เรื่องจริงไม่อิงนิยาย!? 5 ภัยพิบัติสุดพิสดารจากน้ำมือมนุษย์ ที่ไม่อยากเชื่อว่ามันเคยเกิดขึ้นจริง!
London Beer Flood
ในปี 1814 เกิดเหตุการณ์เบียร์ในโรงกลั่นของ Meux & Company Brewery จำนวน 160,000 แกลลอน (ราว 610,000 ลิตร) รั่วไหลและแตกทะลัก จากนั้นถังบรรจุเบียร์อื่น ๆ ก็แตก ไล่เลี่ยกันจนเป็นโดมิโน ท้ายที่สุดเลยเกิดคลื่นเบียร์ขนาดยักษ์สูงราว 5 เมตร กล่าวกันว่าจำนวนเบียร์ที่ทะลักออกมาท่วมบ้านเรือนมีปริมาณสูงถึง 1,470,000 ลิตร คลื่นเบียร์ได้ท่วมบ้านเรือนในบริเวณใกล้เคียง มีรายงานพบผู้เสียชีวิต อย่างน้อย 8 คน เนื่องจากจมอยู่ใต้คลื่นเบียร์ที่ว่า
Great Molasses Flood
ในปี 1919 เกิดอุบัติเหตุถังบรรจุโมลาสหรือกากน้ำตาลที่บอสตันของ Purity Distilling Company เกิดรั่วไหลและทะลักออกมาท่วมบ้านเรือนผู้คน โดยกากน้ำตาลที่ทะลักออกมา ได้ก่อตัวเป็นคลื่นยักษ์สูงถึง 7.5 เมตร ด้วยปริมาณมหาศาลถึง 2.3 ล้านลิตร เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 56กม./ชม. พัดพาร่างผู้โชคร้ายจมหายไปกับคลื่นใจกลางเมืองบอสตันที่เต็มไปด้วยของเหลว จากกากน้ำตาล มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ถึง 21 คน ซ้ำร้ายมีรายงานว่าตำรวจไม่สามารถระบุตัวตนจากศพผู้เสียชีวิตได้เนื่องจาก ถูกฉาบด้วย เกล็ดน้ำตาลหนา
Lake Peigneur
ในปี 1980 บริษัทขุดเจาะน้ำมัน Texaco Oil Rig ได้บังเอิญพลาดไปขุดเจาะเหมืองเกลือ ที่อยู่ใต้ดินลึกลงไปของทะเลสาบ Lake Peigneur จนทำให้เกิดรูที่กว้างเพียงไม่กี่นิ้ว แต่ก็มากพอให้น้ำ จากทะเลสาบไหลทะลักเข้าไปท่วมในเหมืองดังกล่าว ด้วยความที่รูนั้นเล็กมากเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำมหาศาล ทำให้น้ำที่ไหลทะลักเข้าไปมีความแรงจนทำให้เกิดวังน้ำวนขนาดใหญ่และดูดกลืน พื้นดินและต้นไม้บริเวณนั้นลงไปด้วย
นอกจากนี้มันยังดูดเอาน้ำเค็มและ เรือบรรทุกสินค้าจากทะเลเข้ามาจนกลายเป็นน้ำตกชั่วคราวที่สูงที่สุดในโลก 50 เมตร อันเกิดจากผลงานของมนุษย์ หลังจากเหตุการณ์สงบลง ทะเลสาบแห่งนี้เลยกลายเป็นทะเลสาบน้ำเค็ม บริษัทขุดเจาะน้ำมันต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับบริษัทเหมืองเกลือ แต่โชคดีที่เหตุการณ์นี้ไม่มีใครเสียชีวิต
Sidoarjo Mud Volcano
ในปี 2006 เกิดเหตุการณ์ภูเขาไฟโคลนระเบิดขึ้นที่ Sidoarjo เนื่องจาก PT Lapindo Brantas ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของประเทศอินโดนีเซียได้ทำการขุดเจาะเพื่อสำรวจหาแหล่ง พลังงานธรรมชาติในบริเวณนั้น จนทำให้เกิดรูที่มีความลึกถึง 2,837 เมตร ทำให้โคลนไหลทะลักเข้าไปในรูดังกล่าว จนเกิดความดันและทำให้น้ำใต้โคลนที่มีความร้อนสูงถึง 60 องศาเซลเซียสปะทุขึ้น ไหลเข้าท่วมทุ่งนาในบริเวณ ใกล้เคียง มีผู้เสียชีวิตเนื่องจากโคลนถลมถึง 20 ราย ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้กลายเป็น ภูเขาไฟโคลนที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่พร้อมจะกลืนกินหมู่บ้านในละแวกนั้นให้จมลง ไปใต้โคลน
Great London Death Fog
ในปี 1952 ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อสภาพอากาศที่หนาวเย็นเกิดรวม ตัวกับควันพิษจากการทำเหมืองหิน จึงทำให้เกิดเป็นหมอกพิษสีเหลืองอมดำเข้าปกคลุมเมือง ทำให้ผู้คนและสิ่งมีชีวิตในเมืองได้รับผลกระทบมากมายจากหมอกพิษ มีรายงานผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์หมอกพิษครั้งนั้นถึง 4,000 คน ในช่วงวิกฤติเพียง 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 5 – 9 ธันวาคม ปีเดียวกัน จนในเวลาต่อมารัฐบาลอังกฤษได้เริ่มต้นร่างกฎหมายเพื่อแก้ไขมลพิษทางอากาศ ขึ้นมาเป็นวาระแห่งชาติ
Killer Fog:the story of the London Smog Disaster
http://www.clipmass.com/story/109498