ผมจะรักแล้วนะครับคุณพี่ฝ่ายช่าง EP2 [นิยาย]
หวังว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดีสำหรับทุกคนนะครับ
บทแรก ฟีฟ่า ก็ได้เจอกับพี่ภูผาไปแล้ว แค่เจอกันครั้งแรกฟีฟ่าก็แทบออกอาการ เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ มาติดตามต่อกันเลยครับ
บทที่ 2 : แอบมอง
การทำงานวันแรกผ่านไปได้ด้วยดี นอกจากเพื่อน ไม่สิต้องเรียกว่าพี่ ๆ ในแผนกถึงจะถูกเพราะสมาชิกในแผนกรวมกันสี่คนน้องใหม่อย่างผมคือคนที่อายุน้อยที่สุด
วันแรกผ่านไปด้วยดี วันที่สองก็ต้องดีตามผมเชื่ออย่างนั้น วันนี้ผมมาถึงที่ทำงานเร็วแต่ก็ไม่เร็วไปกว่าหัวหน้าแผนกที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะของตัวเอง
“สวัสดีครับพี่นิพนธ์”
“สวัสดีฟีฟ่า มาเช้าจังเลยนะ”
“ครับ ผมพักอยู่ใกล้ ๆ น่ะครับก็เลยมาเร็ว”
อุตส่าห์ดีใจที่ได้มาถึงเป็นคนแรก แต่ดันไม่ใช่ซะงั้น บอกตามตรงผมยังรู้สึกตื่นเต้นกับงานใหม่แบบใจเต้นตุบตับเลยล่ะ ไหน ๆ ก็มาถึงแล้วผมขอเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการเก็บกวาดเอกสารบนโต๊ะให้เข้าที่เข้าทาง ดูท่าคนเก่าที่ลาออกไปถ้าไม่ได้เขียนใบลาออกด้วยดีก็คงถูกกองเอกสารพวกนี้ทับจนอาการสาหัสสินะ
เอาไปย่อยทิ้งซะดีไหม
จะหันไปทางไหนก็มีแต่กองเอกสารทั้งนั้นแถมคนใหม่อย่างผมก็ยังไม่รู้ด้วยสิว่าเอกสารชิ้นไหนสำคัญมากน้อยกว่ากัน แล้วเอกสารชุดไหนที่ยังต้องใช้ดำเนินการ
“มาเร็วจังเลยนะ” มัวแต่สนใจกองเอกสารจนลืมมองไปเลยว่ามีใครเปิดประตูเข้ามา
“สวัสดีครับพี่หญิง พอดีผมพักอยู่ใกล้ ๆ ก็เลยมาเร็ว”
“อืม ช่วงแรก ๆ ก็มาเร็วกันทุกคน”
ช่างเป็นการเริ่มต้นบทสนทนาของวันที่ดี (ประชด) และนี่คงเป็นประโยคสนทนาที่เรามีต่อกันทั้งวันทั้งที่โต๊ะทำงานเราสองคนติดกัน (เมื่อวานพี่หญิงก็ไม่ได้พูดอะไรกับผมมากมาย มีแค่ตอนสอนงานเท่านั้นที่ผมจะได้ยินเสียง) เรียกง่าย ๆ ว่าถ้าไม่เห็นรอยต่อของขอบโต๊ะสองตัวที่วางติดกันผมคงคิดว่าเป็นโต๊ะยาวตัวเดียวกันไปแล้ว ตอนนี้ผมคงต้องใช้ขอบโต๊ะเป็นตัวแบ่งอาณาเขตเพราะดูจากการจัดวางของอันเป็นระเบียบเรียบร้อยของโต๊ะทำงานด้านข้างแล้วไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวที่ล้ำเกินอาณาเขตมายังโต๊ะผมสักชิ้น
“สวัสดีเด็กใหม่” มัวแต่สนใจเรื่องโต๊ะจนไม่ได้สนใจคนที่เปิดประตูเข้ามา รู้ตัวอีกทีก็มีเสียงหวานทักขึ้นแล้ว
“สวัสดีครับพี่เหมียว”
“เหมียววันนี้คุณสอนงานเด็กใหม่ด้วยนะ ช่วงนี้งานในส่วนฝ่ายอาคารผมจะให้เด็กใหม่ดูแลร่วมกับคุณ”
“ได้ค่ะพี่นิพนธ์”
และแล้วเวลาแห่งการเรียนรู้งานอย่างจริงจังก็เริ่มขึ้นเมื่อพี่เหมียวหอบเอางานมาวางไว้บนโต๊ะผมพร้อมกับเจ้าตัวที่เบียดจนแทบแนบชิด
“วันนี้พี่จะสอนให้ทำเอกสารฝ่ายอาคารนะฟีฟ่า”
“ครับ” อยากจะบอกว่าไม่ต้องเบียดผมขนาดนี้ก็ได้มั้งครับ เลือดเราสองคนจะออสโมซิสกันอยู่แล้วนะครับ
การเรียนรู้งานในช่วงเช้าทำให้ผมต้องตั้งสติหลายครั้งเพราะต้องจำว่างานรูปแบบไหนต้องประสานกับฝ่ายใด แต่ก็เป็นโชคดีที่ได้พี่แมวเหมียวผู้แสนอารมณ์ดีเป็นพี่เลี้ยงช่วงพักเที่ยงจึงได้มานั่งกินข้าวที่ห้องอาหารพนักงานพร้อมกัน
“พี่จะออกไปซื้อขนมแถวหน้าบริษัทจะไปด้วยกันไหม”
“ก็ดีครับพี่ ผมยังไม่รู้จักแถวนี้เลย”
“งั้นป่ะ เดี๋ยวพี่พาทัวร์แต่ร้อนหน่อยนะ”
“สบายมากครับพี่” ถึงจะตอบออกไปอย่างนั้นแต่ใจลึก ๆ ก็กลัวว่าผิวที่อุตส่าห์ฟูมฟักให้ขาวเนียนจะได้รับการกระทบกระเทือน
นั่งกินข้าวจนจะลุกไปเก็บจานผมถึงเพิ่งรู้ว่าห่างไปแค่ไม่กี่โต๊ะมีแผนกช่างนั่งกินข้าวกันอยู่เป็นกลุ่ม หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า นับแล้วมีกันอยู่ห้าคน
“ฝ่ายช่างคนเยอะเหมือนกันนะครับ”
“อืมเยอะ แต่ก่อนมีเยอะกว่านี้นะประมาณสิบคนได้ แต่ตอนนี้เหลืออยู่เจ็ดคนมั้ง” พี่แมวเหมียวตอบทั้งที่ไม่ได้หันไปมอง
ตอนที่ลุกจากโต๊ะไปเก็บจานผมก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองก็ในกลุ่มชายฉกรรจ์นั้นมีช่างหน้าคมคนใหม่นั่งอยู่ด้วย และถ้าตาไม่ได้ฝาดไปผมเห็นนะครับว่าพี่เขาหันมายิ้มให้ทำเอารีบยิ้มตอบกลับไปแทบไม่ทัน แค่หน้านิ่งก็หล่อแล้วทำไมต้องมายิ้มให้ใจหวั่นไหวด้วย รู้ไหมครับว่าคนโสดอย่างผมมันหวั่นไหวถึงจะเป็นแค่รอยยิ้มก็เถอะ แถมยังรู้สึกว่าเขาแอบมองผมอยู่ เชื่อเถอะครับว่าผมไม่ได้รู้สึกไปเองเพราะคนเรามักจะรู้สึกได้เวลาที่ถูกสายตาคู่อื่นแอบมองมา
แต่คงเป็นเพราะเราเริ่มงานวันเดียวกันพี่เขาก็เลยทักทายตามมารยาทด้วยการยิ้มให้
แล้วสมองก็หาคำตอบมาให้กับตัวเอง
นี่ผมเพ้อเจ้อจนถึงขั้นต้องหาเหตุผลมาอธิบายตัวเองแล้วหรือไง
รีบเดินตามหลังพี่แมวเหมียวไปดีกว่า
“โอ้โห” ผมเผลออุทานออกมาเสียงดังเพราะหน้าบริษัทตอนนี้เต็มไปด้วยรถขายของจอดเรียงรายแบบเลือกซื้อได้เลยว่าต้องการกินอะไรไม่ต่างไปจากหน้ามหาวิทยาลัยยามเย็นที่ผมเพิ่งจากมา ต่างกันก็ตรงที่ตอนนี้แสงแดดมันไม่น่าอภิรมย์กับการเดินเลือกซื้อน่ะสิครับ
ผมกลัวผิวเสียจริง ๆ นะ
“ตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น”
“เพิ่งรู้ว่ามีของมาขายเยอะขนาดนี้”
“ถ้าร้อนจะไปหาซื้อในศูนย์อาหารตรงนั้นก็ได้นะ เป็นของบริษัทเราเหมือนกัน”
ลืมไปเลยครับว่าบริษัทที่ผมทำงานอยู่มีศูนย์อาหารที่เปิดแยกอยู่ริมถนนข้างบริษัทด้วย ตามที่พี่แมวเหมียวผู้รอบรู้ทุกสรรพสิ่งเล่าให้ฟังเห็นจะเป็นธุรกิจของลูกชายเจ้าของบริษัทที่ใช้พื้นที่ว่างของตระกูลให้เกิดประโยชน์ด้วยการเปิดศูนย์อาหาร
“ไม่เป็นไรครับซื้อแถวนี้ก็ได้ ผมไปซื้อผลไม้ตรงนั้นนะ”
“โอเค งั้นพี่ไปซื้อขนมตรงนั้น ผลไม้พี่ไม่ถนัด”
ผมเดินแยกไปที่รถคุณลุงขายผลไม้ พลางคิดว่าจะกินอะไรดีในเมื่ออยากกินไปซะทุกอย่าง
“คิดไม่ออกหรอหนุ่ม”
“ครับลุง”
“เรื่องปกติ ไม่ต้องทำหน้าเครียด” เหมือนการมายืนคิดอยู่หน้าตู้กระจกจะเป็นเรื่องปกติสำหรับคนขายอย่างลุงแต่ผมนี่สิกำลังรีดความคิดอย่างหนักว่าจะกินอะไรดี
“งั้นผมเอาแคนตาลูปครับ”
กินง่าย หวาน กรอบ และที่สำคัญอร่อย นี่ล่ะครับตัวผม
เอ๊ย!!! ไม่ใช่ ผลไม้ที่ผมชอบต่างหาก
“แคนตาลูปหนึ่งชิ้นครับ”
ผมหันไปมองตามเสียงหล่อ พี่ภูผายืนอยู่ข้างผมแบบใกล้ชิด ตัวพี่เขาสูงชะมัดร้อยแปดสิบเซ็นน่าจะได้ เทียบกับร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตรอย่างแล้วผมดูตัวเล็กตัวน้อยไปเลยครับ
“สวัสดีครับพี่มาซื้อผลไม้หรอครับ” ผมเผลอทักออกไปทั้งที่เห็นอยู่เต็มสองตาได้ยินเต็มสองหูว่าอีกฝ่ายเพิ่งสั่งผลไม้ออกไป
“ครับ ฟีฟ่าล่ะซื้ออะไร”
คงไม่ต้องตอบเมื่อคุณลุงยื่นถุงใส่แคนตาลูปมาให้ผม
“ใจตรงกันเลยเนอะ กินเหมือนกันเลย”
เขินสิครับ รออะไรอยู่ พูดแบบนี้ใจเต้นรัวเป็นกลองชุดเลยครับ รีบเดินไปรอพี่แมวเหมียวดีกว่าเดี๋ยวอาการมันจะแสดงออกไปมากกว่านี้
“ผมไปก่อนนะ”
“ครับ”
จะส่งยิ้มหล่อมาทำไมเนี่ย
เขินเว้ยยย...
พักเรื่องผู้ชายแล้วเข้าสู่โหมดการทำงาน ช่วงบ่ายผมได้รับมอบหมายงานเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นโดยที่พี่แมวเหมียวปล่อยให้ผมได้ทำงานส่วนเจ้าตัวก็กลับไปง่วนกับงานบนโต๊ะ เอกสารกองโตที่ผมเริ่มคัดแยกออกตามหน้าที่การดูแลทำให้ได้รู้ว่าแผนกประสานงานทั่วไปหรือที่คนในบริษัทเรียกว่าแอดมินมีหน้าที่ประสานหลัก ๆ ด้วยกันสามฝ่ายคือฝ่ายมัลติมีเดียห้องข้างเคียงที่ใช้ผนังกั้นห้องร่วมกันในการทำสื่อโฆษณาให้กับลูกค้า สองก็คือฝ่ายอาคารในการดูแลพื้นที่เช่าของอาคารซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสำนักงานเช่า ห้องประชุมสัมมนา รวมไปถึงศูนย์อาหารด้านข้างบริษัทที่ดูใหญ่โตและคนพลุกพล่านจากที่เห็นเมื่อช่วงเที่ยง ส่วนที่สามก็คือฝ่ายช่างซ่อมบำรุง
ซึ่งหน้าที่การดูแลของผมอยู่ในส่วนที่สอง ถึงแม้อยากจะดูแลส่วนที่สามก็เถอะ
ก่อนที่จะจมไปกับกองเอกสารที่พี่ ๆ ทั้งห้องมอบหมายให้ช่วยคัดแยกผมก็รู้สึกได้ว่ามีคนแอบมองแต่ไม่ใช่จากคนในห้องนะครับเพราะมันรู้สึกมาจากหน้าห้อง แต่เงยหน้าขึ้นไปก็ไม่เห็นใครสักคน
ผีหลอกตอนกลางวันหรือไง
แล้วผมก็จมลงกับกองเอกสารบนโต๊ะ บนพื้นข้างโต๊ะอีกครั้ง เสียงประตูห้องที่ถูกผลักเข้ามาแต่ก็ไม่ได้สนใจเพราะแรงดึงดูดจากกองเอกสารนั้นมากกว่าการเงยหน้าเพื่อมองว่าเป็นใครที่เดินเข้ามา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะไม่สนใจก็ในเมื่อตลอดช่วงเช้ามีคนเดินเข้าออกห้องทำงานผมเป็นว่าเล่นเพื่อเข้ามาส่งเอกสารซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นพี่หญิงที่รับเอกสารพวกนั้นด้วยหน้าเรียบเฉย ถ้าจะให้สนใจทุกคนที่เข้ามาผมคงแยกเอกสารกองมโหฬารไม่เสร็จกันพอดี
“ผมมารับเอกสารแจ้งซ่อมครับ”
“อืม พอดีไปที่ห้องแล้วไม่เจอใครพี่เลยทิ้งโน้ตไว้” พี่หญิงพูดขึ้น
“คนนี้น้องใหม่แผนกผม เลยพามาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักจะได้ประสานงานกันง่าย”
“ชื่ออะไรล่ะเรา”
“ภูผาครับ”
ภูผางั้นหรอ...
ผมเงยหน้าขึ้นมองทันทีที่ได้ยินชื่อ
“ชื่อเล่นล่ะ” พี่หญิงถามต่อ
“ชื่อเล่นภูผาครับ ส่วนชื่อจริงหิมาลัย”
“ชื่อแปลกดีเด็กสมัยนี้ ไม่ค่อยได้ยิน” พี่หญิงว่าพลางยื่นเอกสารให้กับช่างใหม่ด้วยความเรียบเฉยอันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัวโดยไม่สะท้านกับความคมเข้มที่ยืนอยู่ตรงหน้า
เปลี่ยนให้ผมทำหน้าที่ตรงนั้นแทนก็ได้นะครับพี่หญิง
คิดไม่ออกเลยครับว่าถ้าเป็นผมที่เป็นคนยื่นเอกสารแผ่นนั้นให้กับพี่ภูผา กระดาษแผ่นนั้นจะสั่นขนาดไหน
ผมแอบมองพี่ภูผาสลับกับก้มหน้าลงไปคัดแยกเอกสารแบบไม่ให้มีพิรุธ
“เซ็นชื่อรับแล้วเอาตัวสำเนาไป ตัวจริงพี่จะเก็บไว้ตรวจสอบ”
“ตรวจสอบ” พี่ภูผาถามเสียงซื่อ
“ไว้ตรวจสอบไงว่าฝ่ายช่างทำงานเสร็จตามใบแจ้งงานหรือเปล่า เกิดอยู่ดี ๆ พวกเธอโมเมว่าแอดมินไม่แจ้งงานให้ทราบพี่จะได้มีหลักฐานว่าพวกเธอเซ็นรับงานไปแล้ว”
“ทำไมของขึ้นง่ายจัง” พี่ภูผากระซิบกับช่างอีกคนที่ยืนข้างกัน
“แบบนี้แหละสูงวัย”
แต่อย่าเรียกว่ากระซิบเลยครับเพราะผมที่นั่งอยู่ตรงนี้ยังได้ยิน
“กระซิบอะไรกัน”
“ป่าวคร้าบบบพี่หญิงคนสวย” ช่างคนเก่ารีบปากหวานเข้าใส่
บอกแล้วขนาดผมยังได้ยินแล้วมีหรอที่พี่หญิงซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าจะไม่ได้ยิน
ห้องทำงานกลับสู่ความเงียบได้ไม่ถึงสิบวินาทีนับจากที่ช่างทั้งสองคนเดินออกไปเสียงพี่แมวเหมียวก็ดังขึ้นมาแทนที่
“ช่างคนใหม่หล่ออะ ว่าไหมพี่หญิง”
“อืม ก็ดูดี ดีกว่าพวกที่มีอยู่ตอนนี้ เดี๋ยวอยู่ไปนาน ๆ หน้าตาก็กลืน ๆ กัน” พี่หญิงพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“ชื่ออะไรแล้วนะ ช่างคนใหม่”
“ภูผาครับ” ผมตอบทั้งก้มหน้าง่วนกับงาน
“ใช่ ๆ ภูผา ชื่อจริงหิมาลัย” พี่แมวเหมียวดูท่าจะตื่นเต้นที่นึกชื่อขึ้นมาได้
“นามสกุล ทรรศเกียงไกร” เป็นผมที่พูดขึ้นต่อ
ถึงจะไม่ได้มองแต่รู้เลยครับว่าสายตาพี่แมวเหมียวหันขวับมาทางผม และก็จริงอย่างที่คิดเมื่อเจ้าตัวพุ่งตรงมา
“รู้ได้ไงอะ”
“ก็เริ่มงานวันเดียวกัน ผมเห็นตอนกรอกเอกสาร” ไม่บอกความจริงหรอกนะว่าผมแอบดูตอนเขาเขียน
“แล้วเขามีแฟนยังอะ”
“มีงานก็กลับไปทำ อย่าไปกวนน้องมันจะได้ทำงานให้เสร็จ”
พี่หญิงพูดเนิบ ๆ แต่เชื่อเถอะว่าสะท้านความรู้สึกเหมือนถูกผลักให้ไปยืนอ้าปากกินลมอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ
“โถ่ พี่หญิงอะ”
“หรือจะให้พี่นิพนธ์เดินมาบอก” คำพูดเฉียบขาดของสตรีวัยกลางคนสยบความร่าเริงของพี่แมวเหมียวไว้จนหมดสิ้นจนต้องเดินกลับไปประจำโต๊ะทำงาน “จริง ๆ เลยเด็กสมัยนี้”
ห้องทำงานจึงได้กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง
ท่ามกลางความเงียบผมรู้สึกได้ถึงสายตาใครสักคนที่มองมาอีกแล้วครับ ผมรีบเงยหน้าจากกองเอกสารที่ใกล้หมดเต็มที แต่คนที่เดินอยู่หน้าห้องกลับเลื่อนสายตาหนีซึ่งคนคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน
“ภูผาเดินผ่านไปมาหลายรอบแล้วนะ สงสัยจะสนใจใครในห้องนี้แน่เลย” เป็นเสียงของพี่แมวเหมียวที่ดังขึ้น
ใช่ครับ คนที่เพิ่งเดินผ่านไปคือพี่ภูผา
และคิดว่าพี่แมวเหมียวคงจะคิดเข้าข้างตัวเองไปแล้วอย่างแน่นอน แต่ห้องทำงานเราอยู่ระหว่างทางเดินไปห้องน้ำของพนักงานคงไม่แปลกที่จะพี่ภูผาจะเดินผ่านบ่อย ๆ
“ฟีฟ่า”
“ครับ” ผมหันไปตามเสียงกระซิบเรียกแล้วพี่แมวเหมียวก็ยื่นหน้ามากระซิบ
“คิดว่าช่างคนใหม่มีแฟนยัง”
“ไม่รู้สิครับพี่ ผมไม่ได้รู้จักพี่เขา”
“นึกว่ารู้จักกันจะได้ฝากไปบอกว่าพี่ยังโสดนะ เห็นเขาเดินผ่านหลายรอบเผื่อจะแอบมองพี่อยู่”
ถ้าพี่แมวเหมียวคิดเข้าข้างตัวเองได้ คงไม่แปลกที่ผมนะครับถ้าผมจะคิดเข้าข้างตัวเองบ้าง
“แล้วฟีฟ่าล่ะมีแฟนยังพี่ยังโสดนะใส ๆ แบบนี้พี่ก็แพ้ทางนะ”
ถ้าผมกลอกตาวนใส่พี่ร่วมงานจะผิดไหมครับ
เช้าของวันทำงานที่วุ่นวาย หวังว่านิยายของผมจะช่วยลดความน่าเบื่อระหว่างการเดินทางลงไปได้บ้างนะครับ ❤
แล้วพบกันใหม่ตอนต่อไป