หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

สายลับพลังจิต

โพสท์โดย มารคัส

 

ข้อมูลเกี่ยวกับเบื้องหลังความเป็นมาของการพัฒนาใช้พลังจิต ในการทหารของโซเวียตนี้ ส่วนใหญ่ก็ได้มาจากการให้สัมภาษณ์ของนักจิตวิทยาชาวโซเวียตที่มีนามกรว่า นิโคโล โคคลอฟ (Nikolai Khokholv) ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้ใกล้ชิดในการค้นคว้าวิจัยเรื่องนี้มากที่สุดผู้หนึ่ง ปัจจุบันนี้เขาได้ขอลี้ภัยอยู่ในสหรัฐฯ และเข้าทำงานอยู่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ซานเบอร์นาร์ดิโน ย้อนความหลังครั้งกระโน้นในปี พ.ศ. 2484 คุณพี่โคคลอฟนี้ก็เคยทำงานให้กับองค์การ เอ็นเควีดี (NKVD) ซึ่งเป็นต้นกำเนิดขององค์การเคจีบีในปัจจุบันนี้ซึ่งในตอนนั้นเขาอายุได้ 19 ปี เขาได้เริ่มงานสายลับด้วยการปลอมเป็นนักบันเทิงอาชีพที่มีนามกรว่า นิโคโล โวลิน เพื่อหลอกล่อทหารเยอรมันเข้าไปสังหารในห้องชมคอนเสิร์ต และต่อมาก็เปลี่ยนนามใหม่เป็น อเล็กซี คริลอฟ เพื่อทำหน้าที่เป็นทหารปฏิบัติการหลังแนวข้าศึกหลังจากนั้นอีกไม่นาน ด้วยหน้าที่จารชนก็จำต้องเปลี่ยนชื่อเป็นร้อยตรี ออตโต วิตต์แกนสไตน์ จนกระทั่งมาปฏิบัติการครั้งสุดท้าย เขาได้รับมอบหมายหน้าที่ให้คุมลูกสมุนไปสังหารนาย จีออร์กีเอสโอโคโรวิช ซึ่งเป็นหัวหน้าต่อต้านคอมมิวนิสต์ในแฟรงเฟิร์ตของเยอรมนีตะวันตก ซึ่งปรากฏว่าทำงานไม่สำเร็จและไม่อาจจะบากหน้ากลับประเทศได้ก็เลยขอลี้ภัยใน เยอรมนี

ในช่วง 2-3 ปีแรกหลังจากลี้ภัยนั้นโคคลอฟว่างงาน จึงเดินทางท่องเที่ยวไปในสหรัฐฯ และยุโรปอย่างไร้จุดหมายปลายทาง จะกระทั่งในที่สุด เขาก็ได้สมัครเข้าเรียนปริญญาเอกในสาขาจิตวิทยา และนี่เองที่เป็นเหตุให้เขาได้พบกับหัวหน้างานด้านปรจิตวิทยาของอเมริกา และในปี พ.ศ. 2511 เขาก็ได้เขียนเอกสารสัมมนาเรื่อง "ความสัมพันธ์ระหว่างปรจิตวิทยากับค่ายคอมมิวนิสต์" (The Relationship of Parapsychology to communism) ในเอกสารสัมมนาฉบับนี้ โคคลอฟได้กล่าวอธิบายไว้ว่า ก่อนยุคที่จะมีการศึกษาด้านปรจิตหรือพลังจิตอย่างจริงจังนั้น ชาวรัสเซียมีความเชื่อในเรื่องผีสางและเวทมนตร์มาเป็นเวลาหลายศตวรรษแล้ว เช่นมีความเชื่อว่าหมอผีสามารถรักษาคนเจ็บให้หายได้โดยการวางมือแตะลงไป เพียงครั้งเดียว พอมาถึงในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ก็ปรากฏว่าองค์การข่าวกรองและหน่วยงานทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ของรัสเซียได้หยิบยกเรื่องของพลังจิต การสะกดจิต และปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ มาศึกษาวิจัยกันอย่างจริงจัง

ในปี พ.ศ.2440 นักประสาทวิทยาของโซเวียตชื่อ วี.เอ็ม เบคห์เทอเรฟ ได้ก่อตั้ง สถาบันจิตประสาท (Psychomeural Institute) ขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะศึกศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างจิตวิทยาและปรจิต วิทยาจนเกิดการปฏิวัติขึ้นในปี พ.ศ. 2460 การศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้ก็ต้องหยุดชะงักและเปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างสิ้น เชิง ทั้งนี้เพราะลัทธิมาร์กซิสนั้นปฏิเสธที่จะยอมรับเรื่องปรากฏการณ์ลึกลับของ จิตหรือเรื่องวิญญาณ และผู้นำโซเวียตในสมัยนั้นเชื่อว่า เรื่องปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติเหล่านี้เป็นเรื่องที่เหลวไหลไร้สาระ แต่อย่างไรก็ตาม งานศึกษาด้านพลังจิตก็ยังดำเนินต่อไป และมาฟูเฟื้องอีกครั้งหนึ่งในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 เมื่อ ดร.เลโอนิค วาซิลิเอฟ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเบคห์เทอเรฟ แห่งสถาบันวิจัยสมองเลนินกราด (Leningrad Institute of Brani Research) ได้ทำการวิจัยการส่งโทรจิต (teltpathe) ระยะไกล แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจากกลัวเกรงความผิดของกฎหมาย เขาจึงปกปิดงานวิจัยชิ้นนี้เงียบไว้จนกระทั่งสตาลินถึงแก่อสัญกรรม จึงได้เปิดเผยออกมา จึงได้รู้ว่าวาซิลิเอฟ ได้แบทำการทดลองในเรื่องนี้ไปแล้วนับร้อยครั้งทีเดียว

Nikola Tesla

วาซิลิเอฟเปิดเผยว่า ในการทดลองครั้งหนึ่ง เขาได้ผู้นำร่วมทดลองไปนั่งในห้องที่ได้รับการป้องกันกระแสไฟฟ้า และให้นักจิตวิทยาหรือนักพลังจิตเพ่งกระแสจิตไปบังคับให้ผู้ร่วมทดลองดัง กล่าวง่วงนอนและหลับไปในที่สุด ในการทดลองอีกอันหนึ่ง เขาก็ได้จับนักพลังจิตขังได้ที่เลนินิกราดในขณะที่นำผู้ร่วมทดลองที่เป็น เหยื่อไปอยู่ที่เมืองเซวาสโตพอล ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีก 1000 ไมล์ ซึ่งผลการทดลองก็ปรากฏว่า เหยื่อถูกสะกดจิตทางไกลให้นอนหลับและปลุกให้ตื่นได้ในเวลาตรงกันกับที่นัก เพ่งพลังจิตส่งกระแสจิตออกมา

หลังจากที่สตาลินตายไปแล้วนั้น นอกจากจะมีการเปิดเผยผลงานวิจัยของวาซิลิเอฟแล้ว ก็ปรากฏว่ามีนักวิจัยของรัสเซียอีกเป็นจำนวนมากได้เผยแพร่ผลงานวิจัยของตน ออกมา และพอโซเวียตเปลี่ยนผู้นำใหม่เป็นคุณพี่ครุชเซฟ ในราวปี พ.ศ. 2498 ดินแดนหมีก็กลับฟูเฟื่อง และรุ่งเรืองในด้านพลังจิตอีกครั้งหนึ่ง เพราะผู้นำคนใหม่ของโซเวียตชอบเรื่องนี้และก็บ้าโยคะถึงขนาดบินไปอินเดีย เพื่อศึกษาเรื่องนี้เพื่อนำมาฝึกสอนให้กับชาวโซเวียต ซึ่งพอกลับจากอินเดียแล้ว ครุชเชฟก็มีคำสั่งว่า "เราต้องมีโยคีของเราเองให้ได้..ในวันพรุ่งนี้"

การประกาศให้ความสนับสนุนของครุชเชฟในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 50 นี้ มีผลต่อการพัฒนาอาวุธพลังจิตของโซเวียตอย่างมาก เพราะหลังจากนั้นคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตก็ได้เริ่มทำการ ระดมนักวิทยาศาสตร์จัดตั้งห้องปฏิบัติการปรจิตวิทยาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่ปรากฏว่านักวิทยาศาสตร์ โซเวียตก็ฮึกเหิมอยู่ได้ไม่นานก็ต้องหุบ เพราะในราวปี พ.ศ. 2503 นิตยสารของฝรั่งเศส ชื่อ Science et Vie ได้รายงานว่า กระทรวงกลาโหมของอเมริกันก็ได้มีการวิจัยเรื่องพลังจิตเช่นกัน

กล่าวคือ ทหารสหรัฐฯ ได้ทำการทดลองการส่งข่าวสารทางโทรจิตจากห้องปฏิบัติการเวสติงเฮาส์ใกล้บัล ติมอร์ไปยังลูกเรือบนเรือดำน้ำนอร์ติลุสซึ่งดำน้ำอยู่ใต้น้ำแข็งทวีป อาร์กติกที่ลึกถึง 4 ไมล์

แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายตะวันตกก็ปฏิเสธบทความรายงานการทดลองในครั้งนี้ "เราไม่รู้เรื่องใด ๆ เกี่ยวกับการทดลองนี้เลย" เกลนน์ บราวน์ ผู้จัดการด้านติดต่อสื่อสารที่ศูนย์เวสติงเฮาส์ดีเฟนซ์ แอนด์ อิเล็กทรอนิกส์ (Westing house Defense and Electronics Center) ในบัลติมอร์ กล่าว และเขายังกล่าวต่อไปอีกว่า ทางบริษัทก็ไม่เคยทำการวิจัยทางจิตวิทยาดังกล่าวนี้แต่อย่างใด

Harry Solomon หัวหน้าวิศวกรของ
Westing house Defense and Electronics Center
คนปัจจุบัน

ในปี พ.ศ. 2505 หลังจากที่โซเวียตได้ทราบข่าวว่า สหรัฐฯ กำลังทำการวิจัยในเรื่องนี้ไล่กวดอยู่ ก็รีบตีกรรเชียงหนีห่างด้วยการมอบอำนาจให้วาซิลิเอฟ ควบคุมห้องปฏิบัติการลับในเลนินิกราดและพอถึงช่วงกลางคริสต์ทศวรรษที่ 60 รัฐบาลเครมลินก็ประกาศตั้งห้องปฏิบัติการสำหรับศึกษาวิจัยและประยุกต์ใช้ พลังจิตเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก

รายละเอียดเกี่ยวกับงานวิจัยลับของโซเวียตนี้ ส่วนหนึ่งก็ได้มาจากคำบอกเล่าของนาย อับราฮิม ซิฟริน ซึ่งในอดีตเคยเป็นที่ปรึกษากระทรวงยุทธาการของโซเวียต แต่ในปัจจุบันนี้ขอลี้ภัยอยู่ในอิสราเอล เขาได้ทำงานกับรัฐบาลโซเวียตอยู่จนกระทั่งปี พ.ศ.2496 ก่อนที่จะถูกพิพากษาให้ส่งตัวไปยังค่ายกักกันในข้อหาทำจารกรรม และที่เคยกักกันนี้เขาได้รู้จักกับนักปรจิตวิทยาของโซเวียตและ กูรู หรือผู้นำทางศาสนาจากธิเบต เขาเล่าว่า พวกเขาทั้งสามคนได้รวมหัวกันวิจัยเรื่องโยคะ ซึ่งก็ทำให้ได้รับความสนใจจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสถาบันวิจัยลับ หลังจากที่ชิฟรินถูกปล่อยตัวในปี พ.ศ.2506 เขาก็ถูกชวนให้เข้าทำงานในห้องปฏิบัติการลับแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนถนน โบล ชายา คอมมิวนิสติชิสกายา ในใจกลางกรุงมอสโคว์ ณ ที่แห่งนี้เองทำให้เขาได้รู้จักกับ ดมิตริเมอร์ซา ซึ่งเป็นผู้อำนวยการบริหารและ โซโลมอน เกลเลอร์สไตน์ ซึ่งเป็นอำนวยการด้านวิทยาศาสตร์ของห้องปฏิบัติการ

บุรุษทั้งสองท่านนี้ได้บอกเขาว่าห้องปฏิบัติการแห่งนี้ตั้งขึ้นในช่วงกลาง คริสต์ทศวรรษที่ 50 หลังจากที่ครุชเชฟไปทัวร์อินเดีย งานวิจัยที่นี่เป็นงานลับสุดยอด เจ้าหน้าที่ที่ทำงานในนี้ก็มีทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักพลังจิตหรือแม้แต่หมอวิเศษที่ไปควานหาตัวมาจากทั่วประเทศ ชิฟรินกล่าวว่า "พวกเขาบอกว่าถ้าผมมาร่วมงานกับพวกเขา ผมจะได้รับเงินเดือนและแฟลตดี ๆอยู่"

ในดินแดนคอมมิวนิสต์รัฐบาลเสนอขอดีให้อย่างนี้ไม่รับก็โง่ละ ดังนั้นชิฟรินก็เลยรับข้อเสนอยอมทำงานในห้องปฏิบัติการแห่งนั้นซึ่งก็ให้เขา ได้ทำงานใกล้ชิดกับนักวิทยาศาสตร์ของโซเวียต ชิฟรินเล่าต่อไปว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เกลเลอร์สไตน์ป่วยต้องไปนอนโรงพยาบาล และวันหนึ่งขณะที่เขาข้าไปเยี่ยมก็ได้พบว่ามีนักบินอวกาศโซเวียตสามคนมา เยี่ยม "ผมก็เลยถามเกลเลอร์สไตน์ว่า ทำไมเขาถึงให้ความสำคัญถึงขนาดที่นักบินอวกาศต้องมาเยี่ยม " ชิฟรินเล่าถึงความหลัง" และเขาก็ตอบผมว่า เขาเป็นผู้ฝึกโทรจิตให้กับนักบินอวกาศเหล่านั้น"

กูรูโยคะของชิฟริน

จากการตรวจสอบในเวลามาพบว่า เรื่องที่ชิฟรินเล่านี้เป็นความจริง ซึ่งตรงกับข่าวที่ได้จากแหล่งข่าวแห่งหนึ่งที่บอกว่า นายเกลเลอร์สไตน์ได้ตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับการฝึกสอนนักบินอวกาศ ในการทำนายหรือพยากรณ์เหตุการณ์ล่างหน้า (precognition) และจากบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร "โซเวียตมาริไทม์ นิวส์" (Soviet Maritime News) ได้ยืนยันว่า "การฝึกทางพลังจิตดังกล่าวนี้ได้รับการบรรจุเข้าใว้ในหลักสูตรการฝึกนักบิน อวกาศของโซเวียตแล้ว"

จากการสืบทราบขององค์การข่าวกรองทางทหารของสหรัฐฯ พบว่า ห้องปฏิบัติการลับทางพลังจิตของเกลเลอร์สไตน์นี้ ไม่ใช่เป็นห้องปฏิบัติการเพียงแห่งเดียวที่อยู่ในโซเวียต แต่ยังมีงานวิจัยลับทางพลังจิตที่วิจัยอยู่ตามสถาบันอื่นด้วย อาทิเช่น สถาบันปฏิบัติการทางประสาทขั้นสูง (Pavlov Institute of Higher Neurons Activity) ในมอสโคว์. สถาบัน ดูรอฟ (Durov Institute) และสถานีทดลองในไซบีเรีย และมาเมื่อปี พ.ศ. 2518 นี้รายงานข่าวกรองที่จั่วหัวว่าการวิจัยปรจิตวิทยาของโซเวียต และเชคโกสโลวาเกีย" ก็ได้เปิดเผยให้ทราบว่า ยังมีห้องปฏิบัติการวิจัยด้านพลังจิตอยู่

โคคลอฟได้เปิดเผยถึงวัตถุประสงค์ของการพัฒนาอาวุธพลังจิตของ โซเวียตว่า พวกเขามีจุดมุ่งหมายที่จะ "ควบคุมจิตใจ" ของมนุษย์ให้ได้ ซึ่งคำกล่าวนี้ได้รับการยืนยันจาก ลาริสซา วิเลนสกายา ซึ่งเป็นแหล่งข่าวด้านการค้นคว้าพลังจิตของโซเวียตว่าเป็นความจริง

เรื่องราวเขย่าขวัญของวิเลนสกายาเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2511 เมื่อหล่อนได้รับมอบหมายให้ทำงานล่วงเวลาที่ห้องปฏิบัติการ ไบโออินฟอร์เมชั่น (bioniformation) ของสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวิทยุอิเล็กทรอนิกส์ และสื่อสาร เอ.เอส.โปปอฟ (A.S.Popov Scientific and Technological Society of Radioelectronics and Communication) ซึ่งเพิ่งตั้งขึ้นใหม่ในกรุงมอสโคว์ห้องปฏิบัติการแห่งนี้มี ดร.อิปโพลิต บี.โคแกน เป็นผู้อำนวยการ มีคนทำงานทั้งในเวลาปกติ 5 คน และมีเจ้าหน้าที่ทำงานล่วงเวลาและอาสาสมัครช่วยงานอีกเป็นจำนวนถึง 300 คน

Nina Kulagina นักพลังจิตที่มีชื่อเสียงของรัสเซีย

วิเลนสกายาเปิดเผยว่า หัวข้อของการวิจัยของห้องปฏิบัติการแห่งนี้มีทั้งการศึกษาใช้พลังจิตในการ รักษาโรค,การทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า การนั่งทางในมองตรวจการณ์ระยะไกล (remote viewing) และรวมทั้งการศึกษาการใช้ผิวหนังในการแยกสีและภาพโดยใช้เพียงการสัมผัส แต่ทางการโซเวียตก็อ้อมแอ้มบอกว่าเป้าหมายของการวิจัยต้องการเพียงแค่หาหลัก การทางฟิสิกส์ง่าย ๆ มาอธิบายปรากฏการณ์ทางจิตเท่านั้น..แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีข่าวลือแพร่สะพัดออกมาว่า นักวิจัยของห้องปฏิบัติการแห่งนี้ได้รับคำสั่งให้ทำการทดลองควบคุมจิตใจ มนุษย์ด้วย ซึ่งก็สร้างความไม่พอใจแก่นักวิจัยอย่างมาก และในที่สุดในปี พ.ศ. 2518 ห้องปฏิบัติการแห่งนี้ก็ถูกปิด จนกระทั่งในอีกสามปีต่อมา ทางการโซเวียตได้มีคำสั่งให้เปิดหน่วยงานที่เรียกว่า "ชีวอิเล็กทรอนิกส์" (Bioelectronice) แทนห้องปฏิบัติการดังกล่าว และคราวนี้ปรากฏว่าในคณะกรรมการอำนวยการทั้งหมด 25 คนมีทหารรวมอยู่ด้วย 3 คน

"ในขณะที่ห้องปฏิบัติการไบโออินฟอร์เมชันเปิดให้ใช้ได้อย่างอิสระ" วิเลนสกายากล่าว

"ห้องปฏิบัติการชีวอิเล็กทอรนิกส์อันใหม่นี่กลับค่อนข้างจะเข้ไปได้ยาก เพราะมีการควบคุมอย่างเข้มงวด คุณจะต้องมีบัตรผ่านพิเศษจึงจะเข้าไปในนั้นได้" หล่อนอธิบายต่อไปอีกว่า หลังจากที่ห้องปฏิบัติการแห่งนี้เปิดแล้ว คณะทำงานซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของทหารก็ได้เริ่มการคัดเลือกคนเป็นจำนวน นับร้อย ๆ คน เพื่อใช้ในการทดลองพลังจิต ซึ่งการวางแผนทดลองอันใหม่นี้จะเน้นหนักไปที่การควบคุมจิตใจ

วิเลนสกายาได้หนีออกมาจากสหภาพโซเวียตในปี พ.ศ. 2522 หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่ในอิสราเอลสองปี ก่อนที่จะอพยพไปอยู่สหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2524 ปัจจุบันนี้เธอประกอบอาชีพเป็นครูสอนวิชาเดินลุยไฟในซานฟรานซิสโก และก็เป็นบรรณาธิการวารสาร "ไซ รีเสิร์ช" (Psi Research) ซึ่งบทความส่วนใหญ่ที่ตีพิมพ์ลงใยวารสารเล่มนี้ก็เป็นบทความที่เธอแปลจาก เอกสารการวิจัยพลังจิตที่เธอขโมยออกมาจากโซเวียต หล่อนคาดว่าในขณะนี้ โซเวียตคงมีองค์การพลังจิตอยู่อย่างน้อยที่สุด 12 องค์การ และมีคนทำงานเต็มเวลา ไม่น้อยกว่า 100 คน

ยูริ เกลเลอร์ นักพลังจิตที่มีชื่ออีกคนนึงจากอิสราเอล

วิเลนสกายา ให้ข้อสังเกตว่าการวิจัยด้านพลังจิตในช่วงหลังนี้ โซเวียตมีเป้าหมายที่จะนำไปใช้ในทางที่ชั่วร้ายหรือไปใช้ในทางทหารมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น นักพลังจิตวิทยาชื่อ วลาอิล คาสนาเซเยฟ ได้รายงานถึงการใช้พลังจิตช่วยแพร่เชื้อจากเซลล์เชื้อโรคไปยังเซลล์ดีที่ถูก แยกจากกันด้วยแผ่นควอร์ตซ์ รายงานอีกชิ้นหนึ่งก็ชี้ให้เห็นว่า โซเวียตกำลังพยายามจะสร้างอาวุธหรือเครื่องจักรพลังจิตที่สามารถเหนี่ยวนำ การเต้นของหัวใจได้

ผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐฯ ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า ถ้าโซเวียตทำโครงการที่ว่านี้สำเร็จแล้วละก็ พวกเขาก็คงจะทำตามวิถีทางของโซเวียต คือใช้ไปในทางที่ชั่วร้ายเหมือนพวกพ่อมดหมอผีอย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ดี พวกลัทธิมาร์กซิสอย่างโซเวียตนั้น ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์เลย ดังนั้นนักปรจิตของโซเวียตจะต้องค้นหาวิธีทางฟิสิกส์มาอธิบายเรื่องการเดิน ทางของข่าวสารทางกระแสจิต ซึ่งทฤษฎีของโซเวียตในปัจจุบันนี้ก็เชื่อว่า แม่เหล็กไฟฟ้าเป็นกุญแจสำคัญในการที่จะไขปัญหาในเรื่องนี้ "มันเป็นความคิดที่รวบรัดเกินไปแต่มันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้" นักฟิสิกส์นิวเคลียร์ ผู้มีนาวกรว่า เอลิซาเบธรอสเชอร์ ซึ่งเป็นอาจารณ์สอนวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพอยู่ที่มหาวิทยาลัยจอรห์นเอฟ.เคนเน ดี ในโอรินดา แคลิฟอร์เนียกล่าว คลื่นสมองประกอบด้วยพลังงานทางแม่เหล็กไฟฟ้าและสมองของคนเราก็เปรียบเสมือน สายอากาศทรงกลมขนาดใหญ่ที่ส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกไปทุกทิศทุกทาง หากมีคนรับคลื่นพลังจิตนี้ได้ละก็ เราก็เรียกว่า "การส่งโทรจิต"

หลักฐานที่ยืนยันว่า โซเวียตเชื่อในแบบจำลองทางทฤษฎีนี้ก็ได้มาจากเครื่องไม้เครื่องมืที่นัก วิจัยพลังจิตของโซเวียตใช้งานอยู่เป็นประจำนั่งเอง ยกตัวอย่างเช่น "เครื่องไบโอพลาสโมกราฟ" (bilplasmograph) ซึ่งใช้ผลึกของเหลวชนิดพิเศษที่ใช้สำหรับวัด "สนามชีวะ" (biofield) รอบๆ ตัวมนุษย์ นายพล เจนนาดิเอ เซอร์เจเยฟ แห่งกองทัพเรือโซเวียตซึ่งเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องมือนี้ขึ้นมาก กล่าวว่าเครื่องไบโอพลาสโมกราฟสามารถจะใช้วัด "การเปลี่ยนแปลงแรงแม่เหล็ก" ที่อยู่รอบๆ ตัวนักพลังจิตได้

การทดลองพลังจิตของ Nina Kulagina

นอกจากนี้แล้วก็มีรายงานว่าโซเวียตก็ยังมีเครื่องจักร (อาวุธ) พลังจิตอีกชิ้นหนึ่งมีเชื่อว่า ลิดา (Lida) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้หลักการทางแม่เหล็กไฟฟ้าในการเปลี่ยนสภาวะความนึก คิดหรือจิตสำนึก ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ นักวิทยาศาสตร์สาขาประสาทวิทยาของสหรัฐฯ ชื่อ ดับบลิว. รอสส์ เอดีย์ ซึ่งทำงานอยู่ที่ศูนย์บริการแพทย์ทหารผ่านศึก (Veterans Adiministration Medical) ในโลมาลินดาซึ่งมีขนาดเท่ากล่องใส่รองเท้านี้ทอดลองกับแมว ก็ปรากฏผลว่าสามารถชักนำจิตใจของเจ้าแมวให้หลับได้เป็นเวลานาน

ยิ่งไปกว่านั้น โคคลอฟยังได้เปิดเผยกับนักเขียนของ ออมนิ อีกว่า ขณะนี้โซเวียตได้พัฒนาใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าดังกล่าวนี้เพื่อควบคุมคนทั้ง โลกกันแล้วโดยตลอดช่วงเวลา 30 ปีที่ผ่านมานี้โซเวียตได้ยิงคลื่นไมโครเวฟใส่สถานฑูตสหรัฐฯ ในกรุงมอสโคว์อยู่เป็นประจำ ซึ่งคาดกันว่าคงมีจุดประสงค์ที่จะรบกวนจิตใจหรือสร้างพฤติการอันไม่พึง ประสงค์ให้แก่นักกรทูตสหรัฐฯ และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 เป็นต้นมา โซเวียตก็ขยายการปฏิบัติการรุนแรงขึ้นถึงขั้นงัดเอาอาวุธพลังจิตขนาดใหญ่ออก มายิงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในย่านความถี่ 2-20 เฮิรตซ์ เขาใส่ประเทศสหรัฐฯ เกือบทั้งประเทศ ซึ่งคาดว่าคงเพื่อจุดประสงค์เดียวกันกับที่ทำกับสถานทูตสหรัฐฯ ในมอสโคว์

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะยอมรับว่า ได้ตรวจพบคลื่นดังกล่าวที่ยิ่งไปยังสหกรัฐฯ นี้จริง และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยืนยันว่าโซเวียตยิงคลื่นไมโครเวฟใส่สถานทูตสหรัฐฯ จริงๆ ก็ตาม เจ้าหน้าที่ในรัฐบาลของสหรัฐฯ บางคนก็ไม่เชื่อว่าการกระทำเหล่านี้จะมีจุดประสงค์ดังที่นายโคคลอฟกล่าวอ้าง ทั้งนี้เพราะโซเวียตอาจจะมีเป้าหมายหลักเพื่อขัดขวางการส่งวิทยุของสหรัฐฯ ก็ได้ และส่วนคลื่นที่สำรวจพบในดินแดนสหรัฐฯ นั้นก็ยิ่งมาจากเรดาร์เหนือขอบฟ้าซึ่งเป็นระบบเตือนภัยล่วงหน้าของโซเวียต ที่มีไว้เพื่อใช้ตรวจจับขีปนาวุธของสหรัฐฯ "จริงอยู่ที่คนรัสเซียมีนิสัยโหดร้าย แต่พวกเขาคงไม่บ้าพอที่จะทำอะไรโง่ๆ หรอก" แหล่งข่าวโตแย้งในเรื่องนี้กล่าว

ศูนย์บริการแพทย์ทหารผ่านศึก

รัสเซลล์ ทาร์ก ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ที่ศึกษางานด้านพลังจิตของโซเวียตที่สำคัญคนหนึ่งของฝ่าย ตะวันตก มีความคิดเป็นเกี่ยวกับการวิจัยของโซเวียตว่า ความจริงแล้วรัสเซียนั้นมุ่งวิจัยเกี่ยวกับปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติเพื่อใช้ ในทางสันติส่วนเรื่องที่โคคลอฟและวิเลนสกายาเล่าและให้ทัศนะนั้นเป็นงาน วิจัยเพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้นพวกเขาไม่ได้รู้เรื่องนี้ทั้งหมด

ทาร์ก เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญในการมองระยะไกล ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2515 ถึง 2525 เขาได้ทำงานกับสถาบันวิจัยสแนฟอร์ดซึ่งได้รับว่าจ้างจากกระทรวงกลาโหมของ สหรัฐฯ ให้ช่วยพัฒนา "สายลับพลังจิต" (psychic spies) ให้ ซึ่งงานนี้ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ

ในปี พ.ศ. 2525 หลังจากที่เขาได้ลาออกจากสถาบันวิจัยสแตนฟอร์ดเพราะว่างานวิจัยพลังจิตนี้ หนักไปทางทหารมากเกินไปแล้ว เขาก็ได้จักตั้งบริษัทเดลฟี แอสโซซิเอท (Delphi Associaties) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาในด้านพลังจิตขึ้นมาและหลังจากนั้นไม่นาน ทาร์กก็ถูกสภาวิทยาศาสตร์ของโซเวียตเชิญไปเยี่ยมสถาบันวิจัยพลังจิตของรัส เซียซึ่งเมื่อสองปีที่ผ่านมานี้ ทาร์กก็ได้ไปเยือนรัสเซียถึงสองครั้ง จากการไปเยือนนี้ทำให้เขาได้พบปะนักวิจัยด้านจิตของโซเวียตมากกว่านักวิทยา ศาสตร์ชาวมะริกันทุกคน "ผมไม่สามารถยืนยันได้ว่า โซเวียตได้ใช้พลังจิตในการทหารหรือไม่ แต่ที่รู้ๆ ก็คืองานของพวกเราเป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์" ทาร์กกล่าว

แต่อย่างไรก็ตาม การไปเยือนรัสเซียของคุณพี่ทาร์กนี้ก็ได้สหรัฐฯ ได้ทราบข่าวคราวเกี่ยวกับงานวิจัยของโซเวียตมากขึ้นทีเดียว ในช่วงที่ไปรัสเซียนี้เขาก็ได้รู้จักกับ อิปโพลิต โคแกน ซึ่งเป็นอดีตเจ้านายของวิเลนสกายา ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้ทำงานอยู่ที่ สถาบันเรดิโอเทคโนโลยีและเอ็นจิเนียริ่ง (Institute of Rsdiotechology and Engineering) ในเลนินกราด และเมื่อปีที่แล้วนี้ โคแกน ก็ไดตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางพลังจิตออกมาเล่มหนึ่ง ซึ่งในหนังสือนี้เขาได้เสนอว่าพลังจิสามรถจะอธิบายได้ด้วยคลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้าความถี่ต่ำและนอกจากนี้แล้ว ทาร์กก็ยังได้ยินข่าวของ วิกเตอร์ อินยูชิน ที่รายงานข่าวกรองของสหรัฐฯ อ้างถึงเขาว่าเป็นผู้สร้างเครื่องควบคุมจิตใจที่มีชื่อเรียกว่า "เครื่องกำเนิดไซโคทรอนิก (psychotronic generator)" ว่าทุกวันนี้อินยูชินกำลังทำการทดลองการใช้เลเซอร์ในการปรับปรุงผลทางการ เกษตร และการใช้เครื่องถ่ายภาพเคอร์เลียน (Kirlian) เพื่อใช้ในวินิจโรคทางการแพทย์

หลังจากที่ทาร์กกลับมาบ้านแล้วเขาและเพื่อนชาวรัสเซียก็ได้จัดการสาธิต "การมองระยะไกล" ข้ามทวีประหว่างมอสโคว์กับซานฟรานซิสโกขึ้น การทดลองครั้งนี้ก็มีขึ้นที่อพาร์ตเมนต์ของดจูนา ดาวิตาชวิลี ซึ่งเป็นหมอนวดหญิงของโรงพยาบาลจอร์เจียน (Georgian hospital) และเคยทำให้รัฐบาลโซเวียตประหลาดในกับการใช้พลังจิตรักษาผู้ป่วยที่แพทย์ลง ความเห็นว่ารักษาไม่ได้ให้หายได้ ทากเปิดเผยผลจากการทดลองว่า ดาวิตาชวิลีสามารถอธิบายถึงม้าหมุนที่ตั้งอยู่ตรงท่าเรือประมงของศาลฟรานซิ สโกได "มันเป็นการมองระยะไกลที่ประสบความสำเร็จทั้งในด้านระยะทางและเวลา (คาดการณ์ล่วงหน้า)" ทาร์กกล่าว แต่อย่างไรก็ดีในเรื่องนี้ก็มีนักวิทยาศสาตร์หลายคนไม่เชื่อในผลการทดลองนี้ แต่ทาร์กก็โต้แย้ง และยืนยันว่านี่ไม่ใช่การทดลอง แต่เป็นการสาธิตและถ้าเป็นไปได้ เขาจะทำการทดลองให้ดูอีกทีก็ได้

รัสเซลล์ ทาร์ก

"พลังจิต (กำลังภายใน) ฆ่าคนหรือสัตว์ได้จริงหรือ ???" ปริศนานี้เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็อยากจะรู้ โดยเฉพาะพวกทหารที่ต้องการจะพัฒนาอาวุธใหม่ๆ ที่มีอำนาจการทำลายสูง แต่ตัวเองปลอดภัยคือต้องการอาวุธที่รู้ว่าใครเป็น ศัตรู และก็ฆ่าเฉพาะเจ้าศัตรูนั้นเสีย หากอย่ากรู้คำตอบและข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ก็ต้องถามนาย ออกัสต์ สเทิร์น ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ ชาวโซเวียตที่ลี้ภัยมาอยู่ในค่ายตะวันตกเมื่อปี พ.ศ. 2518 เขาเรียนจบทั้งทางด้านคอมพิวเตอร์ ประสาทสรีรวิทยา และคณิตศาสตร์ประยุกต์ด้วยและเป็นผู้หนึ่งที่ได้รู้รู้เห็นการวิจัยอาวุธ พลังจิตพิฆาตของรัฐบาลโซเวียต

สเทิร์นเคยทำงานอยู่ในหน่วยราชการการลับในไซบีเรียของโซเวียต "สเปเชียงดีพาร์ตเมนต์ 8" ซึ่งทำให้เขาได้รู้ได้เห็นการทำวิจัยอาวุธพลังจิตของรัสเซีย การทดลองครั้งหนึ่งที่สเทิร์นเล่าให้ฟังก็คือมีการจับลูกไก่อายุ 2-3 วัน ใส่กล่องโลหะ แล้วนำลงไปไว้ใต้ถุนตึกส่วนตัวแม่ก็เอาไว้ที่ห้องทดลองบนชั้น 3 และก็มีการต่อสายระโยระยางจากหัวของแม่ไก่เข้าเครื่องวัดคลื่นสมอง(electroencephalograph) การทดลองเริ่มขึ้นด้วยการปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่าน เข้าไปในกล่องโลหะ จนเจ้าลูกไก่เต้นและสั่นงันงกด้วยความเจ็บปวดเช่นเดียว กับลูกของมัน นี่แสดงให้เห็นว่า แม้จะอยู่ไกลกัน ไก่แม่ลูกคู่นี้ก็ยังสามารถรับรู้ความรู้สึกของกันและกันได้ เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะทั้งสองมีการถ่ายทอดกระแสจิตไปให้กันและกัน

นี่เป็นตัวอย่างการทดลองเพียงเบาะๆ เท่านั้น สเทิร์นบอกว่า ที่โหดร้ายยิ่งกว่านี้ก็มี อาทิเช่น ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษที่ 60 สเทิร์นได้เห็นการทดลองอันมหาโหดในห้องปฏิบัติการของทหารโซเวียต คือ ครั้งหนึ่งพวกเขาพยายามจะใช้พลังจิตบังคับให้ศัตรูตกรถเมล์ อีกครั้งหนึ่งก็พยายามที่จะฆ่าสัตว์ตัวเล็กๆ ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่จากระยะไกล

สเทิร์นเล่าถึงเหตุการณ์ในการทดลองในครั้งแรกที่เขาได้เห็นว่า พวกนักพลังจิตของพี่หมีได้จับเอาแมวตัวหนึ่งไปขังไว้ในอีกห้องหนึ่ง แล้วจากนั้นก็พยายามจะใช้พลังจิตฆ่ามันเสีย "ตอนนั้นผมมองว่ามันเป็น เรื่องงี่เง่า" สเทิร์นรำพึงถึงความหลัง แต่แล้วในภายหลังเขาก็พูดไม่ออก เพราะปรากฏโซเวียตตายทุกคืน.. "มันเหมือนกับอธิบายเรื่องเฟรงเกนสไตน์ยังไงยังงั้น"

ทางกระแส ปัจจุบันนี้ก็ทำงานอยู่ที่ห้องปฏิบัติการนี้ สเทิร์นไดมีโอกาสทำวิจัยในโครงการลับนี้เหมือนกัน งานของเขาในครั้งนั้นก็คือการค้นหาหลักการทางฟิสิกส์ที่จะไขปัญหา ปรากฏการณ์ทางพลังจิต เสทิร์นก็เหมือนนักวิจัยของโซเวียตคนอื่นๆ คือ เชื่อว่าพลังจิตอาจจะเป็นพลังงานหรืออนุภาคอันใดอันหนึ่งที่เรารู้จักกัน อยู่แล้วดังนั้นสเทิร์นจึงเลือกเอา "นิวตริโน" ซึ่งเป็นอนุภาคที่ไม่มีประจุไฟฟ้า ไม่มีมวลวิ่งด้วยความเร็วเท่าแสง และสามารถทะลุทะลวงทุกสิ่งทุกอย่างได้ ฉะนั้นจึงเป็นไปได้ว่า นิวตริโนเป็นตัวนำคลื่นพลังจิตหรือกระแสจิตและคนที่มีความไวต่อนิวตริโนก็ เรียกคนนั้นว่ามีพลังจิตหรือเป็นนักพลังจิต หากสมมติฐานนี้ถูกต้อง ต่อไปไม่แน่ว่าโซเวียตก็อาจจะสามารถสร้างอาวุธพลังจิตมหาประลัยที่สามารถบัญชาการให้ใครต่อใครเป็นตามความต้องการของพี่หมี หรือไม่เช่นนั้นก็อาจจะแช่งชักให้หัวใจวายหรือเส้นเลือดในสมอง (ของผู้นำประเทศศัตรู) แตกตายก็ได้..แต่ก็เป็นที่น่ายินดีครับว่าอาวุธมหาประลัยนี้ยังไม่เกิดเป็น ตัวเป็นตนขึ้นเพราะห้องปฏิบัติการดีพาร์ตเมนต์ 8 ที่สเทิร์นทำงายอยู่ถูกสั่งปิดในปี พ.ศ. 2512 และหลังจากนั้นอีก 6 ปีต่อมาสเทิร์นก็เผ่นมาอยู่กับฝ่ายโลกเสรี

การทดลองพลังจิตของ Nina Kulagina

ประเภทของพลังจิต

Telepathy อ่าน ความคิดคนอื่นได้ และ ส่งความคิด ถึงคนอื่นได้ (รวมถึงสิ่งมีชีวิตที่เคยชิน) เช่นการอ่านใจและเห็นคำพูดในความคิดคนอื่น และอาจมีการส่งคำพูดจากความคิดของตนเข้าไปในสมองผู้อื่นโดยตรง เป็นต้น

Psychometry อ่าน ความทรงจำที่คนอื่นได้ (อ่านความทรงจำที่ฝังอยู่จากสิ่งของและสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง) โดยเฉพาะจะเห็นชัดกับความทรงจำที่ฝังแน่น เช่นคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นหรือแผ่ความคิดบางอย่างออกมาอย่างรุนแรง สถานที่ที่เกิดอุบติเหตุบ่อยๆ หรือสถานที่ที่มีความนึกคิดของคนที่ฆ่าตัวตายด้วยความเศร้าอย่างรุนแรง เป็นต้น ปกติมักจะอ่านจากการ แตะ สัมผัส หรือการเพ่งความรู้สึกสัมผัส สิ่งที่ อ่าน ได้อาจจะมีทั้งภาพ เสียง หรือเป็นแรงของจิตสัมผัส

Clairvoyance ตาทิพย์ การมองเห็นในลักษณะพิเศษเหนือประสาทสัมผัสทั้งห้า (six sense) เช่น การมองเห็นเหตุการณ์ คน สัตว์ สิ่งของ หรือสถานที่ที่ไม่เคยไป หรือรู้จักมาก่อน เป็นต้น หรือการมองเห็นในสิ่งที่คนปกติไม่เห็นได้ เช่นสิ่งของที่ถูกซ่อนไว้อย่างมิดชิด หรือสิ่งของ หรือสถานที่ที่อยู่ไกลมากๆ เป็นต้น

Clairaudience หูทิพย์ การได้ยินในลักษณะพิเศษ เช่น การได้ยินเสียงอื่นในหัวสมอง การได้ยินคำเตือนในสมอง หรือการได้ยินจากภายนอก เช่น การแยกเสียงต่างๆออกได้อย่างชัดเจนเช่นเสียงพูดเสียงดนตรี การได้ยินเสียงที่ไกลมากๆเกินกว่าคนทั่วไปจะได้ยิน หรือเสียงที่เบามากจนแม้อาจจะเบากว่าระดับEstinoหรือจนเกือบจะเงียบ เป็นต้น

Clairsentience, Intuition การรู้สึกสัมผัสถึงสิ่งต่างๆรอบตัว หรือสิ่งที่รับรู้ได้นอกเหนือจากประสาททั้งห้าอย่างชัดเจน เช่น การไปในโบราณสถานก็จะสัมผัสบางอย่างได้ หรือบริเวณที่เป็นสนามรบเก่าโดยไม่รู้ตัวก็จะรู้สึกอึดอัด เป็นต้น และอาจมีการรู้สึกแบบเป็นสีในจิตใจ เช่นมองเห็นบางคนก็สัมผัสความเศร้าหมองได้เป็นสีมืดๆออกมาจากคนนั้นๆ การเห็นคนร่าเริงแล้วสัมผัสเป็นสีที่สดใสออกมาจากคนนั้นๆ เป็นต้น สิ่งที่สัมผัสได้มักเป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่สามารถรับรู้ หรือเป็นสิ่งที่ถูกปิดซ่อนเอาไว้ หรือสิ่งที่ถูกลืมลบเลือนไปแล้ว

Empathy การสัมผัสความต้องการกระทำของคนอื่น หรือสิ่งมีชีวิตอื่น ส่วนใหญ่จะเป็นไปในทางบวก เช่น การเข้าใจจิตใจผู้อื่นและทราบความต้องการของผู้อื่น(แต่ไม่สามารถ "อ่าน" ได้) ในทางกลับกันก็สามารถรู้ การประสงค์ร้าย หรือการโจมตีได้ด้วยการจับ คลื่นจิต ของผู้อื่นได้(เช่นระดับความรู้สึกที่ผิดไปจากปกติ อาจคล้ายกับจิตสังหารชั่ววูป) เป็นต้น บางระดับอาจจะคล้ายกับ Aura Reading ก็เป็นได้

Precognition การเห็น"ก่อน" การ อ่าน อนาคตหรือเห็น ภาพฉาย ของอนาคตที่ควรจะเป็น หรือที่อาจจะกำลังเกิดขึ้น (*ขอให้ทำความเข้าใจว่าผู้ใช้พลังจิตประเภทนี้ ไม่สามารถเห็นได้ทุกรายละเอียดของอนาคต หรือสิ่งที่อยากรู้ เช่นมักจะมีคำถามจากคนทั่วไปว่า ให้อ่านอนาคตเช่นดูเลขล็อตเตอรี่ หรือทายแต้มการพนันในบ่อนพนันไม่ได้เหรอ ซึ่งขัดต่อหลักของพลังชนิดนี้) แต่ภาพที่เห็นเป็นเพียงอนาคตที่ควรจะเป็น อาจมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้(บางที Psychometry ก็มองเห็นอนาคตแบบนี้ได้เหมือนกัน) ส่วนใหญ่มักจะเห็นเรื่องไม่ดีที่อาจจะเกิด มีตั้งแต่ระดับเบาบางถึงระดับแจ่มชัด เช่น การมีลางสังหรณ์ว่าวันนั้นๆจะเกิดเรื่องไม่ดี การฝันเห็นอนาคตเช่นอุบัติเหตุล่วงหน้า และความสามารถระดับสูงเช่นการ อ่าน ภาพอนาคตได้เลย(แต่มักจะ อ่าน ไม่ได้ดั่งใจ) เป็นต้น บางทีอาจอ่านอนาคตได้ไม่ชัดเจนโดยเฉพาะอนาคตของตัวผู้ใช้เอง แต่มักจะมีกลไกซ้อนในการป้องกันตัวเองเช่นการรู้โดยสัญชาติว่าต้องหลีก เลี่ยงสิ่งไหน หรือต้องไปทำอะไรในที่ไหนเมื่อไหร่ โดยไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

Psychokinesis, Telekinesis พลังยก เคลื่อนย้ายสิ่งของ หรือทำสิ่งต่างๆโดยปราศจากเงื่อนไขทางฟิสิกส์ เช่นการงอช้อน การยกสิ่งของลอยในอากาศ เป็นต้น

Levitation การลอยตัวในอากาศได้โดยปราศจากการช่วยเหลือทางฟิสิกส์ เช่นการเหาะเหินเดินอากาศ ลอยขึ้นได้ดั่งใจ

Teleportation มีพลังในการเคลื่อนย้ายสิ่งของหรือตนเองจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งโดยการแทน ที่ในฉับพลัน เช่นการ วาร์ป จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งในทันที หรือการสลับที่สิ่งของโดยไม่ต้องแตะต้องหรือเคลื่อนย้ายด้วยวิธีทางฟิสิกส์ หรือยกขึ้นด้วยพลังจิตแบบTelekinesis

Time Traveller ผู้มีความสามารถเกี่ยวกับเวลา หรือนักท่องเวลา อาจมีความสามารถแตกต่างกันไป เช่น ผู้มีพลังในการย้อนเวลา หนีจากปัจจุบันหรืออนาคตเพื่อกลับไปแก้ไขให้เกิดความเหมาะสมต่อตัวเองหรือ เพื่อความต้องการของตัวเอง ผู้มีพลังในการลบเวลา คล้ายกับนักย้อนเวลา สามารถลบเวลาในส่วนเกินที่ไม่ต้องการออกได้ นักข้ามเวลาคือผู้ที่สามารถข้ามเวลาไปมาระหว่างคู่ขนานของอดีต อนาคต และปัจจุบันได้ ผู้มีความสามารถหยุดเวลาคือเดินทางข้ามมิติของเวลาไปบนมิติเวลาที่หยุดนิ่ง ได้ แต่การเป็นนักท่องเวลา มักไม่ก่อผลดีต่อส่วนของผลรวมของเหตุการณ์และเวลา ซึ่งมักมีคำเตือนเกี่ยวกับผู้ใช้เวลาที่ต้องระวังไว้หลายข้อ เช่นนักย้อนเวลา อาจจะทำให้เกิดช่องว่างของมิติคู่ขนานเวลา เช่นการหนีจากปัจจุบันที่มีเหตุการณ์ร้ายร่วมกับผู้อื่นกลับไปในอดีต เหตุการณ์ร้ายนั้นจะดำเนินต่อไปดังเดิมในคู่ขนานอื่น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนอกจากปราศจากผู้ที่หนีมา หรือนักลบเวลาที่อาจจะทำให้เกิดช่องว่างของมิติเวลานับไม่ถ้วน หรือนักท่องเวลารวมทั้งนักหยุดเวลาที่อาจหลงทางในเวลาจนลืมไปได้ว่า ปัจจุบันคือเวลาไหน และการใช้พลังเกี่ยวกับเวลามักก่อเกิดผลเสียต่ออายุขัยและร่างกายของผู้ใช้ เองด้วย

Invisibility มีพลังในการล่องหนหายตัว ผู้ใช้พลังนี้มีหลายประเภท โดยปกติมักเป็นผู้ที่สามารถหักเหแสงบิดเบือนการสะท้อนการมองเห็น แต่มีบางประเภทที่ลบตัวตนและจิตของตัวเองออกไปจากการสัมผัสได้ของผู้อื่นจน หมดสิ้นได้เลย

การฝึกทายการ์ดก็เป็นตัวอย่างนึงของ ESP

Animal Telepathy การอ่านภาษาของสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นและสามารถ สื่อจิตถึงสัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นได้ เป็นภาษาที่คุยกันด้วยจิต (ในcaseที่รองลงมาคือสามารถสื่อจิตเป็นภาษาที่เข้าใจได้ด้วยจิตกับมนุษย์ที่ ใช้ภาษาพูดกันคนละภาษา)

Channelling มีพลังในการติดต่อสื่อสารกับ ชีวิต หรือจิต เหนือธรรมชาติ เช่น ภูตผีวิญญาณ เทวดา หรืออาจจะมนุษย์ต่างดาวนอกโลก

Automatic Writing สามารถเขียนบางสิ่งบางอย่างที่ผิดไปจากปกติ โดยไม่ได้ใช้ความคิดหรือแม้แต่การมองเห็นหรือควบคุมด้วยจิตใจของตนเอง หรือกับถูกบางสิ่งบางอย่าง สิง ที่มือไปชั่วขณะ

Aura Reading การมองเห็นออร่าหรือพลังชีวิต ของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ถ้าจะจินตนาการให้เห็นภาพคงคล้ายกับเครื่องมืออินฟาเรดตรวจจับความร้อนของ ร่างกาย และผู้ที่เขียนก็มักจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เขียนคืออะไรจนกว่าจะเขียนเสร็จ ส่วนใหญ่มักเจอในcaseของคำทำนายหรือภาพวาดที่สื่อความหมายเกี่ยวกับสังหรณ์ ในทางร้าย

Divination ผู้ทำนายอนาคตแบบต่างๆ เหมารวมกัน เช่น precognition, fortune telling, prophesy, predicter หรืออะไรก็ตามที่มีจุดประสงค์เกี่ยวกับอนาคต

Astral Projection การถอดจิต โดยทิ้งร่างเปล่าไว้ และ ท่อง ไปในที่ที่ร่างกายไม่ได้ตามไปด้วย

Bi-Location เป็นเทคนิคขั้นสูงของ Astral Projection ที่นอกจากจะถอดจิตออกมาแล้วยังสามารถสร้างจิตนาการของร่างแยกของตนเองขึ้นมา โดยสมบูรณ์เป็นตัวเองอีกคนให้คนอื่นเห็น ในคนละสถานที่กับที่ที่ร่างกายจริงอยู่

Mind Over Body ผู้ที่สามารถปลดปล่อยร่างกายปราศจากความต้องการพื้น ฐานเช่น การดื่มน้ำ กินข้าว นอนหลับ ฯลฯ แต่ยังสามารถมีชีวิตทนอยู้ได้เหนือกว่าคนปกติ เช่น พระ ฤๅษี โยคี เป็นต้น

Mind Control สามารถควบคุมจิตใจของสิ่งมีชีวิตอื่น รวมทั้งอาจจะสร้างภาพลวงตาขึ้นมาหลอกการเห็นของผู้อื่นได้ จนถึงอาจจะยิงภาพเข้าไปในสมองโดยตรงได้เลย

Hypnotic Control การสะกดให้ผู้อื่นหลับได้ด้วยพลังจิต คล้ายกันกับ Mind Control

Mental Invisibility การซ่อนเร้นจิตของตนเองจากการรับรู้ของผู้อื่น มักมีในสัญชาตญาณของพวกสัตว์นักล่า ที่จะอำพรางจิตของตนไม่ให้ผู้อื่นรับรู้ถึงการมีอยู่ เช่นงู เสือสิงโต หรือหมาป่า ในขณะซุ่มดักล่าเหยื่อ หรือพวกสัตว์ที่หนีและหลบซ่อนอำพรางจิต

พลังจิตสายควบคุม

Echokinesis สามารถเลียนแบบการเคลื่อนไหวของผู้อื่นได้ไม่ผิดเพี้ยนจากการมองเห็น แม้แต่การเคลื่อนไหวที่เกินความสามารถของตนเอง

Photokinesis มีพลังในการควบคุมแสงและพลังงานที่เป็นไปตามกฏทางฟิสิกส์ แต่ใช้จิตควบคุม

Pyrokinesis มีพลังในการควบคุมไฟ สามารถจุดไฟ และควบคุมการเกิดไฟ และทิศทางของไฟได้ด้วยจิตเพียงอย่างเดียว (ในพระไตรปิฏกมีบันทึกไว้ว่าพระพุทธเจ้าเคยใช้พลังนี้ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค)

Aquakinesis, Hydrokinesis มีพลังในการควบคุมน้ำ ให้เกิดการเคลื่อนไหว และรูปร่าง รวมถึงมวลของน้ำได้ดั่งใจ (ในพระไตรปิฏกมีบันทึกไว้ว่าพระพุทธเจ้าเคยใช้พลังนี้ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค)

Cryokinesis มีพลังในการควบคุมความเย็นได้ เช่นการเปลี่ยนอุณภูมิในบริเวณที่ต้องการสู่จุดเยือกแข็งหรือตำกว่านั้น หรือทำให้เกิดผลึกน้ำแข็งบนน้ำ หรือเลือดบนร่างกายได้ และอาจก่อผลึกน้ำแข็งได้จากน้ำในอากาศได้ตามต้องการ

Thermokinesis สามารถควบคุมอุณภูมิความร้อน ของธาตุต่างๆ สิ่งของต่างๆได้ เป็นคนละอย่างกับ Pyrokinesis

Aerokinesis สามารถ ควบคุมเกี่ยวกับ ลม และ ก๊าซ อากาศรอบๆตัว หรือเรียกให้เกิดลม หรือความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและคุณสมบัติของก๊าซได้ อาจรวมไปถึงความดันของบรรยากาศรอบๆด้วย

Geokinesis, Terrakinesis สามารถควบคุมธาติดินให้เกิดความแปรผันได้ดั่งใจ อาจรวมไปถึงของแข็งชนิดต่างๆที่อยู่รวมกับธาตุดินด้วย

Electrokinesis สามารถควบคุมประจุไฟฟ้า และสายฟ้าได้ดังใจ ในกรณีเดียวกับ Pyrokinesis ที่เป็นผู้ควบคุมไฟ

Atmokinesis สามารถควบคุมฟ้าฝน บรรยากาศ และลักษณะอากาศได้ เป็นความสามารถร่วมกันของ Thermokinesis, Aerokinesis และ Electrokinesis

Atmoskinesis สามารถควบคุมธาตุหลักทั้งสี่ได้คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอาจควบคุมรวมไปถึง ไฟฟ้าได้ด้วย เป็นความสามารถรวมๆของPyrokinesis,Hydrokinesis, Geokinesis, Aerokinesis และอาจจะ Electrokinesis
Biokinesis คล้ายกับ Atmoskinesis แต่อาจจะรวมลึกลงไปถึงการควบคุมลักษณะและความเจริญเติบโตทาง DNA ได้เลย เช่นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของธาตุและ DNA ของตนเองให้เกิดความสามารถพิเศษที่ต้องการ Gravitokinesis คล้าย กับ Psychokinesis สามารถควบคุมเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วง และน้ำหนัก ของสิ่งที่ต้องการได้ดั่งใจ(แต่ไม่สามารถบังคับให้เคลื่อนที่ไปได้ด้วยแรงใน ทิศอื่นนอกจากทิศโน้มถ่วง)

Magnokinesis ความสามารถในการควบคุม แรงแม่เหล็กและสนามแม่เหล็กใน บริเวณที่ต้องการได้ รวมทั้งอาจใช้แรงแม่เหล็กนี้ในการควบคุมโลหะให้เคลื่อนที่ได้ดั่งใจด้วย

Vitakinisis เป็น การรักษาตัวเองให้หายจากการบาดเจ็บ โดยมักจะอ้างว่าเป็นการยืมพลังจิตจากธรรมชาติ หรือดูดพลังจิตจากธรรมขาติเช่นพืชหรือสิ่งมีชีวิต

Audiokinesis สามารถควบคุมลักษณะคลื่นเสียง และบิดผัด หรือก่อกำเนิดคลื่นเสียงได้ด้วยจิต อาจมีความสามารถของ Clairaudience รวมอยู่ในตัวด้วย

Hemokinesis สามารถควบคุมรูปแบบของเซลล์เม็ดเลือดได้ รวมทั้งการถ่ายเทเลือดด้วย คล้ายกับการควบคุมแบบ Hydrokinesis

Particle Manipulation สามารถควบคุมส่วนย่อยของสิ่งต่างๆในระดับอะตอมหรือโมเลกุล ทำให้หยุดอนุภาคย่อยๆเหล่านั้น หรือทำให้เกิดการระเบิดออกมาก็ได้

จาก Psychic Ability ความสามารถทางพลังจิต/Jinx D Wednesday
ซีไอเอ มักจะมี "อาวุธลับ" ประหลาดๆ อยู่เสมอ "สายลับพลังจิต" ก็เป็นหนึ่งในอาวุธลับที่ "ซีไอเอ" แอบซ่อนไว้ใช้งานเวลาที่เข้าตาจนไม่สามารถที่จะใช้วิธีการตามแบบปรกติได้ "สายลับพลังจิต"เป็นใครและพวกเขาทำงานกันอย่างไร

คาดว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ได้เริ่มศึกษาเรื่องการติดต่อสื่อสารโดยพลังจิตหรือที่เรานิยมเรียกกันย่อๆ ว่า อีเอสพี (ESP - Extra-sensory perception) อย่างเป็นจริงเป็นจังก็ในราวช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อมีข่าวกรองระบุว่า จอมเผด็จการ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้วางแผนการรบโดยอาศัยคำแนะนำของนักไสยศาสตร์ และนายแพทย์ทัศนา(หมอดู) ด้วยความกลัวว่าจะตกเป็นรองเยอรมันในการทําสงครามสหรัฐฯ จึงได้จัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจขึ้นเพื่อการศึกษาและวิจัยการใช้พลังจิต

ในปี ค.ศ. 1952 กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้รับรายงานว่า มีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาเอา "พลังจิต" มาใช้เป็นอาวุธสงคราม ทำให้มีการศึกษา ค้นคว้ากันมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1962 มีรายงานการวิจัยฉบับหนึ่งไปเตะตาหัวหน้าหน่วยให้บริการทางเทคโนโลยีของซีไอเอ เข้าให้จังเบ้อเร่อ เขาก็เลยติดต่อไปยัง สตีเฟ่น ไอ แอบรัมส์ (Stephen I.Abrams) ผู้อำนวยการห้องทดลองค้นคว้าพลังจิตของมหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด ในประเทศอังกฤษ สตีเฟ่นจึงได้ทดลองเรื่องการใช้พลังจิตภายใต้การอุปถัมภ์ของโครงการ อัลทรา (ULTRA) ซึ่งเป็นโครงการลับโครงการหนึ่งของซีไอเอ ที่ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องพลังจิต

ซีไอเอ ได้เคยทำการทดลองใช้สารเสพติด เพื่อควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ การทดลองนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของโครงการอัลทรา ที่มีชื่อเรียกว่า โครงการเอ็มเคอัลทรา (MKULTRA) โครงการอัลทรา ได้ถูกซอยย่อยออกไปอีกหลายแขนงซึ่งแต่ละโครงการก็จะมีชื่อรหัสเรียกเฉพาะแตกต่างกันไป

ตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านไป สตีเฟนก็ได้ทดลองและจดบันทึก เขาไม่สามารถที่จะควบคุมและหาคำตอบเรื่องการใช้พลังจิตได้ ทำให้ดูเหมือนว่า โครงการวิจัยเรื่องปรากฏการณ์พลังจิตเหนือธรรมชาตินี้จะล้มเหลว จนกระทั่งมีนักฟิสิกส์มือดี 2 คนมาปลุกผีโครงการนี้ขึ้นอีกครั้งในต้นทศวรรษที่ 1970

ดร. รัสเซลล์ ทาร์ก (Dr. Russell Targ) และ ดร. ฮาโรลด์ อี พิวทอฟฟ์ (Harold E. Puthoff) มีความสนใจในเรื่องพลังจิตเป็นอย่างมาก ในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1972 ดร. ฮาโรลด์ ได้แนะนำชายคนหนึ่งกับเจ้าหน้าที่ของซีไอเอ โดยกล่าวว่า ชายคนนั้นมีหลักฐานการทดลองเรื่อง การใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุ (Psychokinesis) ของรัสเซียอยู่ในมือ หลังจากที่ซีไอเอได้เห็นหลักฐาน
ที่เป็นภาพยนตร์ก็เกิดความสนใจและตกลงให้ ดร. ฮาร์โรลด์ และ ดร. รัสเซลล์ ทำการค้นคว้า

สายลับพลังจิต แพท ไพรซ์(คนกลาง) และ ดร. ฮาโรลด์ อี พิวทอฟฟ์(ริมขวา) ยืนถ่ายภาพร่วมกันหลังจากเสร็จการทดลองการมองระยะไกล

และนั่นก็คือที่มาของโครงการลับ สแกนเอท (Scanate) ซึ่งมาจากคำว่า Scan by Coordinate เป็นโครงการที่ทำการค้นคว้าเรื่องปรากฏการณ์พลังจิตเหนือธรรมชาติ การทดลองได้เริ่มขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1972 ชายที่อ้างว่าตนมีพลังจิตคนหนึ่ง ได้ถูกทดสอบโดยให้บรรยายลักษณะของวัตถุที่ถูกซ่อนอยู่โดยเจ้าหน้าที่ของซีไอเอ และเขาก็บอกรายละเอียดได้อย่างแม่นยำ

ในฤดูร้อนปี ค.ศ. 1973 ซีไอเอ ได้ทำการทดลอง การมองระยะไกลโดยอาศัยพลังจิต (Remote Viewing) Remote Viewing Timeline พวกเขาได้ฝึกนักพลังจิตชื่อ แพท ไพรซ์ (Pat Price) โดยพวกเขาได้บอกเพียงตำแหน่งที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้าง ชนิดหนึ่งให้แพททำการเพ่งกระแสจิตไปโดยไม่ใช้แผนที่ ซึ่งเป้าหมายนั้นเป็นบ้านพักตากอากาศแห่งหนึ่ง ในฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ แล้วให้บอกทันทีว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร แต่แพทกลับบรรยายลักษณะของสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างที่คล้ายกับฐานทัพทหาร

เพื่อเป็นการพิสูจน์ผลการทดสอบ เจ้าหน้าที่ซีไอเอ ได้ขับรถไปยังบ้านพักตากอากาศแห่งนั้น แต่เขาเองกลับต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าห่างจากบ้านพักตากอากาศไปเพียงไม่กี่ไมล์ มีอาคารของทางราชการที่มีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดตั้งอยู่ เขาจึงรีบขับรถกลับมา เพื่อขอให้แพท ระบุรายละเอียดของอาคารนั้นอีกครั้ง

แพทสามารถระบุรายละเอียด รูปร่างของอาคารได้อย่างถูกต้อง ซึ่งก็ทำให้ ซีไอเอพอใจในการทดลองครั้งนี้เป็นอย่างมาก จนได้มีการพัฒนาการทดลองในวิธีการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการเสริมสร้างพลังจิตให้กับนักพลังจิต อีกทั้งยังเป็นการสร้างความมั่นใจในความถูกต้องของข้อมูลที่ได้ ก่อนที่จะนำมันมาใช้งานจริง

การทดลองมองระยะไกลที่ได้ผลลัพธ์น่าทึ่งที่สุดก็คือ การทดลองให้แพทบรรยายถึงเมืองเซมิพาลาทินส์ก (Semipalatinsk) ที่อยู่ในประเทศคาซักสถาน

มันเป็นสถานที่ที่ไม่มีข้อมูลซึ่งยังต้องรอการสำรวจที่ ซีไอเอ ใช้รหัสเรียกว่า
URDF-3 (Unidentified Research and Development Facility - 3) ดังภาพ

แก้ไขเมื่อ 11 มิ.ย. 52 15:40:08


แพท ระบุว่าเขาเห็นปั้นจั่นขนาดใหญ่มากอันหนึ่ง มันใหญ่ขนาดเขาเห็นคนสูงเพียงแค่เพลาล้อของมัน

ซึ่งมันก็มีอยู่ที่นั่นจริงๆ แม้ว่าข้อมูลของแพทยังไม่ละเอียดนัก เพราะว่ายังมีแท่นขุดเจาะที่แพทไม่ได้กล่าวถึง แต่ก็มากพอที่จะทำให้ ดร. เคนเน็ท เอ เครสส์ (Kenneth A. Kress) ผู้เชี่ยวชาญทางด้านปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติของซีไอเอ ทึ่งในความสามารถของแพท จนเขาต้องเดินทางมาสัมภาษณ์แพทด้วยตัวเอง

เมื่อ ดร. รัสเซลล์ และ ดร. ฮาโรลด์ มาแพทมาพบกับ ดร. เคนเน็ท ดร. เคนเน็ทต้องการทดสอบความสามารถของแพท โดยถามแพทว่า รู้ไหมว่าเขาเป็นใคร แพทตอบอย่างไม่ลังเลว่า "รู้" ดร. เคนเน็ท จึงถามต่อว่าแล้วรู้จักชื่อของเขาไหม แพทก็ตอบว่า"เคน เครสส์" แล้วอาชีพของเขาล่ะ แพทตอบอย่างมั่นใจว่า "ทำงานให้กับ ซีไอเอ"

การที่ แพทตอบคำถามเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ เพราะ ดร. เคนเน็ท เป็นเจ้าหน้าที่ลับของซีไอเอ เขาไม่ได้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อเจ้าหน้าที่ซีไอเอ ดร. เคนเน็ท ตัดสินใจยอมรับ แพท ไพรซ์ เข้าเป็น "สายลับพลังจิต" ของซีไอเอ จากนั้น ดร. เคนเน็ทก็หยิบภาพใบหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะ แล้วถามแพทว่าเคยเห็นสถานที่นี้ไหม? แพทก็ตอบว่า "แน่นอน เขาเคยเห็น" ดร. เคนเน็ท จึงถามต่อ ถ้าอย่างนั้นทำไมเขาไม่ระบุถึงแท่นขุดเจาะ 4 แท่นนี้ ตอนที่เขาถูกทดสอบ? แพทตอบว่า "รอเดี๋ยว ขอให้ได้ตรวจสอบอีกที"

แพทหลับตาลง แล้วหยิบแว่นตาขึ้นมาใส่ซึ่งเขาบอกว่ามันทำให้เขา "เห็น" ได้ชัดเจนขึ้น เพียงแค่ไม่กี่วินาที แพทก็ตอบว่าที่เขาไม่เห็นแท่นขุดเจาะก็เพราะว่ามันไม่ได้อยู่ที่นั่น หลังจากนั้นมาอีก 2-3 สัปดาห์ก็มีการตรวจเช็คกลับไปที่ URDF-3 ก็พบว่าแท่นขุดเจาะ 2 แท่น ได้ถูกรื้อถอนไปแล้ว แต่ก็ยังพอมีร่องรอยของแท่นขุดเจาะเหลืออยู่ ทำให้พอจะสรุปได้ว่า ข้อมูลที่ได้จากการมองระยะไกลของแพทนั้นมีทั้งส่วนที่เชื่อถือได้ และส่วนที่เชื่อถือไม่ได้

เพลาที่แพทเห็น

แก้ไขเมื่อ 11 มิ.ย. 52 15:42:35


ปลายปี ค.ศ. 1974 แพทได้ถูกสั่งให้ใช้พลังจิตของเขาตรวจสอบที่ซ่อนของฐานกำลังของกองทัพใต้ดิน ในประเทศลิเบีย แพทได้ชี้จุดที่คาดว่าเป็นที่ซ่อนของสถานีทดลองขีปนาวุธ SA-5 ซึ่งก็ตรงกับที่ข่าวกรองที่กองทัพลิเบียได้รับแจ้ง และแพทยังได้ระบุถึงสถานที่ที่พวกกองทัพใต้ดินได้ใช้เป็นที่ฝึกการก่อวินาศกรรมตรงกับที่แหล่งข่าวของลิเบียแจ้งเช่นกัน

กองทัพลิเบียได้ขอให้แพท ช่วยบอกรายละเอียดว่าในสถานที่ซ่อนของพวกกองทัพใต้ดินนั้นมีการเคลื่อนไหวเป็นอย่างไรบ้าง คำถามต่างๆ ที่ลิเบียอยากรู้เกี่ยวกับพวกกองทัพใต้ดินได้ถูกเขียนส่งไปให้กับแพท แต่เป็นที่น่าเสียดายที่แพทได้เสียชีวิตเพราะหัวใจวายเสียก่อน ปฏิบัติการครั้งนั้นจึงถูกยกเลิกและไม่มีการส่งข้อมูลเพิ่มเติมจากซีไอเอ ให้กับลิเบียอีก

กองทัพสหรัฐฯ ได้นำการมองระยะไกลมาใช้ในสงครามเวียดนาม โดยให้นักพลังจิตเป็น "ผู้นำทาง" (Point Man) ทำหน้าที่นำกองทหารระหว่างที่อยู่ในเขตของข้าศึก เพื่อหลีกเลี่ยงกับดักและการซุ่มโจมตี ซึ่งมันมีผลเป็นอย่างมาก ต่อขวัญและกำลังใจของพวกทหารที่ตกอยู่ในสภาวะบีบคั้นทางจิตใจในขณะที่อยู่ในสนามรบ

แต่บางครั้ง "สายลับพลังจิต" ก็ต้องการผู้นำทางเช่นกัน ผู้นำทางนี้ใช้รหัสเรียกว่า "บีคอน" (Beacon) เขามีหน้าที่ ในการท่องไปในพื้นที่ต่างๆ เพื่อทำหน้าที่เป็น "ตา" ให้กับสายลับพลังจิตที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยหลายพันไมล์
สายลับพลังจิตจะมองผ่านตาของผู้นำทาง แล้วบรรยายลักษณะของสถานที่นั้นๆ อาจเป็นการบอกเล่าไปเรื่อยๆ แล้วให้คนคอยจดบันทึก แต่ส่วนใหญ่แล้ว สายลับพลังจิตจะวาดภาพร่างของสถานที่นั้นๆ เอง

ตัวอย่างเช่นการทดสอบพลังจิตของ ดร. เอ็ดวิน ซี เมย์ (Dr. Edwin C. May) ในปี ค.ศ. 1987

"สายลับพลังจิต" โจเซฟ แมคมอนอีเกิล (Joseph McMoneagle) ได้ถูกสั่งให้ติดตาม "ผู้นำทาง" คนหนึ่ง เขาได้รับคำบอกกล่าวเพียงแค่ว่า ผู้นำทางอยู่ห่างจากศูนย์ทดลอง เป็นรัศมีราว 100 ไมล์ และข้อมูลส่วนตัวของผู้นำทางก็มีเพียงแค่หมายเลขบัตรประกันสังคมและกำลังขับรถอะไรแค่นั้น

ดร. เอ็ดวิน สั่งให้โจเซฟ บรรยายถึงสิ่งที่ "ผู้นำทาง" เห็นในเวลา 16:00 น. โจเซฟได้วาดภาพนั้นออกมา และบอกว่าเขาเห็นการเคลื่อนไหวของกระแสไฟฟ้าเป็นเหมือนตะแกรงและเห็นรัศมีบางอย่างบนยอดเสา ที่อาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า และเมื่อนำภาพถ่ายที่ "ผู้นำทาง" บันทึกไว้ตอนเวลา 16:00 น. มาเปรียบเทียบกับภาพร่างของโจเซฟ เราจะพบว่ามันมีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก

โจเซฟ แมคมอนอีเกิล

การมองระยะไกลเป็นส่วนหนึ่งของโครงการป้องกันประเทศภายใต้ชื่อรหัส "สตาร์เกท" (Stargate Project) ซึ่งเป้าหมายหลักของโครงการนี้แบ่งเป็น 3 ขั้นตอนคือ "การปฏิบัติการ" (Operations) เป็นการใช้การมองระยะไกลเพื่อเก็บข้อมูลข่าวกรองของประเทศต่างๆ "การวิจัยและพัฒนา" (Research and Development) เป็นการศึกษาภายในห้องทดลองเพื่อหาวิธีการใหม่ๆ ในการปรับปรุงการมองระยะไกลเพื่อนำมาใช้ในงานสืบราชการลับ และ "การประเมินต่างประเทศ" (Foreign Assessment) เป็นการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของประเทศต่างๆ ที่มีการปรับปรุงและพัฒนา การใช้พลังจิตในรูปแบบใดๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ (สหรัฐฯ)

ภาพที่โจเซฟวาด

หลายคนอาจจะคุ้นกับชื่อ เดวิด มอร์เฮาส์ (David Morehouse) เดวิดเป็นสายลับพลังจิตของซีไอเอ ที่ออกมาตีแผ่ความลับของโครงการ สตาร์เกท ผ่านรายการสารคดีดิสคัฟเวอรีแชนแนล (Discovery Channel) เมื่อหลายปีก่อน เดวิดได้รับมอบหมายให้สืบหาข้อมูล การทำจารกรรมในอดีตที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงมืดแปดด้านไม่รู้จะหาข้อมูลจากที่ไหนได้นอกจากการใช้ "สายลับพลังจิต" ย้อนอดีตกลับเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ เช่น คดีที่เครื่องบินรบของรัสเซียเข้าโจมตีเครื่องบินพาณิชย์เที่ยวบิน 007 ของสายการบินเกาหลีว่า เป็นการบินที่จงใจล่วงล้ำเข้าไปในน่านฟ้าของรัสเซียเพื่อทำจารกรรมตามข้อกล่าวหาหรือไม่

สถานที่จริง

หรือคดีที่ทหารอิรักเข้าลอบวางเพลิงบ่อน้ำมันในคูเวต ก่อนที่จะพ่ายแพ้ถอนทัพกลับเพื่อดูว่าเป็นการลอบวางเพลิงเพียงอย่างเดียวหรือเป็นการอำพรางเพื่อแอบปล่อยก๊าซพิษชนิดอื่นปะปนเข้าไปในบรรยากาศ

ก่อนที่เดวิด จะมาเป็นสายลับพลังจิต เขาก็เป็นเพียงแค่ทหารพรานที่มีผลงานดีเด่นคนหนึ่ง แต่จากการซ้อมรบร่วมกับทหารพรานของจอร์แดน ในกลางปี ค.ศ. 1980 เขาก็ประสบอุบัติเหตุถูกยิงเข้าที่ศรีษะ แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง เนื่องจากกระสุนปืนไม่สามารถเจาะผ่านหมวกเหล็กที่เขาสวมใส่อยู่ขณะนั้นได้ แต่แรงกระแทกก็ทำให้เขาสลบไปนานพอดู ขณะที่เขาสลบไสลอยู่นั้น เขาเห็นอะไรบางอย่างที่เขาก็ไม่รู้ว่าจะเรียกมันว่า เทวดา หรือ ปีศาจ ดี แต่ที่แน่ๆ มันไม่ใช่มนุษย์และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มรู้สึกว่า มีบางอย่างผิดปรกติเกิดขึ้นกับเขา

เดวิด มอร์เฮาส์

หลังจากนั้นมาเขาก็เริ่มเห็นภาพแปลกๆ ที่เขาเรียกมันว่าฝันร้ายอยู่เรื่อยๆ ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว ต้องไปพบแพทย์ของกองทัพ และเมื่อเขาเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาให้กับหมอฟัง เรื่องราวและเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นกับเดวิด ได้ถูกส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่ชั้นสูง และในที่สุดเจ้าหน้าที่ของโครงการสตาร์เกท ก็ให้ความสนใจและนั่นก็คือที่มาของการได้เข้าร่วมกับ โครงการสตาร์เกท ในฐานะ "สายลับพลังจิต"

เรื่องเล่าของเดวิด อาจฟังดูเหมือนนิยาย เช่นเดียวกับความเป็นมาของ โจเซฟ แมคมอนอีเกิล ย้อนกลับไป ในทศวรรษที่ 1970 โจเซฟพบกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเป็นครั้งแรกก็ตอนที่เขาถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล ของกองทัพยุโรป เขาพบกับปรากฏการณ์ "เฉียดตาย" และหลังจากที่เขาถูกรักษาจนหายดี ปรากฏการณ์นั้น กลับยังคงอยู่และทำให้เขามี "พลังจิต" เหนือคนธรรมดาสามัญทั่วไป

เดวิดทำหน้าที่ "สายลับพลังจิต" นานกว่า 10 ปีก่อนที่เขาจะตัดสินใจถอนตัวออกมา ในปี ค.ศ. 1993 เดวิดได้ละเมิดข้อตกลงในการป้องกันความลับของกองทัพรั่วไหล โดยออกมาเปิดเผยเรื่องราวของเขา ขณะที่ทำงานให้กับโครงการสตาร์เกท เขาได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนทุกแขนง ทั้งหนังสือพิมพ์, วิทยุ และโทรทัศน์ เท่านั้นยังไม่พอเขายังเขียนหนังสือ "นักรบพลังจิต" (Psychic Warrior) อีกด้วย

คดีที่เครื่องบินรบของรัสเซียเข้าโจมตีเครื่องบินพาณิชย์เที่ยวบิน 007 ของสายการบินเกาหลี

เรื่องราวของ "สายลับพลังจิต" และโครงการสตาร์เกท ไม่ได้เป็นเพียงแค่จินตนาการเพราะในวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1995 ประธานาธิบดี บิลล์ คลินตัน ได้ลงนามในหนังสือคำสั่งจากเบื้องบน เลขที่ เอ็นอาร์ 1995-4-17 (Executive Order Nr. 1995-4-17) อนุญาตให้เผยแพร่เอกสาร ข้อมูลของ โครงการสตาร์เกท ออกสู่สายตาของสาธารณชนได้

และสําหรับวันนี้ Terran ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ครับ สวัสดี.

ที่มา www.gwu.edu/~nsarchiv/NSAEBB/NSAEBB54/st36.pdf
en.wikipedia.org/wiki/Stargate_Project
en.wikipedia.org/wiki/Psychokinesis
en.wikipedia.org/wiki/Harold_E._Puthoff
en.wikipedia.org/wiki/Russell_Targ
en.wikipedia.org/wiki/Extra-sensory_perception
สายลับพลังจิต /narong
ร้ายสาระ /ศิลป์ อิสเรส
writer.dek-d.com/Writer/story/viewlongc.php?id=219485&chapter=114
นิตยสารมิติพิศวง

ถ้าเป็นจริง โลกใบนี้คงจะ

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
มารคัส's profile


โพสท์โดย: มารคัส
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
8 VOTES (4/5 จาก 2 คน)
VOTED: zerotype
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
"กันสมาย" โพสต์สวน "วงการบันเทิงอะเนอะ!"..หลัง "ออกัส" ออกมาให้สัมภาษณ์ผู้ป่วยใกล้ตายส่วนใหญ่จะได้เห็นอะไรก่อนที่จะตาย"ออกัส วชิรวิชญ์" เผยอีกด้านก่อนถูก "กันสมาย" แฉพ่อของ "น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์" เสียชีวิตแล้วiPhone รุ่นประหยัดมาแล้ว!สหภาพยุโรปคว่ำบาตร กลุ่มหัวรุนแรงอิสราเอล60 แคปชั่นความสุข ภาษาอังกฤษ ความสุข คิดบวก ความหมายดีอันตราย! อย่าใช้ "พัดลมคล้องคอ"..เพราะอาจเสี่ยงเป็นมะเร็งได้รวมภาพความฮา แบบสร้างสรรค์ ของคนเขมร กับ นักท่องเที่ยวกับรูปปั้นม้าน้ำอันโด่งดังในโลกโซเชียลตอนนี้
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
"ออกัส วชิรวิชญ์" เผยอีกด้านก่อนถูก "กันสมาย" แฉ60 แคปชั่นความสุข ภาษาอังกฤษ ความสุข คิดบวก ความหมายดีเจ้าของห้องช็อค!! หลังเปิดห้องที่ฝรั่งค้างค่าเช่าผู้ป่วยใกล้ตายส่วนใหญ่จะได้เห็นอะไรก่อนที่จะตาย
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
3 จุดอันตรายที่ไม่ควรเสี่ยงบีบสิว เพราะอาจจะเสี่ยงถึงขั้นสมองตายได้เลยเน่อผู้ป่วยใกล้ตายส่วนใหญ่จะได้เห็นอะไรก่อนที่จะตายโหนกอูฐมีไว้ทำไม ?ภาษิตอังกฤษพิชิตความสำเร็จ
ตั้งกระทู้ใหม่