แอบรักลุงข้างบ้าน ตอน5
ตอนที่ 5
อดีตอันรุ่งโรจน์ รุ่งริ่ง
ชายเจ้าของบ้าน กำลังนอนกลางวันอยู่บนแคร่อย่างสบายอารมณ์ ที่ชีวิตตนกลับมาสงบราบเรียบเหมือนเช่นเดิม
ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่รุ้งขวัญก้าวเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ แม้มันจะทำให้ชีวิตมีสีสันขึ้นมาเหมือนสายรุ้งสดใสสวยงามหลังฝนตกใหม่ แต่มันก็อยู่ให้ชื่นชมได้ไม่นาน เมื่อหมดเวลาเธอก็กลับไปเรียนหนังสือต่อ มีวิถีชีวิตเป็นของตัวเอง และคงไม่กลับมายุ่งวุ่นวายกับเขาอีกแล้ว จึงหลับตาพริ้มอย่างสุขใจสบายอุรา
ขณะที่ลมหายใจสงบราบเรียบใกล้จะเข้าสู่ห้วงนิทรา ประสาทหูกลับตื่นรู้ถึงความผิดปกติบางอย่างที่ค่อยคืบคลานเข้ามาใกล้อย่างช้า ๆ
ลางสังหรณ์บอกให้รู้ว่ามีบางสิ่งจ้องประสงค์ร้ายอยู่ จึงระแวดระวังคอยตั้งท่ารับ นึกไม่ออกว่าตัวเองไปก่อศัตรูไว้ที่ไหน แล้วก็ให้นึกถึงแก๊งขี้ยาที่เคยสุมหัวอยู่ที่นี่มาก่อน ก่อนที่เขาจะเข้ามาทีหลังแล้วตะเพิดไล่ถือจับจองครองเป็นที่ส่วนบุคคลของตัวเองไป
“จะทำอะไรน่ะ?”
“ว๊าย!”
รุ้งขวัญสะดุ้งตกใจ ที่ถูกจับได้เสียก่อนว่าคิดจะแกล้งเล่นโดยการเอาดอกบานไม่รู้โรยมาโปรยไว้บนตัว
“คิดจะทำอะไรลุง?”
ถามพร้อมจ้องตาเขม็ง เกร็งนิ้วที่จับข้อมือน้อยบอบบางนุ่มนิ่มคู่นั้นไว้แน่น
“ว่าไง?”
“เปล่าค่ะ” ก้มหน้าปฏิเสธ พยายามบิดข้อมือหนี
“เปล่าได้ยังไงจับได้คาหนังคาเขาแบบนี้ยังคิดจะปฏิเสธอีก ไอ้เด็กนิสัยไม่ดี จะสารภาพไหม? ”
“หนู...หนู”
หญิงสาวใจเต้นตึกตักดังโครมครามเพราะสะดุ้งตกใจกับน้ำเสียงดุเข้มนั้น
“ว่าไงเด็กดื้อ ไม่อย่างนั้นไม่ปล่อยนะ”
กระชับข้อมือดึงเข้าหาตัว จนได้กลิ่นน้ำหอมจากคนตัวเล็กโชยมาแตะปลายจมูก เธอก็แปลกใจที่มือของชายอาวุโสแข็งแกร่งเกินกว่าที่คิดนัก ถูกจับไว้แน่นแม้พยายามบิดหนีอย่างไรก็ไม่เป็นผล จนรู้สึกเจ็บปลาบจึงยอมรับสารภาพแต่โดยดี
“หนูแค่จะแกล้งลุงเล่นเฉย ๆ ค่ะ หนูขอโทษ”
เขาคลายมือหนาที่จับกุมแน่นดั่งคีมเหล็ก พอได้รับอิสระภาพเธอก็ถอยหลังหนี ก้มหน้าทำท่าสำนึกผิด แล้วแอบชำเลืองมองขึ้นมาสบประสานสายตาอันคมกล้าก็รีบหลุบตาลงต่ำอย่างรวดเร็ว ร่างกายแข็งทื่อรู้สึกเหมือนถูกสาปโดยไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ ได้แต่ยืนนิ่งสำรวมอยู่ที่เดิม
“โรงเรียนเปิดแล้วไม่ใช่หรือ รีบกลับมาทำไม?”
“วันนี้เปิดเทอมวันแรกค่ะ ไม่มีเรียน แค่ปฐมนิเทศเฉย ๆ”
ตอบเสียงค่อยในลำคอ ก้มหน้ามองพื้นดินกับปลายเท้าของตัวเอง ปล่อยให้เขาได้มีโอกาสพิจารณาเครื่องแบบชุดนักศึกษาที่สวมอยู่ได้อย่างเต็มที่
เธอกุมมือทำตัวเล็กลีบสำนึกผิดอยู่อย่างนั้นจนอึดอัด จึงค่อยเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของบ้านที่ล้มตัวลงนอนเท้าแขนหนุนศีรษะกึ่งตะแคงแล้วยิ้มเยาะใส่ พร้อมหยิบดอกบานไม่รู้โรยที่หล่นอยู่ปาใส่หัวเธอเล่นอย่างสนุก หญิงสาวจึงทำหน้ามุ่ยสะบัดตูดเดินหนีกลับบ้านไปเฉยเลย ส่วนเขานั้นก็หัวเราะชอบใจที่เป็นฝ่ายเอาคืนยัยตัวแสบได้บ้าง เห็นปลายจมูกเชิดรั้นนั้นเข้าก็นึกน่าชังน่าแกล้งเล่นอีกเสียยิ่งกว่าอะไร
“ลูกพี่...ลูกพี่”
เสียงเรียกคุ้นหูดังมาจากข้างหลัง ไม่แน่ใจว่าเรียกใครจนฝ่ายนั้นวิ่งมาดักหน้าทัน
“ลูกพี่จริง ๆ ด้วย จำผมได้ไหม?”
“จำได้สิเมฆ มาทำอะไรที่นี่?”
ชายคนที่เข้ามาทักยิ้มกว้างทันที ดีใจที่จำคนไม่ผิด
“ผมมาหาพี่นี่แหละครับ มารอดูอยู่หลายวันแล้วจนแน่ใจว่าใช่พี่แน่ ๆ จึงเข้ามาหา พี่สบายดีนะครับ?”
ถามพร้อมสำรวจคนตรงหน้าในชุดหม้อฮ่อม กางเกงขาก๊วยสีซีด คีบรองเท้าแตะเก่า ๆ
“สบายดีแล้วนายล่ะ?”
“สบายดีเหมือนกันครับ พี่ว่างไหม? หาอะไรกินกันเสียหน่อยไม่ได้เจอกันนาน”
“ก็เอาสิ”
พยักหน้าพร้อมเดินตามอดีตรุ่นน้องคนสนิทที่สวมชุดคนขับแท็กซี่เดินนำไปยังรถของตน
ยี่สิบปีที่แล้ว.....
“พี่จะเอาจริง ๆ หรือ?”
คนอายุน้อยกว่าถามอย่างขลาดกลัวเมื่อรู้แผนการในใจของรุ่นพี่ที่แก่กว่าสามปี
“จริงสิวะ มึงจะอยู่เป็นทาสเขาไปจนตายรึไง ถ้ามึงไม่ไปกูไปเองแต่อย่าปากโป้งแล้วกัน”
“ดะ ดะ เดี๋ยวพี่...ผมไปด้วย ให้ผมไปด้วยนะ ขืนพี่ไปเหลือผมคนเดียวก็เละสิ”
“ดี! ตกลงตามนี้ งั้นเตรียมตัวไว้ งานวัดคืนสุดท้ายเราจะหนีกัน”
เด็กหนุ่มสองคนวางแผนปลดแอกชีวิตตัวเองจากการเป็นทาส เมื่อไม่ได้เต็มใจจะอยู่แต่แรกด้วยถูกขายมาแลกกับเงินทองของบิดามารดา จึงคิดหาจังหวะหนีเพื่อไปขอตายเอาดาบหน้า แต่โชคไม่ดีนักที่ถูกจับตาอยู่ไม่ห่างและหนีมาได้ไม่ไกลแค่ใต้โรงลิเกนี้เท่านั้น
เสียงดังเอะอะโวยวายของชายฉกรรจ์ที่คุ้นหูดังลอดเข้าไปยังสถานที่ที่ใช้หลบซ่อนตัวอยู่ให้นึกตระหนก
“เราเป็นคนของคณะรำวงทุ่งรวงทอง เห็นเด็กผู้ชายตัวผอม ๆ สองคนวิ่งมาทางนี้ไหม? มันเป็นคนของเราเอง ขอตรวจดูหน่อยเถอะ”
สองหนุ่มน้อยซุกกอดกันอย่างหวาดหวั่น เมื่อถูกตามตัวเจอและลากออกมากลางลานดินโล่งหลังโรงลิเก แล้วประโคมมือเท้าใส่ไม่ยั้ง คิดสู้ก็สู้ไม่ได้จนเป็นที่น่าเวทนาต่อแม่ขวัญจิต เมียเจ้าของคณะลิเกเพชรบุษยา
“ใจเย็น ๆ เถอะพ่อ ทำไมต้องไปรังแกเด็กมันด้วย ตัวเท่านี้เอง ค่อย ๆ พูดค่อยจากันดีกว่า”
“ไอ้เด็กสองคนนี้ฉันซื้อมาจากพ่อแม่ของมันแล้ว แต่มันคิดจะหนีต้องโดนอย่างนี้แหละ”
ยกเท้ายันจนเด็กชายผอมกะหร่องล้มลงไปนอนตัวงอหมดสภาพ
“หมดธุระแล้วฉันขอตัวก่อน ไม่รบกวนล่ะ”
ทำท่าจะลากคอเสื้อหิ้วทั้งสองกลับไปเหมือนหมูเหมือนหมา แม่ขวัญจิตก็ทัดทานขึ้นเสียก่อนเพราะสงสารลูกนกลูกกาตาดำ ๆ ต่อหน้าคนหมู่มากยังขนาดนี้ หากถูกพาตัวกลับไปยังถิ่นที่ จะโดนซ้อมปางตายขนาดไหนกันเชียว
“เดี๋ยวก่อน...”
หล่อนเข้าไปนั่งยอบตัวใกล้กับคนที่โตกว่าเพื่อสอบถาม
“ทำไมถึงหนีมาล่ะ?”
หนุ่มน้อยหน้าใสคนที่มีนัยน์ตาหวาน คิ้วคมเข้มเงยหน้าขึ้นมาสบ แม้จะมีบาดแผลฟกช้ำแต่ไม่อาจบดบังความหน้าตาดีได้ ช่างถูกอกถูกใจอดีตนางเอกลิเกนับแต่วินาทีแรกที่ได้เห็น คิดว่าถ้าโตกว่านี้อีกสักสองสามปีคงจะหล่อเหลาเอาการน่าดู แม้แต่เสียงแหบห้าวใหญ่ของวัยแตกหนุ่มก็คาดว่าจะไพเราะนุ่มนวลได้กว่านี้อีกเมื่อผ่านพ้นเลยวัยไปแล้ว
“พวกเราทำงานเหน็ดเหนื่อยสารพัด กินอยู่ลำบากแต่ไม่เคยได้ค่าแรงเลย”
“แล้วจะเอาอะไรอีก กูก็ให้พ่อแม่มึงไปหมดแล้วไง!”
“จะให้กูอยู่กับพวกมึงอย่างนี้ไปจนวันตายรึไง?”
เขาตวาดโต้กลับด้วยความคับแค้นอก ทำให้อีกฝ่ายเดือดดาลใช้เท้าใหญ่หวดเข้าข้างซี่โครงเต็มเหนี่ยว
“หยุ๊ด! หยุด...หยุดก่อน ฉันบอกให้หยุดไงล่ะ”
เสียงหวานร้องห้ามพร้อมใช้ตัวบังกันท่า ลูกน้องแม่ขวัญจิตที่อยู่รายรอบเตรียมตัวพุ่งเข้ามาช่วยนายหญิงของตน ถ้าชายคนนั้นไม่ถูกคนที่มาด้วยกันดึงรั้งไว้ทันก็คงจะโดนเท้าชาวลิเกรุมสกรัมเละเป็นแน่
“ใจเย็น ๆ เรามาเจรจากันดีกว่านะ เอาอย่างนี้ฉันจะขอซื้อตัวสองคนนี้ต่อเอง”
“แม่! แม่ขวัญจิตว่ายังไงนะ?”
ผู้เป็นสามีถาม พร้อม ๆ กับลูกน้องคนอื่นที่ทำเสียงฮือฮาตกใจไม่แพ้กัน แม่ขวัญจิตจึงตวาดใส่แสดงอำนาจของหัวหน้าเต็มที่
“เงียบก่อน!.....ว่ายังไงพ่อ ซื้อมาเท่าไหร่ และซื้อมากี่ปีแล้ว ปล่อยมันมาให้ฉันเถอะ เราก็ทำมาหากินในวัดเหมือนกัน นึกเสียว่าทำบุญ”
“แน่ใจนะ? ไอ้เด็กสองคนนี้มันอกตัญญู กลัวจะเลี้ยงเสียข้าวสุก วันนี้มันหนีฉันไป วันหน้ามันก็จะหนีแม่ไปเหมือนกัน”
“ฉันแน่ใจว่าไม่หนีหรอก แต่ถ้าเขาคิดจะไปฉันก็ไม่รั้งไว้ เพราะที่นี่เราปกครองกันแบบพระคุณ ไม่ได้ปกครองกันแบบพระเดช เรื่องใช้กำลังอำนาจข่มเหง นิสัยอันธพาลหยาบคายแบบนั้นพวกเราไม่ถนัด”
แม่ขวัญจิตตอกกลับหน้าม้านทำให้ชายคนนั้นฉุนเฉียวและยินยอมตามคำขออย่างเสียไม่ได้
“งั้นก็ตามใจ”
เจ้านายคนเก่ารับเงินมาอย่างดีใจไม่น้อยที่ได้กำไรถึงสองเท่า ระหว่างทางก็หัวเราะรื่นรมย์มากับคนสนิทพร้อมนับเงินที่ถืออยู่ในมือ แต่จู่ ๆ ก็หยุดกึกขึ้นมาเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก โธ่เว๊ย! รู้งี้เรียกเยอะกว่านี้ก็ดีหรอก
หลังจากนั้นสองปี คณะลิเกเพชรบุษยาก็ได้เวลาเปิดตัวพระเอกน้องใหม่ ที่มีใบหน้างามหวานคมพร้อมรอยยิ้มทรงเสน่ห์ มีแก้วเสียงนุ่มนวลกังวานใหญ่ ดูสูงสง่างดงามเมื่อยามอยู่ในชุดเจ้าชายประกายวิบวับต้องแสงไฟ เป็นดาวเจิดจรัสเพริศพรายอยู่ในใจแม่ยกจนต้องเก็บไปละเมอฝันถึงและแย่งกันคล้องพวงมาลัยนามว่า
‘เทพพิทักษ์ เพชรบุษยา
เมฆารีบยกมือร้องห้าม เมื่อลูกพี่ทำท่าจะหยิบเงินออกมาจ่ายค่าโจ๊ก
“ไม่ต้อง ๆ ผมจ่ายเอง”
“ไม่เป็นไร”
“ให้ผมเลี้ยงเถอะพี่ ขอร้อง ให้โอกาสผมได้ตอบแทนพี่บ้าง...นะ”
ส่งแววตาอ้อนวอนขอความเห็นใจ เพราะรักผู้ชายคนนี้เสมือนเป็นพี่ชายของตนจริง ๆ ทุกข์ยากลำบากด้วยกันมาตั้งแต่อยู่คณะรำวงทุ่งรวงทอง มีอะไรก็แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ พอย้ายมาอยู่คณะลิเกเพชรบุษยาก็ยิ่งสนิทสนมรักใคร่รู้ใจกันมากขึ้น
ด้วยความที่พี่หนูเป็นคนหน้าตาดี หน่วยก้านใช้ได้จึงถูกแม่ขวัญจิตปั้นเป็นพระเอกลิเก ส่วนตัวเขานั้นก็ได้หัดเล่นดนตรีเผื่อมีคนขาดหรือเจ็บป่วยจะได้แทนกันได้ แต่หน้าที่หลัก ๆ แล้วจะเป็นคนงานดูแลติดตั้งเวทีและลูกมือลูกตีนให้กับคนอื่นเสียมากกว่า
ชีวิตพระเอกลิเก เทพพิทักษ์ เพชรบุษยา รุ่งโรจน์สดใส มีเงินใช้ไม่ขาดมือ มีชื่อเสียงโด่งดังจนทำให้ความเป็นอยู่ของชาวคณะดีขึ้น และด้วยนิสัยเป็นคนมีน้ำใจ รักพวกพ้อง ชอบช่วยเหลือจุนเจือพี่น้องคนอื่นจึงเป็นที่รักใคร่ชื่นชมอยู่เสมอ ตัวเขาเองนั้นยิ่งโชคดีกว่าใครเพื่อน เพราะความเป็นคนสนิท จึงได้รับส่วนแบ่งของกำนัลจากแม่ยกทั้งหลายที่ฝากมาให้ไม่ขาดมือ
หลายปีผ่านไป แม่ขวัญจิตที่เปรียบเสมือนแม่คนที่สองและผู้มีพระคุณก็ได้สิ้นบุญ หล่อนตายตาหลับอย่างสงบหมดห่วง ด้วยเชื่อว่าเทพพิทักษ์จะเป็นกำลังหลักให้กับชาวคณะเพชรบุษยาของเธอต่อไป
ทว่าโชคชะตากลับเล่นตลก
หลังจากแม่ขวัญจิตเสียไปแล้ว แม่แท้ ๆ ของพี่หนูก็เกิดป่วยหนัก ต้องการเงินเพื่อใช้รักษาจำนวนมาก พี่น้องคนอื่น ๆ ของเขาก็ล้วนมีฐานะยากจนพึ่งพาไม่ได้ พี่หนูจึงเข้าไปสอบถามกับพ่อใหญ่ที่เป็นเจ้าของคณะ ถึงเงินของตัวเองที่ฝากเอาไว้ตั้งแต่ทีแรก แต่กลับถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่าได้หยิบยืมมาใช้รักษาแม่ขวัญจิตและเลี้ยงดูชาวคณะไปจนหมดแล้ว มารู้เหตุผลแท้จริงทีหลังว่าพ่อใหญ่ติดการพนันหนักและได้นำเงินของลูกน้องที่ฝากไว้ไปถลุงเล่นไม่มีเหลือ
ทุกคนในคณะรู้เรื่องเข้า ต่างก็เจ็บช้ำไม่แพ้กัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ด้วยว่านึกถึงบุญคุณในอดีตที่ผ่านมา พี่หนูก็เหมือนจะทำใจได้เช่นกันกับคนอื่น แต่เพราะเงินฝากของเขานั้นมีจำนวนมากกว่าและเมื่อได้กลับไปร่วมงานศพมารดาก็นึกโกรธพร้อมกับเสียดายขึ้นมา หากมีเงินก็คงจะสามารถช่วยต่อชีวิตแม่ของเขาได้ แม้แต่งานที่จัดไว้อาลัยให้ครั้งสุดท้ายก็ค่อนข้างอนาถา
เขารู้สึกเจ็บปวดนัก พี่น้องทุกคนล้วนลำบากยากจน มีเพียงเขาคนเดียวที่มีโชควาสนาได้ดิบได้ดี ใช้ชีวิตสุขสบายรื่นเริงอยู่กับพี่น้องคนละสายโลหิต โดยลืมเหลียวแลครอบครัวจริง ๆ ที่อยู่ไกลตัว หลังงานเสร็จสิ้นก็เกิดรู้สึกผิดคิดจะหันมาใส่ใจและทำอะไรชดเชยให้กับพี่น้องของตนบ้าง จึงกลับมาที่คณะและเจรจาขอตกลงเรื่องส่วนแบ่งรายได้ใหม่ แต่กลับตกลงกันไม่ได้ เพราะเจ้าของคณะไม่ยอม พี่หนูจึงต้องขอลาออกด้วยความจำเป็น และด้วยความคับแค้นใจ พ่อใหญ่จึงใส่ความว่าเขาเป็นคนอกตัญญู กุข่าวเสียหายแพร่กระจาย มิหนำซ้ำยังส่งคนไปก่อกวนจนไม่มีคณะไหนกล้ารับเข้าไปเป็นสมาชิก
ชีวิตของเทพพิทักษ์ พระเอกลิเกเงินล้าน จึงถูกกระชากร่วงจากเวทีและฝังกลบด้วยน้ำมือของผู้มีพระคุณที่เคยเทิดทูนเสมือนพ่อคนที่สอง โดยที่เมฆารู้ความจริงทุกสิ่งอย่าง แต่ไม่อาจช่วยแก้ต่างอะไรให้ลูกพี่ของเขาได้เลย
“ผมขอเบอร์โทรพี่หน่อยได้ไหม?”
“พี่ไม่มีโทรศัพท์”
“อย่างนั้นขอที่อยู่ก็ได้ ผมอยากรู้ว่าพี่อยู่ที่ไหน?”
รุ่นพี่คิดอย่างชั่งใจ แล้วก็เป็นฝ่ายขอเบอร์โทรศัพท์ของเมฆามาเก็บไว้เอง
การได้พบเจอกับคนรู้จักในอดีตเมื่อเช้า ทำให้ฝันร้ายที่เคยลืมเลือนไปนานแล้วหวนกลับมาหลอกหลอนและทำร้ายเขาอีกครั้งหนึ่ง
‘โถ! พ่อเทพ อย่าทำหน้าเศร้าอย่างนั้นสิจ๊ะ แม่เห็นแล้วอดเจ็บปวดแทนไม่ได้ อย่างไรแม่ก็เชื่อว่าเทพไม่ใช่คนอย่างนั้น มามะ...มาให้แม่เป็นคนปลอบใจให้หายเศร้าเถิด’
‘พ่อเทพจ๋า! พ่อเทพของพี่ รับปากกับเมียคนนี้สิจ๊ะ ว่าถ้ามีเรื่องเดือดร้อนอะไรให้คิดถึงพี่เป็นคนแรกเสมอ แม้พี่จะไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องพ่อเทพ พี่ก็จะเต็มใจช่วยเต็มที่’
‘ไม่ว่าพ่อเทพอยากได้อะไรก็ขอให้บอกแม่
นงคราญคนนี้ แต่ขออยู่เรื่องหนึ่งรับปากกับฉันได้ไหมจ๊ะ ว่าพ่อเทพจะมีฉันแค่เพียงคนเดียว’
ใคร ๆ ต่างก็อิจฉาอดีตพระเอกลิเกชื่อดังตกอับคนนี้ ที่มีสาวแก่แม่ม่ายคอยช่วยเหลืออุปถัมภ์ค้ำจุนและมาให้กกกอดอยู่ไม่ขาด แต่ลึก ๆ ข้างใน เขารู้สึกเจ็บปวดร้าวราน สมเพชเวทนากับชีวิตตกอับของตัวเองเป็นที่สุด
ฐานะชาติตระกูลก็ไม่มี เกียรติยศศักดิ์ศรีก็ไม่มี ความรู้การศึกษาก็ต่ำ อาชีพพระเอกลิเกที่ใช้ทำมาหาเลี้ยงชีพก็ถูกปิดตาย เหลือเพียงหน้าตาและวาจาแสนหวานที่พอจะใช้หาเงินหาทองจากแม่ทูนหัวทั้งหลายที่หลงเสน่ห์ของตัวเองได้
คิดถึงตรงนี้พาลทำให้รู้สึกเกลียดตัวเองในอดีตนัก จึงเกิดอาการปวดตึงที่ขมับ หายใจติดขัดอัดแน่นที่หน้าอกและคลื่นไส้มวนท้องจนอยากจะอาเจียน
คนที่แนะนำให้เขาหาเงินโดยวิธีการนี้เพื่อนำไปลงทุนสร้างหนังด้วยกันคือ ผดุงเกียรติ แต่สุดท้ายหมอนั่นก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมและความรู้ที่สูงกว่าฮุบเอาทุกสิ่งทุกอย่างไป ส่วนแบ่งรายได้ที่เคยตกลงกันไว้ก็ไม่เป็นไปตามคำพูด และด้วยความที่เขามีข่าวเสียหายว่าเป็นคนอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณเป็นทุนเดิม จึงทำให้ไม่มีใครเชื่อความจริงที่พูด กลับสมน้ำหน้าพูดจาเหยียบย่ำซ้ำเติมให้ตกต่ำอีก ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกกล่าวหาเลยแม้แต่น้อย
น้ำตาลูกผู้ชายไหลริน เจ็บปวดเหลือแสนปานถูกกรีดที่หัวใจแล้วควักออกมาขยี้เป็นผุยผง นึกแค้นเคืองต่อโชคชะตาและคนที่ทรยศหักหลัง
‘ขอให้มึงเจริญรุ่งเรือง บนความเจ็บช้ำและคราบน้ำตาของกู!’
อดีตพระเอกลิเกเงินล้าน ชื่อเสียงโด่งดัง ที่เคยมีคนยกย่องอุ้มชูล้อมหน้าล้อมหลัง ประชดชีวิตด้วยการดื่มสุรา และเร่ร่อนไปมาอย่างคนจร ทำตัวบ้า ๆ บอ ๆ ขอทานเขากินไปวัน ๆ เพราะรู้สึกสิ้นหวังในชีวิตจนไม่อยากทนอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป แต่ทว่าเกิดเป็นลูกผู้ชาย การฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหามันดูอ่อนแอและน่าสมเพชยิ่งกว่าหมาขี้เรื้อนนัก เขาจึงลุกขึ้นมาสู้ชีวิตใหม่ ยินยอมให้ญาติพี่น้องพาตัวไปดูแลรักษา เมื่อหายดีก็หนีออกมาอีกครั้งเพราะไม่อยากเป็นภาระใคร และเพื่อหลบเลียแผลใจในอดีตอย่างเงียบ ๆ เพียงคนเดียว