การมีเซ็กส์ ของทวยเทพสมัยโบราณ สุดซี๊ดดด
เพศรสปราศจากพรมแดนของเพศสภาพ
อีกวีรกรรมเด็ดของซุสคือตอนแปลงกายเป็นนกอินทรี ฟังดูธรรมดาๆ แต่ที่เด็ดคือเพื่อลงไปลักพาตัวเด็กหนุ่มละอ่อนชื่อแกนิมีด มากักไว้ให้เป็นคนถือถ้วยและเป็นทาสเซ็กซ์ของตัวเองบนยอดเขาโอลิมปัส เทพีเฮรา เมียซุสก็หึงสะบัดเหมือนเดิม ดิฉันค้นพบว่าโลกแห่งเทพเจ้านั้นเป็นโลก LGBT โดยแท้ ใช่ว่าเกิดเป็นสตรีแล้วจะต้องโดนตัวบ้าบอมาทำรุ่มร่ามเสมอไป มันไม่เกี่ยวกับเพศแต่อย่างใด มันเกี่ยวกับความใคร่ล้วนๆ ดำฤษณาของเทพเจ้าเกิดได้กับทุกสิ่งและทุกเพศที่มีคุณลักษณะน่าหลงใหล และเหล่าทวยเทพจะทำทุกอย่างตามกิเลสตัณหาบัญชาไป แกนิมีดเป็นเด็กหนุ่มรูปงาม หลังจากซุสจับมาเป็นนายบำเรอได้ไม่นานก็ถูกเทพีอิออสฉกตัวไปทำผัวอีก
ส่วนเทพเจ้าชาวเหนืออย่าง Loki นั้นเปรี้ยวใจกว่า เพราะสามารถสลับเพศไปมาได้ เพราะฉะนั้นจึงมีทั้งเมียและผัวในเวลาเดียวกัน แถมตอนเป็นผู้หญิงก็ยังให้กำเนิดลูกหลานได้อีก นอกจากนี้ยังสามารถจำแลงเป็นม้า แมลง และปลาแซลมอนได้ด้วย เกิดชาติหนึ่งคุ้มยิ่งนัก พล็อตเรื่องเกย์ที่คลาสสิกและเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ก็มีอยู่นับไม่ถ้วน จักรพรรดิโรมันนามเฮเดรียนที่หลงรักเด็กหนุ่มรูปงามชื่อแอนตินุสแบบหัวปักหัวปำ หนามหยอกอกจักรพรรดินีซาบินาตลอดเวลาหลายปี กระทั่งแอนตินุสจมน้ำตายไม่ว่าจะอุบัติเหตุหรือฆาตกรรม ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าเฮเดรียนบ้าคลั่งจนถึงกับสร้างเมืองในนามของแอนตินุสและปั้นรูปปั้นของเด็กหนุ่มขึ้นมามากมาย
เครื่องเพศในฐานะวัตถุแห่งมนตรา
แม้เราจะโตมากับวัฒนธรรมชูนิ้วกลางเวลาไม่สบอารมณ์ใคร แต่คุณคงพอรู้ว่าก่อนหน้านี้ ไอ้จ้อนนั้นเคยเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการกราบไหว้บูชา ในวัฒนธรรมฮินดูยกให้ลึงค์เป็นตัวแทนพระศิวะ อีกหลายตำนานบ่งชัดว่าเครื่องเพศทั้งหญิงและชายเป็นตัวแปรสำคัญของเรื่องราวเสมอ ถ้าไม่เป็นของศักดิ์สิทธิ์ไปเลย ก็จะเป็นคล้ายคำสาปหรือบทลงทัณฑ์ เป็นเรื่องเข้าใจได้ว่าทำไมคนยุคหนึ่งถึงบูชาลึงค์และเรียกมันว่าเจ้าโลก เหตุผลสำคัญคือมันเป็นอวัยวะที่สร้างมนุษย์ขึ้นมา แต่องคชาตท่อนเดียวโด่เด่ก็เอาไปทำน้ำยาอันใดมิได้ ต้องทำงานร่วมกับโยนีของสตรี ทางฮินดูจึงบูชาโยนีร่วมด้วย โยนีถือเป็นตัวแทนของพระแม่ปารวตีและพลังสร้างสรรค์แห่งเพศหญิง (ว่าแต่ทำไมเราถึงไม่ปั้นรูปพระแม่ แทนที่จะปั้นอวัยวะเพศของท่าน?
ดิฉันเดาว่าคนโบราณเป็นคนประเภท Right to the Point) แม้จะเข้าใจที่มา แต่ก็อดผวาไม่ได้เวลาหันไปเห็นจู๋แท่งมหึมาผูกผ้าเจ็ดสีเจ็ดศอก กับช่องคลอดสตรีขนาดใหญ่ที่โรยข้าวตอกดอกไม้ เรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ของเครื่องเพศที่ชวนช็อกที่สุด ขอยกให้ตำนานแห่งพระอินทร์ค่ะ ก่อนจะได้ชื่อว่าสหัสนัยน์ หรือผู้มีพันตา พระอินทร์เคยมีฉายาสหัสโยนีมาก่อน แปลว่าผู้มีพันช่องคลอด! ถูกต้องแล้ว ครั้งหนึ่งพระอินทร์เคยลักลอบเล่นชู้กับเมียฤาษีโคดม พอโดนจับได้ ฤาษีก็เลยสาปให้มีโยนีนับพันปรากฏอยู่บนกาย นึกแล้วมันก็น่าสงสารจริงๆ พระอินทร์ได้แต่ซ่อนตัว ไม่กล้าเจอใคร เลยมีการผ่อนโทษให้เบาลง จากช่องคลอดเต็มตัวกลายเป็นดวงตาแทน
ตำนานฝั่งกรีกไม่น้อยหน้า สำหรับตำนานเครื่องเพศมีฤทธิ์ คุณอาจจะงงว่าเห็นรูปปั้นกรีกกี่ตัวๆ ก็มีกระจู๋จุ๋มจิ๋มราวกับเด็กอ่อน (ทั้งที่ตามท้องเรื่องแล้วมักจะถูกใช้งานอย่างหนัก) นักวิชาการบอกว่าชาวกรีกโรมันก็แปลกอยู่อย่าง คือแม้เรื่องจะคาวโลกีย์แค่ไหน แต่จะต้องถ่ายทอดออกมาให้ในรูปที่ดูเบาๆ ใสๆ เหมือนอยู่ในสรวงสวรรค์เสมอ อ้อ แต่ธรรมเนียมนี้ก็ต้องยกเว้นให้รูปปั้นไพรอาปัสไว้สักคน
ไพรอาปัสเป็นลูกชายของเทพีอโฟรไดท์ผู้เลอโฉม และคุณนายเฮราเจ้าเก่าก็อิจฉาความสวยของอโฟรไดท์ เลยสาปให้ลูกชายของนางเกิดมาพร้อมองคชาตใหญ่บึ้มและแข็งโด่เด่อยู่ตลอดเวลา (ลงที่ลูกเฉยเลย) พูดง่ายๆ ก็คือเขากลายเป็นนิกกี้ พิ้ม แห่งกรีกโบราณ แหงอยู่แล้วว่าเหล่าเทพจู๋เล็กทั้งหลายก็ต้องรับไม่ได้ ขับไล่ไสส่งไพรอาปัสให้ลงมาอยู่ในโลกมนุษย์ ไม่บอกก็คงเดาได้ว่าเขาสำราญแค่ไหน มรดกตกทอดจากไพรอาปัสมาสู่โลกปัจจุบัน คือชื่อโรคไพรอาปิซึ่ม ซึ่งหมายถึงอาการผิดปกติทางอวัยวะเพศชายที่แข็งตัวตลอดเวลา ไทยเรียกว่าภาวะองคชาตแข็งค้าง และโปรดอย่าคิดว่าใครเป็นแล้วจะบันเทิงเหมือนไพรอาปัส เขาว่ามันเจ็บน่าดูเลย แล้วคุณก็ไม่ได้เกิดอารมณ์ทางเพศสักนิดด้วย ทั้งหมดนี่เป็นแค่เศษเสี้ยวของจินตนาการทางเพศของมนุษย์ในยุคก่อนกาล นอกจากสะท้อนว่าจินตนาการบรรพบุรุษบรรเจิดและไร้ขีดจำกัดเพียงใด มันยังสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะนิสัยของมนุษย์ในวันที่โลกยังเยาว์ เราแทบไม่ได้ต่างจากสัตว์เลย ยิ่งเทพเทวายิ่งแล้วใหญ่ ตัณหากลับกว่ามนุษย์อีก