องคุลิมาล หรือ พระองคุลิมาลเถระ เป็นบุคคลสำคัญ ในยุคต้นแห่งพุทธศาสนา เดิมนั้นเป็นโจรปล้นฆ่าคน
พระองคุลิมาลเถระ
หรือ
ท่านพระองคุลิมาล* เป็นบุตรของพราหมณ์ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ในพระนครสาวัตถี มารดาชื่อว่า นางมันตานีพราหมณี เมื่อท่านคลอดจากครรภ์มารดา ได้บังเกิดเหตุอัศจรรย์ คือ บรรดาเครื่องศาสตราอาวุธยุทธภัณฑ์อันมีอยู่ในเรือนนั้นก็ดี เครื่องพระแสงศาสตราวุธของพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ดี ได้บังเกิดเป็นเปลวไฟรุ่งโรจน์โชตนาการ
ฝ่ายปุโรหิตาจารย์ผู้เป็นบิดา เมื่อเห็นเหตุนั้นจึงออกจากเรือนเล็งแลดูฤกษ์บน (ฤกษ์ที่พระจันทร์เสวยประจำวันมี ๒๗ ฤกษ์) ฤกษ์นั้นก็ปรากฏในอากาศประหลาดใจยิ่งนัก ด้วยว่าบุตรนั้นจะเกิดเป็นโจร ครั้นรุ่งเช้าจึงเข้าไปสู่ที่เฝ้า กราบทูลเนื้อความนั้นให้พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงทราบ และในที่สุดได้กราบทูลให้พระองค์ประหารชีวิตเด็กเสีย แต่พระเจ้าปเสนทิโกศลหาทรงทำไม่ ทรงรับสั่งให้บำรุงเลี้ยงรักษาไว้ ปุโรหิตาจารย์ก็อภิบาลบำรุงรักษากุมารนั้นไว้ และให้นามว่า "อหิงสกกุมาร" แปลว่า กุมารผู้ไม่เบียดเบียน
เมื่ออหิงสกกุมารเจริญวัยแล้ว มารดาบิดาจึงส่งไปสู่พระนครตักกสิลา เพื่อจะให้ศึกษาเล่าเรียนวิชา และศิลปศาสตร์ เมื่ออหิงสกกุมารไปถึงพระนครตักกสิลาแล้ว ก็เข้าไปหาอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ขอศึกษาศิลปวิทยา อุตส่าห์กระทำวัตรปรนนิบัติอาจารย์เป็นอันดี และมีปัญญาเล่าเรียนได้ว่องไว แม้จะเล่าเรียนศิลปศาสตร์วิชาการ ใด ๆ ก็รู้จบสิ้นทุกประการ เชี่ยวชาญยิ่งกว่าศิษย์ทั้งปวง จึงเป็นที่โปรดปรานของอาจารย์ทิศาปาโมกข์
ฝ่ายศิษย์อื่น ๆ อันเป็นเพื่อนเล่าเรียนด้วยกันนั้น ก็บังเกิดความริษยา จึงปรึกษากันเพื่อหาอุบายทำลายเจ้าอหิงสกกุมารเสีย เมื่อเป็นที่ตกลงกันแล้วได้ไปยุยงอาจารย์ถึงสองครั้งสามครั้ง ในที่สุดอาจารย์ก็ปลงใจเชื่อ คิดหาอุบายที่จะกำจัดอหิงสกกุมาร เมื่อเห็นอุบายเป็นที่แยบคายแล้ว จึงพูดกับอหิงสกกุมารว่า "ดูก่อนมาณพ เจ้าจงไปฆ่าคนแล้วตัดเอานิ้วมาให้ได้พันนิ้วแล้วจงนำมา เราจะประกอบศิลปศาสตร์อันชื่อว่า วิษณุมนต์ให้แก่เธอ"
ในขั้นต้น อหิงสกกุมารมีความรังเกียจ ไม่พอใจ เพราะตนเกิดในตระกูลพราหมณ์ ไม่ควรเบียดเบียนฆ่าสัตว์ เป็นการผิดประเพณีวงศ์ตระกูลมารดาบิดา แต่ด้วยอาศัยความอยากสำเร็จศิลปศาสตร์อันมีชื่อว่า วิษณุมนต์ จึงได้ฝืนใจทำเริ่มจับอาวุธ ผูกพันให้มั่นกับตัวแล้ว ก็ลาอาจารย์เข้าสู่ราวป่า เที่ยวพิฆาตฆ่ามนุษย์อันเดินไปมาในสถานที่นั้น ๆ
ครั้นฆ่าแล้วมิได้กำหนดนับเป็นจำนวนไว้ ก็บังเกิดลบเลือนสงสัย ตั้งแต่นั้นมาเมื่อฆ่าคนตายแล้วก็ตัดเอานิ้วร้อยเป็นพวงไว้ดุจพวงมาลานับได้ ๙๙๙ นิ้ว เพราะเหตุนั้นจึงมีนามปรากฏว่า "องคุลิมาลโจร" แปลว่า โจรผู้มีนิ้วมือเป็นพวงมาลา
ข่าวคราวเรื่องนี้ก็ระบือกระฉ่อนไปตามนิคมชนบทต่าง ๆ มหาชนมีความสะดุ้งตกใจกลัวจึงพร้อมกันไปเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศล เพื่อกราบทูลให้พระองค์กำจัดเสีย เมื่อพระองค์ทรงทราบแล้วจึงสั่งให้ตระเตรียมกำลังพล เพื่อจะไปจับองคุลิมาลโจรฆ่าเสีย ปุโรหิตาจารย์ผู้เป็นบิดาทราบว่า อันตรายจะมีแก่บุตร จึงปรึกษากับนางพราหมณี ให้นางพราหมณีรีบออกไปก่อนเพื่อบอกเหตุนั้นให้บุตรทราบ
ในกาลครั้งนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหัตตผลขององคุลิมาลโจรว่า ถ้าพระองค์ไม่ทรงเป็นพระภาระก็จะกระทำมาตุฆาต (ฆ่ามารดา) เสีย จักเป็นเหตุเสื่อมจากมรรคผล จึงรีบเสด็จไปแต่เช้าตรู่ เมื่อพบเข้าแล้ว องคุลิมาลโจรก็ตรงเข้าไล่ทันที หมายจะพิฆาตฆ่าเอานิ้วพระหัตถ์
แม้ไล่เท่าไรก็ไม่ทันจนเกิดกายเหนื่อยเมื่อยล้าจึงร้องตะโกนให้พระบรมศาสดาหยุด
พระองค์จึงตรัสบอกว่าพระองค์ได้หยุดแล้ว
แต่เขาก็ยังไล่ตามไม่ทันจึงหาว่าพระองค์ตรัสสมุสาวาท
พระองค์ก็ตรัสบอกว่าเราหยุดจากการทำอกุศลอันให้ผลเป็นทุกข์มานานแล้ว ส่วนท่านยังไม่หยุด
พระสุรเสียงนั้นทำให้องคุลิมาลโจรรู้สึกสำนึก โทษของตน จึงเปลื้องเครื่องศัสตราวุธ และมาลัยนิ้วมือออกจากกายทิ้งไว้ในซอกภูเขา แล้วเข้าไปเฝ้าทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้อุปสมบท ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา แล้วทรงนำเข้าไปในพระเชตวันมหาวิหาร
ครั้นเวลารุ่งเช้าพระองคุลิมาลเข้าไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี ชาวพระนครได้เห็นท่านเกิดความตกใจกลัว พากันวิ่งหนีเป็นอลหม่าน โดยวิ่งเข้าไปในกำแพงพระราชวังปิดประตูพระนครเสีย และพูดจากันต่าง ๆ นานาบางคนพูดว่า
ท่านพระองคุลิมาลปลอมเป็นสมณะเพื่อหลบหนีราชภัย บางคนพูดว่า เพื่อหวังจะประทุษร้ายคนภายในพระนคร
ท่านเที่ยวบิณฑบาตไปถึงไหนก็มีเสียงโจษจันเซ็งแซ่ไปถึงนั่น ไม่มีใครถวายบิณฑบาตเลยแม้แต่เพียงทัพพีเดียว ภิกษุรูปใดไปกับท่านภิกษุรูปนั้นก็พลอยอดไปด้วย
แต่ก็เป็นโชคของท่านอย่างหนึ่งที่ท่านทำน้ำมนต์ให้หญิงมีครรภ์คลอดง่ายที่สุด คือ ครั้งหนึ่ง ท่านทำน้ำมนต์ให้หญิงมีครรภ์คนหนึ่ง หญิงคนนั้นก็คลอดลูกง่ายเหมือนเทน้ำออกจากกระออม
ตั้งแต่นั้นมาก็มีคนนิยมนับถือท่านจนกระทั่งว่า แท่นที่ท่านนั่งนั้นคนเอาน้ำไปรดแล้วใช้เป็นน้ำมนต์ ก็ให้ผลสมความประสงค์เช่นเดียวกัน
คาถาที่ท่านทำน้ำมนต์นั้น ได้แก่ คาถาว่า
ยโตหํ ภคินิ อริยาย ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรเปตา เตน สจฺเจน โสตฺถิ เต โหตุ โสตฺถิ คพฺภสฺส.
แปลว่า "ดูก่อนน้องหญิง ตั้งแต่ฉันเกิดมาแล้วโดยอริยชาติ ยังไม่รู้สึกตัวว่าได้แกล้งปลงชีวิตสัตว์เลยด้วยอำนาจสัจวาจานั้น ขอความสุขสวัสดี จงมีแก่หล่อน และครรภ์ของหล่อนเถิด"
ท่านพระองคุลิมาลนั้นเป็นผู้ไม่ประมาท ตั้งใจเจริญสมณธรรม แต่จิตฟุ้งซ่านไม่เป็นสมาธิได้ เพราะคนที่ท่านฆ่าประดุจดังว่ามาปรากฏอยู่ตรงหน้า พระบรมศาสดาทรงทราบจึงเสด็จมาแนะนำสั่งสอนไม่ให้ระลึกถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว และสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ให้พิจารณาธรรมที่บังเกิดขึ้นเฉพาะหน้าอย่างเดียว ท่านประพฤติตามไม่ช้าก็สำเร็จอรหัตตผล เป็นพระอริยสาวกนับเข้าในจำนวนอสีติมหาสาวกองค์หนึ่ง เมื่อท่านดำรงอายุสังขารอยู่โดยสมควรแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน.
*ท่านพระองคุลิมาล บางตำนานกล่าวว่า ท่านได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดา ว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้สามีบริโภค แต่ในเอตทัคคบาลีไม่ปรากฏว่าท่านได้ดำรงตำแหน่งเอตทัคคะ เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้กล่าวไว้เกรงว่าจะเกิน