One for the Road
ความรู้สึกแรกหลังดู “One for the Road วันสุดท้าย…ก่อนบายเธอ” จบ (ไม่มีสปอยล์)
1
ข่าวร้ายที่ดีที่สุดคือข่าวร้ายที่รู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดขึ้นแน่นอน
แต่ถ้าข่าวร้ายนั้นหมายถึงการเสียชีวิตของตัวเอง มันจะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย และเราจะจัดการกับชีวิตอย่างไร
ผมเพิ่งออกจากโรงหนังหลังจากดู “One for the Road วันสุดท้าย…ก่อนบายเธอ”
หนังเล่าเรื่องของ “อู๊ด” (แสดงโดย ไอซ์ซึ ณัฐรัตน์) ชายหนุ่มซึ่งพบว่าเขากำลังป่วยและจะเสียชีวิตในไม่ช้า เมื่อชีวิตเหลือเวลาไม่มากแล้ว เขาจึงตัดสินใจชวน “บอส” (แสดงโดย ต่อ ธนภพ) เพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนานออกเดินทางขับรถไปหา “แฟนเก่าส์” (แปลว่า แฟนเก่าเติม “s” เพราะมีหลายคน) เพื่อใช้เวลาช่วงสุดท้ายทำสิ่งที่ยังค้างคาใจกับผู้คนที่มีความผูกพันในอดีต
กำกับโดยนัฐวุฒิ พูนพิริยะ ผู้กำกับภาพยนตร์ “ฉลาดเกมส์โกง” และอำนวยการสร้างโดยหว่องกาไว ผู้กำกับภาพยนตร์ “Chungking Express” “In the mood for love” ฯลฯ
และนี่คือความรู้สึกที่ผมมีหลังจากดูหนังเรื่องนี้จบ
2
โดยภาพรวม ผมประทับใจหนังเรื่องนี้มากตลอด 2 ชั่วโมงที่ดู
ชอบความละเมียดละไมในแต่ละเฟรม ภาพสวย ถ่ายคนก็สวย ภาพเมืองก็สวย ทำให้นึกถึงภาพสวยๆ ของหนังหว่องกาไวที่ปั้นแต่เฟรมไม่ใช่แค่เอาเท่ แต่มีความหมายอยู่ตลอด
ชอบการทำการบ้านเรื่องเพลง เพลงที่ใส่มาในแต่ละเพลง แต่ละฉาก มีความหมายเกี่ยวกับการจากลา การคิดถึง มาถูกที่ถูกเวลา คนที่ชอบเพลงน่าจะฟินมากๆ
ยิ่งมาบวกกับเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ลุ่มลึกของพี่เอก ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ในบทดีเจรายการ Midnight Rider นะคุณเอ้ย! โผล่มาแต่เสียงเยอะกว่าได้เห็นตัว แต่เสียงพี่เอกได้อารมณ์จริงๆ เวลาพูดเข้าเพลงแต่ละครั้งนี่สุดจริงๆ เหมือนเขากำลังอ่านกวี
ชอบการแสดงของนักแสดงทุกคน บทของแต่ละคนทำให้นักแสดงต้องทำการบ้านเรื่องพัฒนาการของตัวละคร เพราะมีทั้งตอนที่รักกันในอดีต และตอนที่กลับมาเจอกันในปัจจุบัน ทุกคนได้ปล่อยของหมด ใช้เวลาที่อยู่บนจออย่างคุ้มที่สุด
ปรบมือให้ไอซ์ซึกับต่อ ธนภพ เป็นพิเศษ ผมไม่ได้รู้สึกว่ากำลังดู “ดาราแสดง” แต่พูดได้เต็มปากว่าพวกเขาเป็น “นักแสดง”
ชอบบทที่มีความหลากหลายทางอารมณ์ ทั้งๆ ที่หนังพูดเรื่องความ (ใกล้จะ) ตาย แต่ความตายในหนังกลับเล่าอย่างมีความหวัง และมีประเด็นให้ชวนคิดได้ต่อหมด และชอบที่หนังไม่ได้บอกทุกอย่างหมดในทีเดียว แต่ค่อยๆ คลายปมของตัวละคนออกมา ทำให้เข้าใจตัวละครว่าทำไมแต่ละคนถึงมีพฤติกรรมแบบนั้น
3
หนังพาเราไปสำรวจความสัมพันธ์ของมนุษย์เมื่อตอนรักกันและตอนเลิกกันแล้ว
บางคนเลิกกันแล้วก็ยังกลับมาคุยกันอย่างเป็นมิตรได้ ให้อภัยกันได้ ยอมรับและก้าวข้ามไปได้ แต่ให้กลับมาคบกันคงไม่ไหว
บางคนเลิกกันแล้วแต่บาดแผลในใจยังฝังลึกจนไม่อยากจะเจอหน้ากัน
บางคนเลิกกันแล้วแต่ยังคิดถึงกันในทางที่ดีอยู่
แต่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยรักกัน และไม่เคยคิดว่าจะเลิกกัน
ไปดูหนังเรื่องนี้แล้วลองเอาตัวเองไปอยู่ในจุดของตัวละครแต่ละตัว แล้วเราจะเข้าใจว่าทำไมเขาถึงตัดสินใจแบบนั้น
เราอาจจะได้เห็นตัวเอง และเห็นคนในชีวิตของเราไปด้วย
4
ดูหนังจบแล้ว ผมพบว่าหนังทิ้งคำถามให้เราคิดต่อกับชีวิต
บางที “ความตาย” ก็ทำให้เรา “เกิดใหม่” เพราะพบความหมายของ “การมีชีวิตอยู่”
หนังทำให้เราตั้งคำถามว่า ที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตแบบไหน และเราฝากความทรงจำแบบไหนไว้ให้กัน
ซึ่งแน่นอนว่าคงมีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดี มีทั้งคนที่เราจากกันโดยทิ้งบาดแผลไว้ให้กัน มีทั้งคนซึ่งเป็นความทรงจำที่งดงามที่แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งแต่ก็ยังคิดถึงตลอดไป
เมื่อพบว่าเวลาในชีวิตเหลืออยู่ไม่มาก ตัวละครอย่างอู๊ดกลับมาทบทวนว่าใครบ้างที่สำคัญกับชีวิต ใครบ้างที่เขาอยากจะขอบคุณ ใครบ้างที่เขาอยากจะขอโทษ ใครบ้างที่เขาอยากให้อภัย
แต่เรื่องแบบนี้ เรามักคิดได้เมื่อเรารู้ตัวอีกทีว่าเวลาของเรากำลังจะหมด หรือเวลาของใครบางคนได้หมดไปแล้ว
ถ้าจะดูหนังเรื่อง “One for a Road วันสุดท้าย…ก่อนบายเธอ” แล้วจะรู้สึกกลับมามองย้อนชีวิตของเราเองว่าเราใช้เวลาในชีวิตของเราไปแบบไหน มีอะไรที่ยังค้างคาใจเราอยู่ เราฝากความทรงจำแบบไหนไว้ให้กันและกัน
ถ้ามันจะทำให้เราขอบคุณคนที่ดีต่อเรา ขอโทษคนที่เราทำร้าย ให้อภัยคนที่สำนึกผิด และคิดเสมอว่าทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน ขอให้เป็นช่วงเวลาที่มีความหมาย เมื่อเดินจากกันไปก็จากไปพร้อมความรู้สึกที่ไม่มีอะไรให้เสียดาย
ผมก็คิดว่าเป็นสองชั่วโมงที่มีความหมาย