ทำไม "เรือเหาะ" ถึงเสื่อมความนิยม!!!
- เรือเหาะ มาจากไหน ที่มาที่ไปเป็นยังไงบ้างนะ ?
เรือเหาะได้ถูกคิดค้นขึ้นในปี ค.ศ. 1884 เมื่อกองทัพฝรั่งเศสได้สร้างเรือเหาะไฟฟ้าแบบบินได้เสรีขึ้น ชื่อว่า ลาฟร็องซ์ (La France) มีความยาว 52 เมตรและบรรจุแก๊สได้ถึง 1,900 คิวบิกเมตร มีมอเตอร์ใบพัดกำลัง 8½ แรงม้า ด้วยความเร็ว 8 กิโลเมตรต่อ 23 นาทีซึ่งเชื่องช้ามากทำให้เรือบินนี้ถูกใช้งานเพียงสั้น ๆ เรือเหาะเริ่มแพร่หลายเมื่อมีการคิดค้นเครื่องยนต์สันดาปภายในขึ้น
เรือเหาะนั้น เดิมถูกเรียกว่า “บอลลูนที่บังคับได้” (Dirigible balloon) โดยเรือเหาะแบบแรกที่ใช้ประจำในเส้นทางบินเป็นเรือเหาะแบบไร้โครง (non-rigid airship) ซึ่งเป็นเรือเหาะที่ไม่มีโครงประกอบ หรือกระดูกงู เรือเหาะแบบไร้โครงแบบแรกที่ประสบความสำเร็จที่สุด คือ เรือเหาะของ นายเอาแบร์ตู ซาตูส-ดูมง (Alberto Santos-Dumont) วิศวกรชาวบราซิล เขาบูรณาการบอลลูนกับเครื่องยนต์สันดาปภายในได้อย่างมีประสิทธิผล ในวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 1901
ในช่วงเวลาเดียวกัน เรือเหาะแบบไร้โครงก็เริ่มฉายแวว เมื่อเรือเหาะ LZ 1 ที่สร้างขึ้นโดยวิศวกรชาวเยอรมัน เคานต์แฟร์ดีนันด์ ฟอน เซพเพลิง (Ferdinand von Zeppelin) ซึ่งมีความยาวถึง 128 เมตร ขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์ 14.2 แรงม้าสองตัว มีความเร็วเป็นเท่าตัวของลาฟร็องซ์ ได้ขึ้นบินเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1900 แต่จากสภาพอากาศและตัวรักษาสมดุลเสียหายทำให้เรือเหาะตกลงในทะเลสาบโบเดิน
ท่านเคานต์ต้องใช้เวลาอีกหลายปี กว่าจะระดมทุนสร้างเรือเหาะลำใหม่ขึ้นมาได้ บริษัทของเซพเพลิงกลายเป็นผู้ผลิตเรือเหาะรายใหญ่ที่สุด เยอรมนีกลายเป็นชาติที่มีเทคโนโลยีเรือเหาะล้ำหน้าที่สุดเหนือชาติต้นตำรับอย่างฝรั่งเศส
เรือเหาะได้ถูกใช้งานทั้งในด้านพลเรือนและทหารไปอีกราว 3 ทศวรรษ (30 ปี) มีการเปิดเส้นทางบินมากมาย โดยเส้นทางที่ได้รับความนิยมที่สุดคือเส้นทางระหว่างยุโรปกับสหรัฐอเมริกา
การเดินทางโดยเรือเหาะถือเป็นการเดินทางระดับหรูหรา บรรจุผู้โดยสารได้ 40 – 75 คนต่อเที่ยว ว่ากันว่าค่าโดยสารนั้น หากเทียบกับในสมัยนี้แล้วสามารถซื้อรถยนต์ได้สักคัน ต่อ ตั๋วผู้โดยสารหนึ่งคน เลยทีเดียว
- เรือเหาะ กับบทบาทในช่วงสงครามโลก
จริงๆ แล้ว เรือเหาะเองก็เคยมีบททบาทในระดับสงครามโลกเช่นกัน แต่บทบาทนั้นถูกลดลั่นต่างกันออกไป อย่าง ในสงครามโลกครั้งที่ 1 บรรดาทหารได้มีการนำเอาเรือเหาะมาใช้ขนระเบิดเพื่อโจมตีเป้าหมายในช่วงแรกๆ แต่หลังสงครามก็ได้มีการพัฒนาอากาศยานแขนงใหม่ออกมามากมาย ทำให้ภายในเวลาไม่กี่ปี เรือเหาะจึงได้ถูกลืมเลือนไป
นอกจากนี้ เรือเหาะเอง หากให้เปรียบเทียบแล้ว จากการที่ใช้ไนโตรเจน เพื่อให้ตัวเรือเหาะลอย ก็เหมือนถังแก๊ซติดไฟ เป็นเสมือนเป้านิ่งของเครื่องบินข้าศึกดีๆ นี่เอง และถ้าหากนับรวมกับเหตุการณ์ เรือเหาะฮินเดนเบิร์ก (Hindenburg Zeppelin) ทำให้เรือเหาะนั้น แทบจะถูกถอนออกจากการใช้ในยุคสงครามเลยทีเดียว
ส่วนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น จะเปลี่ยนมาใช้ และพัฒนาเครื่องบินขับไล่ เครื่องบินทิ้งระเบิด และอาวุธต่อต้านอากาศยานแทน ทั้งนี้ก็เพราะเหตุผลในความคล่องตัวในการเคลื่อนที่ในอากาศ และความเร็วต่างๆ ในการขนส่งอาวุธ หรือเสบียงแทน
- แล้วทำไมถึงได้เสื่อมความนิยมลงละ ?
เรื่องนี้เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1937 (ปี พ.ศ. 2480) เมื่อเรือเหาะฮินเดนเบิร์ก (Hindenburg Zeppelin) เรือเหาะของเยอรมันเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ ขณะลงจอดที่เมืองเลคเฮิร์ส (Lakehurst) รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา
โดยฮินเดนเบิร์กเป็นเรือเหาะขนาดใหญ่และหรูหราทีสุดในโลก สร้างโดยบริษัท Luftschiffbau Zeppelin ในปี 2478 มีความยาวถึง 245 เมตร กว้าง 41 เมตร (ขนาดใหญ่กวาเครื่องบินโบอิง 747 ต่อกัน 3 ลำเสียอีก) ใช้เดินทางในการข้ามประเทศ หรือข้ามทวีป
ภายในเรือเหาะลำนั้น สามารถบรรจุผู้โดยสารและลูกเรือได้ทั้งหมด 111 คน ใช้ก๊าซไฮโดรเจนถึง 2 แสนลูกบาศก์เมตร เป็นตัวยกให้ลอยขึ้น และใช้เครื่องยนต์ดีเซลกำลัง 1,200 แรงม้าเป็นตัวขับเคลื่อน
ค่าโดยสารระหว่างเยอรมนีถึงเมืองเลคเฮิร์ส 400 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าแพงมาก มีค่าเท่ากับประมาณ 6,100 เหรียญฯ หรือมากกกว่า 200,000 บาท ในปัจจุบัน ทำให้ผู้โดยสารส่วนใหญ่จึงเป็นคนชั้นสูงและนักธุรกิจเจ้าของกิจการเสียมากกว่า
เรื่องเกิดขึ้น ในเที่ยวสุดท้าย หลังจากเที่ยวบินที่ออกจากเยอรมนี เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม เมื่อไปถึงเมืองเลคเฮิร์ส ระหว่างที่กำลังจะลงจอดก็ได้ประสบอุบัติเหตุถุงไฮโดรเจนรั่ว แล้วเกิดไฟลุกและระเบิดกลางอากาศ ไหม้หมดอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่นาที
อุบัติเหตุในครั้งนั้น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 36 คน จากจำนวนผู้โดยสาร 97 คน (มีผู้เสียชีวิตที่ เป็นผู้โดยสาร 13 คน, ลูกเรือ 22 คน, มีลูกเรือภาคพื้นดินเสียชีวิตด้วยอีก 1 คน) โดยผู้โดยสารที่อยู่ในห้องโดยสารปลอดภัยทั้งหมดเนื่องจากเปลวไฟที่ร้อนจัดพัดขึ้นเบื้องสูง ลูกเรือที่ตายส่วนมากเนื่องจากได้พยายามเข้าไปช่วยผู้โดยสารที่อยู่ในห้องโดยสารหรือที่โดดลงมาก่อน
แต่อุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้การโดยสารด้วยเรือเหาะเสื่อมความนิยมลงทันที หลายคนหมดความเชื่อมั่นในการเดินทางด้วยเรือเหาะ และหันไปโดยสารเครื่องบินที่แม้จะอึดอัด คับแคบกว่า แต่ก็เร็วกว่ามากแทน และพฤติกรรมดังกล่าว ทำให้เครื่องบินได้รับความนิยมกว่าในการเดินทางจนมาถึงปัจจุบันอีกด้วย
แน่นอนว่าหลังจากที่เรือเหาะเสื่อมความนิยมลง บวกกับสภาวะสงคราม ทำให้เครื่องบินถูกนำเข้ามาแทนที่ เรือเหาะกลายเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ ของ นวัตกรรมการเดินทางบนอากาศ และกลายเป็นสิ่งที่หาได้ยากในยุคสมัยปัจจุบัน