ผมจะรักแล้วนะครับคุณพี่ฝ่ายช่าง EP 4
บทที่ 4
สวัสดีวันที่สี่ของการทำงาน
วันแรกที่ผมจะได้นั่งทำงานแทนพี่หญิงอย่างจริงจัง
วันแรกที่ผมจะได้ประสานงานกับแผนกช่างอย่างเต็มตัว
เอาล่ะ ฟีฟ่าพร้อม สู้โว้ยยย จะช่างคนไหนก็เรียงหน้าเข้ามาเลย จะไม่ให้เสียแรงที่หัวหน้าไว้ใจมอบหมายงาน
หมายถึงงานนะครับงาน เรียงกันเข้ามาเลย
“พี่หญิงครับ” ผมเรียกชื่อเป็นครั้งที่สิบของวัน แถมแต่ละครั้งยังต้องหวาดหวั่นกลัวว่าคนถูกเรียกจะอารมณ์แปรปรวน แต่ผิดคาดวันนี้พี่หญิงไม่ปล่อยบรรยากาศฝนฟ้าคะนองปกคลุมห้องนะครับผมจึงพอทำใจดีสู้เสือเรียกถามได้อยู่หลายครั้ง
จะว่าไปพอลองไล่รายชื่อดูแล้วช่างที่บริษัทก็มีอยู่หลายคนนะครับ รวมหัวหน้าแล้วมีตั้งเจ็ดคนอย่างที่พี่แมวเหมียวบอก แถมเพิ่งจะรู้ว่ามีแค่แผนกช่างที่ไม่ได้หยุดเสาร์อาทิตย์เหมือนแผนกอื่นในบริษัทแต่เป็นการหยุดตามตารางกะแทนเพราะบางเสาร์หรืออาทิตย์ก็จะมีพนักงานบางแผนกเข้ามาทำงานล่วงเวลาอยู่บ้าง อีกอย่างอาคารเราอีกหลายชั้นเป็นสำนักงานเช่าเลยต้องมีช่างมาทำงานดูแลเวลาที่สำนักงานเช่ามีปัญหา อันนี้พี่หญิงบอกมา
“สวัสดีครับ”
พูดถึงช่าง ช่างก็มา
ผมเงยหน้าขึ้นมองช่างที่ยืนตัวติดกันอยู่สองคนตรงหน้าโต๊ะพี่หญิง หนึ่งในนั้นเป็นพี่ภูผาที่หันมายิ้มอ่อนให้ผมก่อนจะหันไปสนใจคนตรงหน้าที่ถามขึ้น
“มาทำไมตั้งสองคน มีอะไรด่วนหรือไง”
“ป่าวครับพี่หญิงผมก็แค่มาเป็นเพื่อนน้องใหม่”
“โตขนาดนี้แล้วยังต้องมาเป็นเพื่อนกันอีก ห้องก็อยู่ใกล้กันแค่นี้” แบบนี้ล่ะครับถึงจะเรียกว่าพี่หญิงตัวจริง
ผมแอบมองคนหน้าคมที่ยืนหน้านิ่งไม่สะทกสะท้านต่างจากช่างอีกคนที่พูดเป็นสายน้ำไหล และดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้ด้วยสิว่าผมแอบมองเขาอยู่ถึงได้เหลือบตามามองให้ผมต้องก้มหน้าลงทำงานต่อเงียบ ๆ
“ผมก็แค่อยากรู้ว่าห้องนี้มีอะไรดีน้องใหม่ถึงได้อยากมารับ มาส่งงานด้วยตัวเองแบบนี้”
ผมแอบเห็นนะว่าพี่ภูผาหลุดยิ้มออกมาแวบหนึ่งแล้วกลับไปปั้นหน้านิ่งตามเดิม
เมื่อกี้พี่เขาต้องเผลอคิดอะไรอยู่แน่ ๆ
“น้องเขาขยันทำงานก็ดีแล้วในแผนกจะได้มีคนทำงานทำการบ้าง” คำพูดของพี่หญิงช่างทำลายบรรยากาศ
ขออนุญาตสงสัยหน่อยนะครับว่าพี่หญิงนี่มีอารมณ์ขันเหมือนคนทั่วไปบ้างหรือเปล่า ทำงานเข้าวันที่สี่แล้วยังไม่เห็นหัวเราะเลยนะครับ
ดูท่าทางอันไม่สะท้านของสองคนที่ยืนอยู่แล้วผมนับถือในความแข็งแกร่งของพี่ทั้งสองครับ คนใหม่อย่างพี่ภูผาคงจะมีจุกเสียดภายในอยู่บ้าง แต่ช่างคนเก่าที่ประสานงานกับพี่หญิงมาได้ถึงทุกวันนี้คงจะทนทานต่ออาการบอบช้ำไปแล้วล่ะมั้ง
“แหมมม พี่หญิง” ช่างที่ผมยังไม่รู้จักลากเสียงยาวแบบยังไม่คิดจะหยุดความขำขันในน้ำเสียงอันไม่ได้ผล “ผมก็ทำงานนะครับ”
“พี่ก็ไม่ได้ว่าเธอสักหน่อย” พี่ไม่ได้ว่าหรอกครับ แต่คนฟังนี่บอบช้ำกันไปเป็นแถบแล้ว “เอ่อ...แล้วก็หลังจากนี้ไปน้องฟีฟ่าจะเข้ามารับหน้าที่ประสานงานกับฝ่ายช่างต่อจากพี่ ทำความรู้จักกันไว้สิ”
ช่างทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ
“พี่หญิงจะย้ายไปดูแลฝ่ายอื่นหรอครับ”
“เปล่า แต่ย้ายออกจากบริษัทเลย”
คำพูดของพี่หญิงยิ่งสร้างความมึนงงให้กับสองช่างที่ยังตามไม่ทันเหตุการณ์ แต่ก็คงไม่แปลกที่ทั้งคู่จะงงเพราะนอกจากแผนกผมกับแผนกบุคคลแล้วก็คงยังไม่มีใครรู้เรื่องการขอลาออกของพี่หญิง
“พอดีพี่หญิงลาออกสิ้นเดือนนี้ค่ะ”
ทุกสายตามองไปที่พี่แมวเหมียวผู้คลายข้อสงสัยพร้อมเดินเข้ามาเกาะข้างโต๊ะผมแต่รอยยิ้มแพรวพราวนั้นส่งไปที่พี่ภูผาอย่างเต็มที่
“จริงหรอครับ พี่หญิงแบบนี้ผมก็คงคิดถึงพี่แย่เลยสิครับ ต่อไปนี้ใครจะคอยสั่งคอยสอนพวกผมกันล่ะครับ” ช่างที่ผมไม่รู้จักชื่อแทบจะบีบน้ำตา
แต่เด็กอนุบาลก็ดูออกว่าเป็นการแสดง
“อย่ามาดราม่าแถวนี้ ฉันยังอยู่ให้เห็นอีกหลายวันรับรองเบื่อหน้ากันก่อนจะลาออกแน่นอน”
เอาเป็นว่าการแสดงใช้ไม่ได้ผลกับคนข้าง ๆ ผมนะครับและคิดว่าคงไม่มีสิ่งใดสามารถทลายความแข็งแกร่งของผู้หญิงคนนี้ได้ด้วย
“น้องใช่ไหมครับที่จะมารับช่วงงานต่อจากพี่หญิง” ช่างคนนั้นเปลี่ยนความสนใจมาที่ผม
“ใช่ครับ”
“พี่ชื่อโกโก้นะครับ หรือน้องจะเรียกสั้น ๆ ว่าพี่โก้ก็ได้”
“ผมฟีฟ่านะครับ มีอะไรก็แนะนำผมด้วยนะครับพี่”
“หวังว่าจะรับแค่งานไม่ได้รับทายาทอสูรมาด้วยนะครับ” พี่โกโก้ก้มลงมากระซิบ
ฟึ่บ
พี่หญิงปิดแฟ้มงานเสียงดังพอที่จะทำให้ผมสะดุ้งไปพร้อมกับคนกระซิบ
“ได้ยินนะ ฉันยังนั่งอยู่ตรงนี้”
“กราบขออภัยครับพี่หญิง” พี่โกโก้หันไปขอโทษขอโพยแทบจะกราบลงบนโต๊ะ เห็นอย่างนั้นก็อดที่จะขำไม่ได้
ถึงจะอยากขำ แต่ผมก็คงขำไม่ได้เมื่ออีกเสียงที่พูดขึ้นดึงความสนใจผมไปในทันที
“ผมชื่อภูผานะครับ”
ผมเตรียมจะยื่นมือไปจับมือที่ยื่นมาตรงหน้าแม้จะเคยทำความรู้จักกันไปแล้วก็ตาม แต่ความเร็วของผมคงยังไม่พอเมื่อถูกตัดหน้ามือของพี่แมวเหมียวที่ไวปานจรวด
“เหมียวนะคะ หรือจะเรียกว่าแมวเหมียวก็ได้เต็มใจให้เรียกทุกชื่อนะคะ เมี๊ยว”
สาบานเถอะครับว่าผมไม่ได้หูฝาด หรือหูเพี้ยน เมื่อกี้ผมได้ยินเสียงแมวยั่วสวาทร้องจริง ๆ นะ
ผมมองมือตัวเองที่ยื่นค้างไว้สลับกับมือของพี่ภูผาที่เต็มไปด้วยสัมผัสของพี่แมวเหมียว คนหน้าคมยิ้มเจื่อนแล้วพยายามขยับมือตัวเองออกจากหนวดปลาหมึกอันเหนียวแน่น แต่ดูท่าจะไม่สำเร็จมืออีกข้างของพี่ภูผาจึงใช้มืออีกข้างยื่นมาจับแน่นลงบนมือผม
“ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะครับน้องฟีฟ่า”
“ค...ครับ” เป็นวินาทีที่สมองว่างเปล่าและไม่สั่งการร่างกาย
ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองเลยว่าเขาเลือกที่จะจับมือผม แต่พี่เขาก็เป็นฝ่ายเข้ามาจับมือผมไว้เองนะ
“จับมือเราบ้างก็ได้นะ” พี่โกโก้ดึงมือพี่แมวเหมียวไปจับไว้แต่ไม่ทันได้จับพี่สาวร่วมแผนกของผมก็ถอยตัวหนีแบบไม่มีคำพูดใด
หลังจากที่การแนะนำตัวและแจกจ่ายงานเสร็จสิ้นความสงบก็กลับมาทักทายแผนกผมอีกครั้ง เที่ยงนี้ผมพักเที่ยงพร้อมพี่แมวเหมียวเหมือนเดิมคงเป็นเพราะในแผนกเราเข้ากันได้ดีที่สุดแล้วล่ะมั้งครับ ส่วนพี่หญิงกับพี่นิพนธ์บอกจะตามมาที่ห้องอาหารเหมือนทุกวันแต่ก็ไม่เคยเห็น ระหว่างที่นั่งกินข้าวอย่างไม่รีบร้อนสายตาผมก็มองหาใครสักคนอย่างไม่รีบร้อนเช่นกัน
“มองหาใครหรอ”
ทำไมพี่ต้องรู้ทันผมแทบทุกเรื่องด้วยครับพี่แมวเหมียว
“เปล่านี่ครับ” กลบเกลื่อนด้วยการตักข้าวคำใหญ่เข้าปาก
แล้วคนที่ทำให้ผมแทบจะสำลักข้าวก็เดินเข้ามาพร้อมกลุ่มเพื่อนของเจ้าตัว พี่ภูผาเหมือนจะส่งยิ้มมาให้ผมนะถึงจะแค่แวบเดียวก่อนที่พี่แมวเหมียวจะหันไปมองก็เถอะ นี่คงเป็นเรื่องดี ๆ ของการทำงานในวันนี้เพราะหลังจากพักเที่ยงผมก็ไม่ได้เห็นหน้า เห็นตาช่างหน้าคมอีกเลย
สวัสดีวันที่ห้าของการทำงาน
“วันนี้เงียบจังเลยนะครับ” ผมว่าพลางขีดเขียนเอกสาร
“ก็ดีแล้วนาน ๆ ทีจะเงียบแบบนี้” พี่หญิงตอบกลับมาแบบไม่เงยหน้าจากเอกสารเหมือนกันครับ ถึงผมจะเข้าไปทำงานแทนที่พี่หญิงแล้วแต่งานในส่วนอื่น ๆ ที่ยังคงค้างอยู่พี่หญิงก็มีหน้าที่ต้องรีบจัดการให้เรียบร้อย อย่างน้อยก็จะได้ไม่ตกเป็นภาระอันหนักอึ้งของผมในตอนที่พี่หญิงไม่อยู่แล้ว
ผมซึ้งใจในความมีน้ำใจของพี่หญิงมาก ๆ เลยล่ะครับ ถึงแม้พี่หญิงจะไม่อยู่แล้วผมก็จะคิดถึงความดีของพี่ตลอดไป อันนี้คิดในใจนะครับ พูดออกเสียงไม่ได้เดี๋ยวจะโดนพลังงานจากพี่หญิงเล่นงานเอา
ทั้งวันตลอดช่วงเช้าเลยมาจนถึงช่วงบ่ายห้องทำงานผมยังคงเงียบสงบ เงียบแบบผิดปกติ เงียบแบบไม่เหมือนที่เคยเป็นถ้าไม่เห็นว่ามีพนักงานแผนกอื่นเดินผ่านไปผ่านมาหน้าห้องผมคงสงสัยไปแล้วว่าวันนี้คนอื่นเขามาทำงานกันหรือเปล่า
แต่จะว่าไปวันนี้ยังไม่เห็นอาหารสายตาของผมเลยนะครับ
ถึงจะรู้ว่าพี่เขาเป็นผู้ชายแต่อย่างน้อยการได้แอบมองก็พอทำให้กระชุ่มกระชวยหัวใจเด็กหนุ่มคนนี้
เผลอเหม่อไปนานสติที่หลุดลอยจึงรีบจดจ่อกับงานบนโต๊ะอีกครั้ง วันนี้ไม่มีใบแจ้งซ่อมส่งมาสักใบ ผมแอบเซ็งเบา ๆ ถ้าอย่างน้อยมีใบแจ้งงานโผล่มาสักใบผมก็จะได้มีข้ออ้างให้เดินไปทักทายห้องทำงานแผนกช่าง
แล้วเสียงประตูห้องทำงานจากคนนอกแผนกก็เปิดเข้ามาเป็นครั้งแรกของวันจึงไม่แปลกที่ผมจะเงยหน้าขึ้นมอง
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีครับพี่ มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถามคนที่เพิ่งนึกถึงไปซึ่งเดินตรงมาหยุดอยู่ตรงหน้า
“คือ...พี่จะมาบอกว่าวันนี้ถึงรอบตรวจเช็กลิฟต์อาคารกับหลอดไฟฟีฟ่าจะไปกับพี่ด้วยไหม”
“ผม...”
ตรวจลิฟต์อาคาร
ตรวจสอบหลอดไฟ
เท่าที่จำได้ไม่เห็นจะมีในใบแจ้งงานและก็มั่นใจว่าทุกใบแจ้งงานผ่านสายตาและความจำผมทั้งหมด ฝ่ายไหนแจ้งงานฝ่ายช่างโดยไม่ผ่านพวกผมกันนะ
“ไปเดินตรวจกับช่างเถอะ พี่ลืมบอกไปว่าทุกเดือนฝ่ายช่างจะมีกำหนดตรวจเช็กอาคารแล้วฝ่ายเราก็ต้องร่วมตรวจสอบด้วยพี่ก็ไปเดินตรวจกับช่างเขาทุกเดือน” พี่หญิงช่วยคลายข้อสงสัยในใจไปจนหมด
เดี๋ยวนะ...
ทุกเดือน หมายความว่าหลังจากนี้ผมจะต้องไปเดินตรวจดูความเรียบร้อยของดิน น้ำ ลม ไฟในอาคารทุกเดือนกับแผนกช่างสินะ
แค่คิดก็เขินแล้วล่ะครับ เดินกันสองต่อสองใครบ้างจะไม่เขิน
แต่ลืมไปเลยว่าแผนกช่างไม่ได้มีแค่คนตรงหน้าคนเดียวสักหน่อย
เห้อ...
“จะไปกี่โมงครับ”
“ตอนนี้เลยครับ”
ได้ยินคำตอบแล้วผมถึงกับรีบแหงนหน้าดูนาฬิกาแขวน เหลือเวลาอีกแค่ไม่ถึงสองชั่วโมงเท่านั้นก็จะถึงเวลาเลิกงานกับเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะที่ต้องจัดการ
ใจผมน่ะตอบตกลงพี่ไปแล้วนะ แต่งานบนโต๊ะนี่สิเรียกร้องให้ผมนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ให้ไปไหน
“เดี๋ยวพี่จัดการเอกสารที่ค้างอยู่ให้เอง ไปเดินตรวจกับช่างเขาเถอะ”
อะไรนะ...
ฝนตกขี้แมวไหล คนอะไรใจดีชะมัด
นี่คือพี่หญิงในร่างนางฟ้าที่ไม่เคยแสดงตัวให้ใครเห็นสินะ
“ครับ งั้นผมฝากด้วยนะครับ”
“อืม ตรวจดี ๆ ล่ะ เพราะเราต้องลงชื่อในใบตรวจเช็กด้วย ถ้ามีอะไรเสียหายแล้วไม่ได้แจ้งขึ้นมาผู้บริหารจะมาว่าเราเอาได้”
“ครับพี่หญิง” ผมว่าพลางลุกจากที่นั่งด้วยท่าทีสงบนิ่งโดยไม่แสดงอาการดีใจออกมาให้ใครเห็นถึงแม้จะมีสายตาจากพี่แมวเหมียวจับจ้องอยู่ก็ตาม
“ไปกันเถอะเดี๋ยวฟีฟ่าจะเลิกงานเลทเวลา”
เลทเวลาเลิกงานก็ยอมครับถ้าได้อยู่กับพี่สองคน
“ครับ” ผมตอบน้ำเสียงนิ่งเรียบต่างจากหัวใจเต้นรัว
ทำไมกันนะ ทั้งที่รู้ว่าพี่ภูผาเป็นผู้ชายแต่ผมก็เผลอใจเต้นแรงทุกทีเวลาที่ได้อยู่ใกล้ ยิ่งเวลาที่อีกฝ่ายเดินตรงเข้ามาหามันยิ่งทำให้ผมคิดไปไกลว่าบางทีอาจจะต้องการทำความรู้จักผมให้มากขึ้น
คิดไปไกลไม่ได้นะฟีฟ่า
เป็นอีกครั้งที่ผมต้องเตือนสติตัวเอง แต่ผมก็คงปฏิเสธตัวเองไม่ได้ว่าผมแอบชอบคนที่เดินนำหน้าเข้าซะแล้ว
ตุบ
เพราะมัวแต่คิดเรื่องฟุ้งซ่านผมจึงไม่ทันระวังทำให้เดินชนแผ่นหลังคนที่หยุดเดินเข้าแบบเต็มแรงจนร่างกายที่บอบบางกว่าของผมหงายลงไปนั่งกองบนพื้น
เผลอทำเรื่องน่าอายให้อีกฝ่ายเห็นอีกแล้ว
“จับมือสิพี่จะได้ช่วยดึง” ถึงจะเห็นว่าแอบขำแต่อีกฝ่ายก็รีบยื่นมือมาช่วย
“ขอบคุณครับ” ผมจับมือที่ยื่นมาแล้วลุกขึ้นยืนตามแรง
“เจ็บไหม”
“ไม่เจ็บครับ”
“บอบบางจังเลยนะครับ แบบนี้น่าดูแลนะ” อย่ามาพูดจาให้หวั่นไหวได้ไหมครับ แล้วเสียงหล่อนี่มันอะไรกันจะผลักให้ผมตกหลุมรักที่ขุดไว้หรือไง “ปล่อยมือพี่ได้แล้วมั้งครับ หรือว่าอยากจับนาน ๆ”
“ขอโทษครับ” ผมรีบปล่อยมือที่จับกันแน่นแม้ความรู้สึกจะบอกว่าอีกฝ่ายเป็นคนกุมมือผมไว้ต่างหาก
“ไปทำงานกันเถอะครับ”
“ครับ”
ผมเดินตามหลังไปอย่างเงียบเชียบพยายามควบคุมหัวใจไม่ให้เต้นแรง เราสองคนยืนรอลิฟต์อยู่ครู่หนึ่งก่อนที่พี่ภูผาจะเดินเข้าไปตรวจสอบลิฟต์ตัวที่เพิ่งเปิดตรงหน้าแล้วส่งเอกสารที่หนีบไว้กับคลิปบอร์ดให้ผมถือไว้
“ไม่มีส่วนไหนชำรุด ปุ่มกดใช้งานได้ทุกปุ่มปุ่มฉุกเฉินใช้งานได้”
“ครับ”
“ภาพรวมถือว่าโอเค ไม่ต้องซ่อมแซมเหลือลิฟต์อีกฝั่งที่ต้องตรวจ”
“ครับ”
“ไม่คิดจะพูดคำอื่นเลยหรือไงครับ”
“ก็ผม...ผมไม่รู้จะพูดอะไร อีกอย่างที่พี่พูดมาผมก็ไม่เข้าใจ”
“โทษทีพี่ก็ลืมไปเลยว่าเราไม่ใช่ช่าง งั้นเดี๋ยวพี่จะสอนให้เพราะหลังจากนี้เราคงได้มาเดินตรวจด้วยกันบ่อย” พูดจบเจ้าตัวก็ดึงแขนผมกลับไปที่ลิฟต์ที่เพิ่งจะเดินออกมา
“พี่จะไปไหนครับ”
“ไปหาที่สอนงานไงครับ จะให้พี่เชกไปด้วยทำเอกสารไปด้วยก็เสร็จช้ากันพอดี”
“แล้วพี่จะพาผมไปไหนหรอครับ” ผมถามอีกครั้งเมื่อถูกดึงเข้ามาในลิฟต์แล้วพี่ภูผาก็ใช้บัตรพนักงานสแกนเพื่อให้กดปุ่มที่จะไปยังชั้นบนสุดของอาคาร
“พี่ไม่พาเราไปข่มขืนหรอกครับ”
“ค...ครับ”
“หรือเราอยากให้พี่ทำอย่างที่พูด”
“พี่...”
“นึกว่าจะตอบว่าครับซะอีก” เสียงหัวเราะเบา ๆ แต่ผมนี่สิครับถึงกับไปต่อไม่ถูกกันเลยทีเดียวยิ่งในตู้เหล็กทรงสี่เหลี่ยมที่มีกันแค่สองคนตอนนี้ แถมที่ตั้งกว้างเรายังยืนชิดกันอีก
ผมเขินพี่จะรู้บ้างไหมเนี่ย
ในที่สุดเราสองคนก็ถึงชั้นบนสุดของอาคารคนนำมาผลักประตูเหล็กออกให้ได้เห็นดาดฟ้า ลานโล่งที่มีดอกไม้ปลูกเรียงเป็นแถวให้ผ่อนคลายสายตามองเลยออกไปก็เป็นหลังคาบ้านเรือนและตึกสูงมากมายที่เห็นเรียงรายกันจนแน่นขนัดมันดูน่าตื่นเต้นไม่น้อยสำหรับคนที่ขึ้นมาเป็นครั้งแรก
“อากาศดีไหมล่ะ” อีกฝ่ายทำท่าสูดอากาศเข้าเต็มปอดส่วนผมก็รีบทำตาม “ชอบไหม”
“เอ่อ...” จะให้ตอบอย่างไรดีล่ะกับคำถามที่ว่าชอบไหมเพราะผมไม่รู้ว่าหมายถึงชอบอะไรระหว่างบรรยากาศที่เห็นเป็นครั้งแรกหรือชอบพี่เขา หรือเป็นผมเองที่ไม่กล้าจะตอบออกไปเพราะอยากให้ความหมายของคำถามตรงกับที่ใจแอบคิด
ถ้าจะให้ตอบว่าชอบพี่ไหม
ตอบได้ทันทีเลยครับว่าชอบ
“คิดนานจัง”
“ชอบครับ”
“ชอบพี่หรือชอบบรรยากาศล่ะ”
“เอ่อ...” นาทีนี้เลือดร้อน ๆ วิ่งพล่านทั่วใบหน้าจนร้อนผ่าวเลยล่ะครับ ทั้งที่คิดไว้ในใจว่าสามารถตอบได้หากเจอคำถามแบบนี้แต่พอเอาเข้าจริงกลับไปไม่ถูก
“พี่ล้อเล่น ไปหาที่นั่งกันดีกว่าพี่จะได้สอนเราดูเอกสาร”
เป็นบรรยากาศที่แสนอบอุ่นกับการเรียนรู้ทำให้ผมตั้งใจเป็นนักเรียนที่ดี ยิ่งได้เห็นคนหน้าคมที่ดูจริงจังกับงานในระยะใกล้แบบนี้ยิ่งทำให้นักเรียนอย่างผมใจสั่นตกหลุมเสน่ห์ผู้ชายคนนี้เพิ่มมากขึ้นไม่รู้อีกกี่สิบกี่ร้อยเท่า
“มองหน้าพี่แบบนี้พี่ก็เขินเป็นนะ”
ผมรีบก้มหน้าหลบทันที นี่ผมเผลอมองจนอีกฝ่ายรู้ตัวเลยหรอเนี่ย
โอ้ยยย...ทำเรื่องน่าอายอีกจนได้ฟีฟ่าเอ๊ย
“วันนี้พอแค่นี้แล้วกันนะ ไว้พรุ่งนี้พี่จะพาเราขึ้นมาใหม่”
“พรุ่งนี้”
“ใช่ครับ พรุ่งนี้เรายังต้องเดินตรวจหลอดไฟทั้งอาคารกับพี่อีกนะ ช่วงบ่ายทำตัวให้ว่างล่ะ”
“ครับ งั้นวันนี้เรากลับกันเลยไหมครับ” ผมมองนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบหกโมงเย็น
นี่ล่ะที่เขาว่ากันว่าเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ
“งั้นก่อนกลับ เรามาถ่ายรูปกันดีกว่า” พูดจบพี่ภูผาก็ดึงเอาผมไปคล้องคอไว้แล้วหยิบมือตัวเองขึ้นมาถ่ายรูปเอาไว้
“ไม่ยิ้มเลย ยิ้มหน่อยสิเราอะ”
ยิ้มก็ยิ้มครับ
ใกล้กันขนาดนี้พี่รู้ไหมว่าผมเขินจะแย่ แล้วใกล้ขนาดนี้พี่เขาจะได้ยินเสียงหัวใจผมไหมนะ
วันนี้ช่างเป็นวันทำงานที่มีความสุขจริง ๆ