ย้อนตำนานของไพร่!! ระบบราชการในสมัยของอยุธยานั้น ได้นำประชาชนลงมาเป็นไพร่??
ไพร่ หมายถึง ราษฎรสามัญทั่วไป ทั้งชายและหญิงที่มิได้เป็นมูลนายและมิได้เป็นทาส มีศักดินา 10-25 (ไร่) ไพร่ทุกคนจะต้องลงทะเบียนขึ้นสังกัดกับมูลนาย อย่างไรก็ตาม ไพร่ชายและหญิงมีความแตกต่างกัน
กล่าวคือ ไพร่ชายจะถูกเกณฑ์มาทำราชการโยธาตามกำหนดเวลาเป็นประจำ สำหรับไพร่หญิงส่วนใหญ่จะเพียงแต่นำมาขึ้นทะเบียนเป็นไพร่ มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ถูกเกณฑ์แรงงานมาใช้ และงานที่ถูกเกณฑ์มาทำมักเป็นงานเบากว่างานของไพร่ชาย
โดยปกติแล้ว เมื่อเอ่ยคำว่า ไพร่ มักหมายถึง ไพร่ชาย คนส่วนใหญ่ในสังคมประมาณร้อยละ 80-90 จะเป็นไพร่ ชนชั้นไพร่จึงนับเป็นพื้นฐานของสังคม
ระบบไพร่ ในสมัยอยุธยา
ระบบราชการในสมัยของอยุธยานั้น ได้นำประชาชนลงมาเป็นไพร่ สังคมอยุธยาจึงมีไพร่มีนาย ตามจดหมายเหตุของลาลูแบร์ได้กล่าวไว้ว่า "ประชาชนชาวสยามรวมกันเป็นกองทหารรักษาดินแดน" ซึ่งทุกคนต้องขึ้นทะเบียนหางว่าวกรมสุรัสวดีเข้าไว้ทั้งหมด ทุกคนเป็นพลรบต้องเกณฑ์เข้าเดือนรับราชการในพระองค์ถึงปีละ 6 เดือน
พลเมืองทั้งหมดต้องขึ้นทะเบียนเป็นหลักฐานไว้โดยแบ่งออกเป็นฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย เพื่อที่ทุกคนจะได้รู้ว่า ตนเองนั้นต้องขึ้นสังกัดหน้าที่อยู่กับฝ่ายใด นอกจากนั้น ยังแบ่งส่วนราชการออกเป็นกรมอีก แต่ละกรมมีหัวหน้าคนหนึ่งเรียกว่า ‘’นาย’’ จนกระทั่งคำว่า ”นาย” นี้เป็นคำแสดงความเคารพยกย่องต่อคนที่มีศักดิ์หรือชนชั้นที่สูงกว่าตน และใช้กันโดยทั่วไปและยังคงใช้กันมาจนถึงปัจจุบันอีกด้วย
ถึงแม้ว่าระเบียบการปกครองในสมัยอยุธยานั้น จะแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ของพลเมืองออกเป็นฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนอย่างชัดเจนก็ตาม แต่ก็ปรากฏว่าใช้ได้แค่ในยามปกติเท่านั้น ครั้นพอเกิดศึกสงครามขึ้นมาจริงๆ เจ้านายทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนก็จะต้องเข้าประจำกองตามทำเนียบตน ทั้งนี้เพราะกำลังพลมีน้อย ไม่อาจแบ่งแยกหน้าที่ป้องกันประเทศไว้ที่ทหารฝ่ายเดียวได้ จำเป็นต้องใช้หลักการรวม จึงทำให้ชายฉกรรจ์ทุกคนต้องเป็นทหาร สมัยอยุธยาและสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเรียกทหารเกณฑ์นี้ว่า “ไพร่”
“ไพร่” เป็นคำที่กินความกว้างขวางมาก นั่นเป็นเพราะความผูกพันที่อยู่กับราชการ มากกว่าทหารเกณฑ์ในยุคปัจจุบันที่มีระยะเวลาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น
แหล่งที่มา: https://plus.google.com/106716743922922367680/posts/F9ahtR6D14nhttps://www.facebook.com/thailabourmuseum
ภาพจาก google