่แล้วรีบสาวเท้าเดินตรงไปยังอาคารสูงตระหง่าน แต่บางอย่างก็เข้ามาดึงความสนใจ บิ๊กไบค์สีดำวาววิ่งผ่านหน้าไปแบบระยะประชิดแล้วพุ่งเข้าไปจอดตรงหน้าบริษัททำองศากับระยะสายตาแบบพอดิบพอดี เสื้อแจ็กเกตหนังสีดำบวกกับกางเกงทำงานเข้ารูปทำให้เจ้าของที่ลงมายืนข้างมอเตอร์ไซค์คู่กายดูเท่อย่างบอกไม่ถูก
ที่เหลือก็แค่ลุ้นตอนถอดหมวกกันน็อกแบบเต็มใบ
หวังว่าจะหล่ออย่างที่คาดไว้นะ
แค่เห็นรูปร่างผมก็แอบจินตนาการไปถึงหน้าตาแล้วครับ
ใบหน้าคมเข้มเผยออกให้เห็นทันทีที่เจ้าตัวถอดหมวกเต็มใบ จมูกตั้งเด่นเป็นสันรับกับคิ้วดกดำ ผิวสีแทนยิ่งเพิ่มความคมเข้มให้กับใบหน้าและดวงตาสีดำคู่นั้น
พูดได้เต็มปากเลยล่ะครับว่าหล่อ หล่อชนิดที่ทำเอาผมเขินเพียงแค่ได้เห็นไปเลยล่ะ
แล้วจะเขินทำไมเนี่ย แต่หลายคนก็คงเป็นแบบเดียวกันใช่ไหมล่ะ ที่รู้สึกเขินเวลาเห็นใครสักคนทั้งที่ยังไม่รู้จักกันแม้แต่ชื่อ
รู้แค่ว่าหล่อ
คำเดียวสั้น ๆ ง่าย ๆ ไม่ต้องนิยามอะไรให้มากมาย
แย่ล่ะผมดันเผลอมองแทบไม่กะพริบตา รู้ตัวอีกทีสายตาคู่นั้นก็หันมามองสบกันทำเอาผมหลบสายตาคมเข้มคู่นั้นไม่ทัน แต่ก็คงไม่ทันแล้วจริง ๆ เมื่อหน้าหล่อส่งยิ้มบาง ๆ มาให้
ยิ้มบาง ๆ ที่ทำให้ผมเผลอยิ้มตอบกลับไป
แล้วผมจะยิ้มตอบกลับไปทำไมกันเนี่ย อยากจะตีปากตัวเองสักร้อยครั้ง
“แย่แล้ว” พึมพำกับตัวเองพลางใช้สมองคิดว่าวินาทีนี้คงต้องหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น จะให้อีกฝ่ายรู้ว่าแอบมองอยู่ไม่ได้ และวิธีที่ดีที่สุดที่คิดได้ในตอนนี้คือการแกล้งหันไปมองทางอื่น
คิดได้อย่างนั้นก็รีบเบี่ยงใบหน้าไปด้านข้างพร้อมกับร่างกายที่หันตามไปแบบไม่มีพิรุธ
โป๊ก...
“โอ๊ย...”
จากความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าตอนนี้ผมจึงได้ปัญหาเฉพาะส่วนหน้ากลับมาแทนเมื่อดันหันหน้าไปชนกับต้นไม้ข้างตัวเข้าอย่างจังแถมไม่วายยังเหลือบสายตาไปเห็นหนุ่มหน้าคมคนนั้นยืนยิ้มเหมือนกำลังกลั้นหัวเราะเอาไว้
จะหัวเราะก็หัวเราะออกมาเลยสิครับจะกลั้นไว้ทำไม
น่าอายชะมัด
รู้สึกอายจนเลือดร้อนฉีดไปทั่วใบหน้า ดันมาทำเรื่องน่าอายตรงหน้าบริษัทตั้งแต่วันแรกแถมหมอนั่นยังเดินกลั้นขำเข้าไปในบริษัทแล้ว
เป็นพนักงานบริษัทนี้เหมือนกันสินะ
ความประทับใจแรกของเช้าวันนี้ดันกลายเป็นผมได้โชว์ตลกให้คนในบริษัทนี้ดูไปซะได้
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกอาย สงสัยต้องหลบหน้าหมอนั่นสักพักให้พอลืมเรื่องเช้าวันนี้ไปก่อน
“เฮ้อ...” ทำได้แค่ถอนหายใจแล้วรีบเดินเข้าไปในบริษัทเพราะอีกไม่กี่นาทีก็ถึงเวลานัดรายงานตัวแล้ว
หน้าห้องฝ่ายทรัพยากรมนุษย์
กึก
ฝ่าเท้าแทบหยุดให้ได้ม้วนตัวกลับเมื่อผู้ชายหน้าคมคนนั้นนั่งรออยู่ตรงหน้าห้องเป้าหมายเดียวกัน อย่าบอกนะว่ามาเริ่มงานวันนี้เหมือนกัน
‘นั่งห่าง ๆ ดีกว่า แค่เรื่องเมื่อกี้ก็น่าอายมากพอแล้ว’ ผมมองคนที่นั่งนิ่งไม่ได้สนใจการมาถึงของผมที่ทำตัวให้ลีบแบนที่สุดเพื่อไม่เป็นจุดสนใจแล้วเลือกหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ที่ห่างออกไปประมาณสองตัว จะเลื่อนเก้าอี้หนีก็ไม่ได้เพราะเก้าอี้ที่วางไว้รับแขกดันเป็นเก้าอี้สี่ตัวที่เชื่อมติดกันไว้ด้วยแท่งเหล็กสีดำ ไม่ทันที่ก้นจะได้แตะลงเก้าอี้ประตูห้องฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ก็เปิดออกพร้อมเสียงเรียก
“คุณเลิศฤทธิ์กับคุณหิมาลัยใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ” ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าท่ากึ่งนั่งกึ่งยืนของผมมันตลกขนาดไหน
“เชิญเข้ามาข้างในเลยค่ะ”
ผมรอให้อีกคนเดินนำเข้าไปก่อนเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ไม่รู้สิมันรู้สึกปลอดภัยจริง ๆ นะที่ได้เดินตามหลังแทนที่จะเดินนำหน้าเข้าไปแล้วให้ตาคมเข้มคู่นั้นจ้องมองผมจากข้างหลัง เข้าไปข้างในเก้าอี้หน้าโต๊ะตัวยาวที่มีแค่สองตัวจึงเป็นการบังคับให้นั่งข้างกันไปโดยปริยาย
“เอกสารสัญญาจ้าง ระเบียบของบริษัทอยู่ในเอกสารชุดนี้อ่านให้เข้าใจก่อนลงชื่อในเอกสารนะคะ แล้วก็พี่ขอเอกสารส่วนตัวที่ให้เตรียมมาด้วยนะ”
“ครับ” ผมตอบพร้อมกับหมอนั่นจนเป็นเสียงประสานเลย จะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงคนที่นั่งอยู่ข้างกัน
เสียงหล่อไม่แพ้หน้าตาเลยแฮะ
“เดี๋ยวพี่ไปทำบัตรพนักงานให้นะ มีอะไรเรียกถามได้เลยพี่นั่งอยู่ตรงนั้น” เจ้าตัวชี้ให้ดูโต๊ะทำงานของเธอ
“ครับผม” คนข้าง ๆ ผมส่งเสียงตอบ
เห็นผู้หญิงเข้าหน่อยทำเสียงหล่อเชียวนะ
ฝ่ายบุคคลเดินกลับไปที่โต๊ะของเธอแล้วตอนนี้จึงเหลือแค่ผมกับคนที่ยังไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามสองต่อสอง
เป็นพนักงานใหม่เหมือนกันใช่ไหมล่ะ ถ้าอย่างนั้นเรื่องเมื่อเช้าช่วยลืมมันไปด้วยเถอะไม่ได้อยากโชว์ตลกให้ใครดูตั้งแต่วันแรกแบบนี้หรอกนะ
ลืมมันไปเถอะ ไหว้ล่ะ
เห็นอีกฝ่ายเริ่มกรอกเอกสารแล้วผมก็เริ่มกรอกเอกสารของตัวเองบ้างพลางเหลือบมองใบหน้าคม ยิ่งได้เห็นใกล้แบบนี้ยิ่งพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าหล่อจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดบนใบหน้าก็เข้ากันได้สัดส่วน ไม่ได้หล่อใสตาชั้นเดียว ผิวไม่ได้ขาวดุจหิมะ แต่หล่อคมเข้มแบบไทยสไตล์ที่ทำให้ผมเผลอมองแบบจริงจังอยู่หลายครั้ง
แพ้ทางผู้ชายสไตล์แบบนี้อยู่แล้วซะด้วยสิ
‘ชื่อก็เพราะนายหิมาลัย ทรรศเกียงไกร’ ผมแอบมองเอกสารที่อีกฝ่ายกำลังเขียน เผลอทำนิสัยไม่ดีเข้าจนได้ แต่ไหน ๆ ก็ทำแล้วงั้นขอแอบดูอายุด้วยเลยก็แล้วกัน สายตาเริ่มไปตรงข้อมูลวัน เดือน ปีเกิด
ตุบ
ปากกาวางลงพร้อมนายหิมาลัย ทรรศเกรียงไกร หันมามองเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมก้มลงกรอกเอกสารของตัวเองต่อได้อย่างแนบเนียน
“ฮึ่ม” อีกฝ่ายกระแอมเสียงในคอแถมยังส่งสายตาลอบมองมาบนเอกสารของผม
แอบมองมาก็แอบมองกลับครับ ไม่โกง ถึงผมจะเป็นคนที่แอบมองก่อนก็เถอะ
ตุบ
ปากกาวางลงเป็นครั้งที่สองพร้อมนายหิมาลัยที่หันมาตรงหน้าผมพร้อมยื่นมือเข้ามาด้วยความเร็ว ผมรีบหลับตาตามปฏิกิริยาของร่างกาย
อย่าต่อยผมเลย ผมผิดไปแล้ว แค่แอบดูข้อมูลเองอย่าใช้กำลังกันเลยครับ
ผิดไปแล้วครับ สำนึกผิดแล้วจริง ๆ
“หลับตาทำไมครับ” เสียงหล่อถาม
ผมลืมตาขึ้นมองอีกฝ่ายที่ส่งยิ้มกระชากใจมาให้สลับกับฝ่ามือที่ยื่นมาตรงหน้า
“ผมชื่อภูผา อายุยี่สิบห้าปี ดูจากวันเกิดในเอกสารของคุณแล้วจะเรียกผมว่าพี่ก็ได้นะครับน้องเลิศฤทธิ์”
“ผ...ผมชื่อฟีฟ่าครับ” แนะนำตัวแบบเหงื่อชุ่มยิ่งกว่าตอนแนะนำตัวหน้าชั้นเรียน
“ยินดีที่ได้รู้จักครับน้องฟีฟ่า ชื่อน่ารักดีเนอะ”
ฝ่ามือหยาบกร้านผ่านการทำงานดึงมือเก้กังของผมไปจับไว้เป็นการทักทาย
“ทีนี้เราก็รู้จักกันแล้วนะ จะได้ไม่ต้องแอบดูพี่กรอกเอกสารอีกหรือมีอะไรที่อยากรู้อีกถามได้นะครับ” สายตาที่มองมานี่เป็นการหว่านเสน่ห์ไปในตัวชัด ๆ
“ไม่ได้แอบดูสักหน่อย” ผมพึมพำแล้วก้มหน้าลงกรอกเอกสารต่อด้วยความชาที่วิ่งเล่นอยู่ทั่วใบหน้า
ผู้ชายสมัยนี้ร้ายชะมัด ตอนนี้หัวใจผมยังเต้นแรงไม่หยุดเลย ไม่รู้ว่าที่เต้นแรงเป็นเพราะตกใจที่คิดไปเองว่าจะโดนต่อยเพราะความอยากรู้อยากเห็น หรือเป็นเพราะโดนจับมือ หรือเป็นเพราะได้คุยกัน หรืออาจเป็นเพราะได้เห็นยิ้มหล่อ ๆ กับสายตานั่น
ผมเริ่มแยกไม่ออกแล้วสิ
โว้ยยย
จะเป็นเพราะอะไรก็ช่างเถอะ ตอนนี้ควรรีบกรอกเอกสารที่วางอยู่ตรงหน้าให้เสร็จ
“ฟีฟ่า”
“หือ...”
“เป็นเด็กพูดจากับผู้ใหญ่ให้เพราะหน่อยสิครับ” เหมือนจะโดนดุนะแต่ยิ้มหล่อปิดท้ายคำพูดนี่มัน ตบหัวแล้วลูบหลังปลอบหรือไง
“ค...ครับพี่”
“เริ่มงานแผนกไหนหรอครับ”
“ฝ่ายประสานงานทั่วไปครับ เป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานทั่วไป แล้วนาย...เอ่อ พี่ล่ะครับ”
“ฝ่ายช่างครับ”
หน้าคมเข้ม สูงยาว หน้าหล่อ ดีกรีเป็นช่าง
นี่มันสเปกชัด ๆ
“กรอกเอกสารกันเสร็จแล้วใช่ไหมครับ” เสียงดับฝันดังขึ้นขัดจังหวะ
“เสร็จแล้วครับ” ผมตอบเป็นเสียงประสานกับช่างคนใหม่ แบบนี้ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าใจตรงกัน ไม่อยากหันไปมองยิ้มอ่อนของคนข้างกันเลยสักนิดกลัวจะเผลอยิ้มตาม
“ถ้าอย่างนั้นส่วนต่อไปจะแนะนำให้รู้จักกับกฎระเบียบของบริษัทคร่าว ๆ ก่อนเข้าไปที่แผนกกันนะคะ ที่นี่ไม่มีอะไรมาก พนักงานเราไม่ได้เยอะมากทำงานไปสักอาทิตย์เดี๋ยวก็รู้จักกันทั้งบริษัท...”
เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมงที่ผมต้องนั่งข้างหนุ่มหน้าคมที่ดูท่าทางจะเข้ากับคนอื่นได้ง่ายจนดูเป็นตัวของตัวเอง ผมก็เข้าง่ายนะครับ หมายถึงนิสัยเข้ากับคนอื่นได้ง่ายนะครับอย่าเพิ่งคิดไปไกล เวลาของการอบรมผ่านไปต่อด้วยการทัวร์บริษัทก่อนจะส่งเข้าแผนกเป็นขั้นตอนสุดท้าย เราสองคนเดินตามหลังฝ่ายบุคคลที่ยังแนะนำทุกสิ่งรอบตัวจนผมจำไม่ได้แล้วว่าใครเป็นใคร อะไรอยู่ตรงไหน ยิ่งหน้าตาของคนที่บังเอิญเดินสวนกันแล้วได้กลายเป็นตัวละครให้ฝ่ายบุคคลแนะนำให้รู้จักพูดตรงนี้เลยครับจำไม่ได้ ในที่สุดเราก็เดินมาหยุดอยู่หน้าห้องทำงานของฝ่ายผมเป็นที่เรียบร้อยแอบมองผ่านกระจกใสเข้าไปในห้องขนาดไม่ใหญ่มากนักและดูเหมือนอีกสองคนในห้องจะให้ความสนใจหันกลับมามองด้วยสิ ผมจึงทำได้แต่ส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรไปให้อย่างน้อยก็เป็นการผูกสัมพันธ์ก่อนเข้าไปอย่างเต็มตัว
“ตรงนี้เป็นห้องทำงานของฝ่ายประสานงานทั่วไปหรือในบริษัทจะเรียกว่าแอดมินนะคะ ส่วนตรงนั้นเป็นห้องของฝ่ายช่างซ่อมบำรุง”
ผมนี่รีบมองตามปลายนิ้วที่ชี้ไปยังห้องทำงานฝ่ายช่างเลยครับ แล้วบุพเพก็ช่างอาละวาดให้ห้องทำงานเราสองคนมีเพียงห้องทำงานของฝ่ายมัลติมีเดียคั่นไว้ตรงกลาง
ห้องทำงานใกล้กันขนาดนี้เราคงได้เจอกันบ่อยสินะ
การทำงานที่ได้แอบมองคนงานดีตรงสเปกเป็นของแถมแบบนี้ถือว่าคุ้มค่าแก่การมาทำงานแล้วล่ะครับ
ไว้เจอกันใหม่บทต่อไปนะครับ