" รถไฟสยองกลางป่า "
"รถไฟสยองกลางป่า"
ผมเป็นลูกแหง่ติดพ่อครับ สมัยผมเด็ก ๆ มักจะร้องงอแงไปทำงานกับพ่อด้วย ติดพ่อมากถึงขนาด
เอาเชือกผูกไว้กับขาพ่อ เพื่อที่ตื่นไปทำงานกับพ่อด้วย ครั้งนึงพ่อผมต้องไปทำงานตอน ห้าทุ่ม
ตอนนั้นผมอยู่ ป.3 อยากไปทำงานกับพ่อมาก ๆ แต่กลัวพ่อไม่ให้ไปเพราะพรุ่งนี้มีต้องเรียนหนังสือ
และพ่อผมมักจะแอบลุกจากเตียงเพื่อ เตรียมตัวไปทำงาน โดยที่ผมยังหลับอยู่
ผมเลยเอาเชือกผูกปลายเท้าพ่อไว้กับปลายเท้าของผม พอพ่อจะตื่นไปทำงาน
เชือกจะกระตุกและผมก็จะตื่นและขอไปด้วย …..
สรุปว่าด้วยการตื้อของผมก็ได้ไปทำงานกับพ่อในที่สุด ขบวนที่ไปวันนั้นเป็นขบวนรถสินค้า
มีหัวรถจักรหนึ่งตู้ ตู้สินค้า 12 ตู้ และตู้ พห. ตู้ รถสัมภาระมีเครื่องห้ามล้อ ซึ่งตู้นี้คือ
ตู้ที่พนักงานใช้ทำงานอยู่บนขบวนรถ มี พหล พรร(พ่อผม) และ ไอ้เด็กติดพ่อ รวม 3 ชีวิต
ขณะที่รถไฟแล่นไปเรื่อย ๆ เวลาขณะนั้นประมาณ ตี 2 ก็ เกิดเหตุการณ์หัวจักรเสีย
ต้องจอดรอเปลี่ยนหัวจักรใหม่ ตอนนั้นรถจอดนิ่ง ๆ รอหัวรถจักร กลางป่าเขามืด ๆ ไฟไม่มี
ในตู้ พห. นั้นมืดมากเพราะหลอดไฟบนตู้เสีย ผมเลยเดินออกมาที่ท้ายตู้ พห. ซึ่งท้ายตู้
พห.นี้ จะมีคล้าย ๆ พวงมาลัย ซึ่งเอาไว้ห้ามล้อ ผมก็มายืนเกาะเอาไว้ มองไปรอบ ๆ
ก็ยังพอมองเห็นอะไรบ้างจากแสงพระจันทร์ ….
…. ผมมองไปรอบ ๆ ก็เห็นเป็นป่า ภูเขา ดูแล้วไม่น่าจะมีบ้านคนแถวนี้ ขณะที่มองเพลิน ๆ
อยู่นั้น ผมก็สังเกตุเห็นแสงไฟสปอดไลท์ สว่าง ๆ มาทาง หัวขบวน เหมือนจะมีรถไฟ
อีกขบวนวิ่งสวนมา ผมก็ไม่สนใจมาก แต่พอขบวนเริ่มเข้ามาใกล้ผมก็มองไป
เป็นขบวนรถโดยสารแต่ตู้โบกี้แปลกมาก เหมือนเป็นโบกี้ที่เลิกใช้งานแล้ว มันดูเก่า
และ โทรมมาก ๆ รถไฟขบวนนี้วิ่งช้า ๆ ผิดสังเกตุ ผมมองไปที่ตู้โดยสารเห็นผู้โดยสารนั่งกันปกติ
แต่ที่แปลกคือ ทุกคนนั่งหันหน้ามองกันและกัน หน้านิ่ง ๆ จ้องหนัากันอยู่
(เขาจ้องหน้ากันเองไม่ได้มองมาที่ผม) แต่เมื่อผมมองไปซักพัก ผู้โดยสารเหล่านั้นเริ่มหันมามอง
ที่ผมพร้อมกัน ตอนนั้นผมรู้สึกแปลก ๆ แล้ว ต่อมาทุกคนเริ่มยิ้มให้ผมแต่ปากของแต่ละคนค่อย ๆ
กว้างขึ้น กว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนเกือบถึงใบหู ตอนนั้นผมอึ้ง บอกไม่ถูกว่า กลัวหรือเปล่า
แต่มันก้าวขาไม่ออก ผมยืนดูรถขบวนนั้นค่อย ๆ วิ่งผ่านไปช้า ๆ ทุกคนยังยิ้มมาที่ผม
และ ขบวนรถนั้นก็ค่อย วิ่งหายไปในความมืด เข้าไปในป่าอีกด้าน
ผมยังยืนเกาะอยู่ที่พวงมาลัยห้ามล้อ ตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ยืนตรงนั้นนานแค่ใหน จนพ่อเดินมาเรียก
ให้เข้าไปในตู้ เพราะรถหัวจักรมาเปลี่ยนแล้ว ขบวนรถของผมจึงค่อย ๆ วิ่งจากจุดเกิดเหตุนั้นไป
ต่อมาเมื่อถึงสถานีปลายทางในตอนเช้า ผมยังไม่เล่าเรื่องนี้ให้พ่อฟัง แต่ถามพ่อว่าช่วงเวลานั้น
ที่เรารอเปลี่ยนหัวจักรอยู่กลางเขา ได้มีขบวนรถโดยสาร วิ่งสวนมาหรือไม่ พ่อบอกไม่มี
เพราะทางนั้นมีรางรถไฟแค่รางเดียวคือรางที่ขบวนผมอยู่ จะมีขบวนอื่นสวนมาได้ยังไง
แค่นั้นแหละ ผมกลับเข้าไปนอนในรันนิ่ง และ ยกเลิกการเที่ยวในวันนั้นทุกรายการทั้งที่พ่อจะพาไป
เล่นน้ำตก และเมื่อกลับมาถึงบ้าน ผมก็เล่าเหตุการทั้งหมดให้พ่อฟัง พ่อบอกว่าที่ตรงนั้นเคยมี
อุบัติเหตุรถไฟตกราง และตู้โบกี้ตกเขาด้วย มีผู้เสียชีวิตมากมาย และหลังจากนั้นผมก็ไม่ค่อยงอแงร้องตามพ่อไปทำงาน แต่ก็ขอไปบ้างนาน ๆ ที....