ประเทศไทยนั้นเป็นเมืองแม่
นานมาแล้วเมื่ออายุ 20 ต้นๆ บังเอิญได้พบกับนักท่องเที่ยวชาวเยอรมัน เป็นชายวัยกลางคนที่ข้างสนามหลวง ไม่ไกลจากวัดพระแก้วนัก ในฐานะศิษย์เก่า AUA ราชดําริห์ ก็เข้าไปทักทายเขา จึงได้ความรู้จากคำพูดของเขาเองว่า "คนเยอรมันไม่ได้ฉลาดมากกว่าคนชาติอื่นหรอก" แต่เป็นด้วย "การถ่ายทอดความรู้"กันมาต่างหาก จึงมีความคิดอยากจะบอกให้คนไทยว่า ประเทศทึ่ประสพความสําเร็จในการพัฒนาประเทศ เขายินดีให้ผู้ทึ่มีคุณภาพ มีความรู้ความสามารถ ในแขนงต่างๆ เข้ามาช่วยสร้างงาน ... ยิ่งมีความรู้ขั้นสูง ... ยิ่งเป็นที่ต้องการ.
เมื่อประมาณ 75 ปีมาแล้ว ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 ใกล้สิ้นสุด อเมริกา และรัสเชีย ต่างคนต่างรีบบุก เข้าไปกรุงเบอร์ลินเพื่อ "กวาด" นักวิทยาศาสตร์ชั้นยอดของเยอรมัน ให้มาทำงานในประเทศของตัวเอง.
เพื่อนสนิทชาวญี่ปุ่นเคยพูดให้ฟังว่า ประเทศญี่ปุ่น ได้รับการถ่ายทอดเรียนรู้ "เทคโนโลยี" จากประเทศเยอรมัน. ( รัฐอาจจําเป็นต้องให้ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ มาวางแผนให้ไทยเข้าสู่่ยุค รุ่งเรือง "ทางเศรษฐกิจเทคโนโลยี") ให้นําหน้าการเกษตรกรรม. ชาวไร่ ชาวนา จะได้มีบ้านติด "แอร์" เสียที.
ขออนุญาต กล่าวถึงเรื่องอื่นๆบ้าง
1 * กำลังทหารของประเทศ ยังมีความสำคัญต้องคงไว้ เพื่อรักษาความสงบ, ช่วยเหลือประชาชนเมื่อมีภัยพิบัติต่างๆ แต่คงไม่ถึง "ต้องพร้อมรบกับประเทศอื่น" ( เพราะเขาไม่ได้มาคนเดียวเหมือนในอดีต ) มีการแบ่งฝ่าย แบ่งข้าง มิหนำซ้ำสงครามที่จะเกิด ก็เป็นสงคราม "ไฮเทค" เป็นสงคราม "กดปุ่ม" ใช้ความก้าวหน้าทางวิทยาการขั้นสูงช่วยชี้เป้า ว่ากำลังพลอยู่ไหน รถถัง, เรือดำน้ำ, เครื่องบินรบ อยู่ที่ใด, ดูสงคราม "อิรัก" เมื่อหลายปีก่อนเป็นตัวอย่าง, เราไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง เอาแต่ทำมาหากินน่าจะดีกว่า. (เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รอง เอากระดูกมาแขวนคอ) การศึก การสงคราม ไม่ว่าจะชนะ หรือแพ้ ก็เหมือนกับการสาดนํ้า คือเปียกทั้งคู่ ยิ่งประเทศไทย ไม่ใช่่ประเทศที่มีรายไดั จากการ "ผลิตอาวุธสงครามขาย" ยิ่งไม่สมควรใหญ่. (การให้ประเทศอื่นเอาอาวุธ / เครื่องมือทําสงครามมาฝาก / เช่่า, "ไม่ใช่่ความคิดที่ดี" ได้ ไม่คุ้มเสีย.) เพราะเวลาเกิดสงคราม ข้าศึก ฝ่ายตรงข้ามจะบุกเข้ามา หรือใช้จรวดนําวิถีทางไกลยิงเข้ามาที่ประเทศไทย ทางประเทศไทยจะอ้างกับชาวโลกว่า "เราเป็นกลาง" ก็พูดได้ไม่เต็มปาก...ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าข้าศึกชนะสงคราม เราก็ติดร่างแหไปด้วย ต้องชดใช้ค่าปรับ (สินไหม) ที่มีส่วนไปทําลาย และฆ่าประชาชนของเขา ถ้าเงินไม่พอค่าปรับ ก็คงต้องเอาประเทศไทยทั้งประเทศไป "จํานอง" เพื่อใช้หนี้สงคราม / ถ้าฝ่ายที่มาเช่่าหรือฝาก เป็นฝ่ายชนะ เขาอาจพูดว่า "อ้าว...ค่าเช่่ากับ สินนํ้าใจ ก็ให้ไปแล้ว ยังจะมา.....ส่วนบัานเมืองเสียหายถูกทําลาย / ผู้คนล้มตาย.. ก็โน่น..ไปฟ้องเอาเอง." (เจ็บไม๊...พี่น้องงง.)
2 * "ป่า" คือทุกสิ่งทุกอย่างทางธรรมชาติ เป็นสมบัติของทุกคน และของโลก เป็นความอยู่รอด และความสุขส่วนรวม ไม่มีใครที่จะสร้างทดแทนได้ หากหมดแล้วซึ่ง พืช-สัตว์-ภูเขา-ต้นน้ำลำธาร เราจะมีความสุขได้อย่าไร? (ทําให้นึกถึงหนังฮอลลี่หวูด เรื่อง SOYLENT GREEN เคยมาฉายที่โรงหนัง "ลิโด้" สยามสแควร์) "ลองคิดดู" หากป่าไม่มีต้นไม้หลากหลายชนิด และมากพอ.. ภูเขาก็ถูกทําลาย ด้วยการได้รับสัมปทาน ให้สิทธิเข้าไปทําลาย เปลี่ยนมาเป็น "ธนบัตร".. นํ้าในลําธาร ก็ไม่สอาด.. สัตว์ไม่มีอาหาร ไม่มีนํ้าดื่ม ไม่มีที่อยู่อาศัย.. และถูกรบกวนโดยคน.. เมื่อสูญไปแล้ว สูญไปเลย.. ไปไหน- มาไหน ก็เจอแต่ คน..คน...คน และก็,..คน. ต่างคน ต่างรัก ตัวเอง... ทํามาหากิน - กันไปวัน ๆ... ปราศจากความสงบ ร่มรื่น ร่มเย็น สวยสดงดงาม ตามธรรมชาติ. แล้วเราจะมีชีวิตที่ดีกันได้อย่างไร ?
* รัฐไม่ควรส่งเสริม หรืออนุญาต ให้บุกรุกป่าโดยอ้าง "เพื่อให้คนยากไร้มีที่ทำกิน"
* หรืออ้างว่าเป็น "ป่าเสื่อมโทรม"
* บ้างก็ (เอาศาสนา?) บังหน้าว่า "แสวงหาความสงบสุข" (ส่วนตัวหรือกลุ่มบุคคล) บุกรุกเข้าไปอยู่ในป่า, ในถ้ำ, ใกล้ลำธาร, น้ำตก อย่างถาวร หรือชั่วคราว (ทําลายสิ่งแวดล้อม / เอาเปรียบคนอื่น ขึ้นสวรรค์ได้รึ ?) (ไม่มีความเชื่อมั่นใน "สปิริต" ของตัวเอง แต่ไปกลัว สปิริต ของคนอื่น ที่เสียชีวิตไปแล้ว = " ผี " นี่มันอะไรกัน.. ปู้โธ่, ไปให้โอกาสคนอื่นเขาเข้ามา เอาเปรียบ - หลอกลวง ) ในปัจจุบัน หากมีอะไรไม่ชอบมาพากล เกิดขึ้นในประเทศไทย คนทั่วโลกเขารู้หมด. มีบางเรื่องที่พูดถึงกัน คือ การ "แบ่งแยก - แล้วปรกครอง" วิธีนี้ เขาจะใช้กับ "ข้าศึกศัตรู" เท่านั้น,ไม่ใช่่มาใช้กับคนชาติเดียวกันเอง.
* มีแม้กระทั่ง อะลุ่มอะหล่วย ให้ครอบครัวที่ดํารงค์ชีวิต อย่าง " สมถะ ? " เขัาไปหา "ของป่า...?" (ซึ่งเท่ากับ "เห็นดีเห็นงาม" อนุญาตให้ หักร้างถางพง ตัดต้นไม้ในป่า - รวมทั้งฆ่าสัตว์ป่ามากินเป็นอาหารด้วย)
* เราต้องช่วยกัน "กันพื้นที่ป่า" ให้้เพิ่มมากขึ้นไม่ใช่่ลดพื้นที่ป่าเอาใจกันอย่างมักง่าย ถือวิสาสะแจกกันอย่างง่ายๆ เหมือนแจกขนม. เมื่อสมัยเป็นเด็กนักเรียนชั้นประถม เวลาใกล้สอบวิชา ภูมิศาตร์-ประวัติศาตร์ ต้องจําให้ได้ว่า ประชากรไทยมี "18 ล้าน" คน. และพ่อเล่าให้ฟังว่า เส้นทางรถยนตร์ จากบ้านเกิด "ตะพานหิน" ไปจังหวัด เพ็ชรบูรณ์ บางครั้งรถยนตร์ต้องหยุดให้ ช้างป่า ข้ามถนนเสียก่อน รถจึงจะไปได้ บางทีก็เป็น กวาง ฯลฯ.
3 * เพื่อความสามัคคี, รักใคร่, เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ของคนไทยทั้งประเทศ การแบ่งชนชั้นต้องไม่มี หรือมีแต่น้อยเท่าที่จำเป็น เช่น รถคุ้มกันขบวน เพื่อความปลอดภัย และเป็นเกียรติควรมีให้เฉพาะบุคคลสำคัญ "หมายเลข 1" เท่านั้น เช่น นายกรัฐมนตรี, ประมุขของไทย, และประมุขของต่างประเทศ.
4 * ก่อน และหลัง วันปีใหม่สากล / ไทย (สงกรานต์) 1 วัน รวมทั้งวันปีใหม่เองด้วย กรุณางดใช้ของเสพติด และมึนเมา ไม่จําเป็นอย่าใช้ จักรยาน,รถมอเตอร์ไซค์,นั่งท้ายรถกระบะ ที่ไม่มีที่นั่ง - ไม่มีเข็มขัด เซฟตี้เบ้ลท์ / หรือไม่ใช้. และอย่าโดยสารไปกับคนขับรถที่คุม สติและอารมย์ ไม่ค่อยอยู่ เพราะอาจจะต้องจ่ายค่าโดยสารด้วยชีวิต หรือแขน/ขา หรือทั้งสองอย่าง... หากเป็นผู้ขับรถเอง ควรคิดถึงความปลอดภัยสําคัญที่สุด กว่าสิ่งอื่นใด...หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนเลน โดยไม่จําเป็น, หากต้องเปลี่ยนเลน ให้ไฟสัญญาณ ประมาณ 5 วินาที (ขึ้นอยู่กับสภาพ จราจร / ดินฟ้าอากาศ) ดูกระจกในรถ-ดูกระจกด้านข้าง-และมองรถด้านข้าง"ผ่านหัวไหล่ตัวเอง" สลับกัน/ไปมา, เมื่อเห็นว่าปลอดภัย จึงเปลี่ยนเลน ให้นุ่มนวล โดยเร่งความเร็วของรถนิดนึง ขณะเปลี่ยน ให้สัมพันธ์กับจราจรขณะนั้น การขับรถต้องไม่คิดว่ารถคันอื่น เขาจะชลอให้...ต้องคิดว่า"เขาจะไม่ชลอให้." หลีกเหลี่ยงอย่าขับเข้าไป "แช่" อยู่ในมุมด้านท้ายของรถ คันที่วิ่งอยู่เลนถัดจากรถเรา (BLIND SPOT). ถ้ามีรถขับมาอยู่ใกล้ท้ายรถเราเกินไป ให้เราเว้นระยะห่าง ระหว่างรถเรากับรถคันหน้าให้มากขึ้น. การใช้รถ ใช้ถนน อย่าขับ "ปาดหน้า" ใดยเฉพาะคนข้ามถนน ขับไปตัดหน้า "หวังสั่งสอน" อย่าทําเด็ดขาด... ไม่ว่าจะเป็นรถอะไร เมื่อขับมาถีงทางแยก ที่ถนนใหญ่ ให้หยุดก่อน ตรงใกล้มุมถนน แล้วจึงค่อยออกมาเมื่อเห็นว่าปลอดภัย. (ในกรณีย์ ไม่มีไฟสัญญาณจราจร / ถ้ามีก็ ปฎิบัติ อย่างระมัด ระวัง มองขวา - มองซ้าย ให้ดีก่อนจะเคลื่อนรถ, จะช้าไปสักนิด... เพื่อไม่ให้เกิดการ"บาดเจ็บ - ล้มตาย"เป็นความคิดที่ดี มันคุ้ม จนเกินคุ้ม เป็นการทําบุญไปในตัวด้วย.) ตามกฏจราจรโดยทั่วไป รถคันที่วิ่ง ไปชนท้ายรถคันหน้า จะเป็นฝ่ายผิดเสมอ, ต้องระวังคนที่มี "อาชีพพิเศษ" ขับรถแล้วจะเบรกกระทันหัน เพื่อให้รถที่ขับอยู่ด้านหลังชน แล้วเรียกร้อง "ค่ารักษาตัว" (คอเคล็ด) และค่าซ่อมรถ. กรณีย์เกิดอุบัติเหตุรถชนกัน ตอนเปลี่ยนย้ายเลน ไม่รู้แน่ว่า "ใครผิด -ใครถูก" รถคันที่ไป "ชนรถด้านคนขับ" มักจะเป็นฝ่ายผิด. เวลารถจอดอยู่กลางถนน "เตรียมเลี้ยวขวา" เพื่อเข้าถนนทางด้านขวามือ, (อย่าลืมเปิดไฟสัญญาณเลี้ยว...สําคัญมากๆ) และ "อย่า" หมุนล้อรถเตรียมไว้ล่วงหน้า รอจนกระทั่งเห็นว่าปลอดภัยถ้าจะเลี้ยว จึงเคลื่อนรถเข้าถนนที่ต้องการ. (ถ้าเราหมุนล้อรถ"เตรียมไว้ล่วงหน้่า" หากเกิดมีรถคันอื่นวิ่งมาชนท้ายรถเรา ก็จะกระแทกรถเราเคลื่อนไปด้านหน้า ไปชนกับรถที่วิ่งสวนมา.)
* ข้อความอื่น : " ประเทศไทยนั้นเป็นเมืองแม่ ประเทศอเมริกาเป็นประเทศที่ให้โอกาส."ขอบคุณ.
ข้อความอื่นๆ....
1 " ขุดคลองไทย ? "
https://board.postjung.com/1261605
2 "การกระจาย และ ถ่วงดุล อำนาจ"
https://board.postjung.com/1260107
3 "เรื่องความเข้าใจไม่ตรงกันของสังคมไทย"
https://board.postjung.com/1237942
4 "ประเทศไทยนั้นเป็นเมืองแม่"
https://board.postjung.com/1222755
5 "ประเทศไทยนั้นเป็นเมืองแม่, ประเทศอเมริกาเป็นประเทศที่ให้โอกาส"