หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

เรื่องพระจักขุปาลเถระ (อาจจะยาวไปนะครับ เพื่อเผยแผ่เนื้อหาในธรรมบท)

Share แชร์บอร์ด นิยาย เรื่องเล่า โพสท์โดย ชู

ดังได้สดับมา ในกรุงสาวัตถี มีกุฎุมพีผู้หนึ่งชื่อมหาสุวรรณ
เป็นคนมั่งมี มีทรัพย์มาก มีสมบัติมาก (แต่) ไม่มีบุตร. วันหนึ่งเขา
ไปสู่ท่าอาบน้ำ อาบเสร็จแล้วกลับมา เห็นต้นไม้ใหญ่ที่เป็นเจ้าไพร
ต้นหนึ่งมีกิ่งสมบูรณ์ ในระหว่างทาง คิดว่า "ต้นไม้นี้ จักมีเทวดาผู้มี
ศักดิ์ใหญ่สิงอยู่" ดังนี้แล้ว จึงให้ชำระส่วนภายใต้แห่งต้นไม้นั้นให้
(* นัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงแปล พ.ศ. ๒๔๔๑.
๑. นครหลวงของประเทศโกศลบัดนี้เรียกว่าสะเหต-มะเหต (Saheth. Maheth). )
สะอาดแล้ว ให้วงรั้ว เกลี่ยทราย ยกธงชัยและธงปฏากขึ้น แต่ง
ต้นไม้เจ้าไพรแล้ว ทำปรารถนา (คือบน) ว่า "ข้าพเจ้าได้บุตร
หรือธิดาแล้ว จักทำสักการะใหญ่ถวายท่าน" ดังนี้แล้ว หลีกไป.
[กุฎุมพีได้บุตรสองคน]
ในกาลเป็นลำดับมา ภรรยาของท่านเศรษฐีก็ตั้งครรภ์. ท่านก็ให้
พิธีครรภบริหาร๑ แก่นาง. ครั้นล่วง ๑๐ เดือน นางคลอดบุตรคนหนึ่ง
ท่านเศรษฐีขนานนามแห่งบุตรนั้นว่า "ปาละ" เพราะเหตุทารกนั้นตน
อาศัยไม้ใหญ่ที่เป็นเจ้าไพรอันตนอภิบาลจึงได้แล้ว.
ในกาลเป็นส่วนอื่น ท่านเศรษฐีได้บุตรอีกคนหนึ่ง ขนานนาม
ว่า "จุลปาละ" ขนานนามบุตรคนแรกว่า "มหาปาละ." ครั้น ๒
กุมารนั้นเจริญวัย๒ มารดาบิดาก็คิดผูกพันด้วยเครื่องผูกพันคือการครอง
เคหสถาน.
ในกาลเป็นส่วนอื่น มารดาบิดาได้ทำกาลกิริยาล่วงไป. วงศ์
ญาติก็เปิดสมบัติทั้งหมดมอบให้แก่ ๒ เศรษฐีบุตร๓.
[พระศาสดาประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ๒๕ พรรษา]
ในสมัยนั้น พระศาสดา ทรงประกาศพระบวรธรรมจักรให้เป็น
ไปแล้ว เสด็จไปโดยลำดับ ประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ที่ท่าน
(๑. เป็นพิธีอย่างหนึ่งในศาสนาพราหมณ์ทำกัน ๒ คราว คือ ทำเมื่อภรรยาตั้งครรภ์ได้ ๕
เดือนครั้งหนึ่ง เรียก ปจามฤตม ทำเมื่อตั้งครรภ์ได้ ๗ เดือนครั้งหนึ่ง เรียก สปฺตามฺฤตมฺ.
๒. มารดาบิดา ผูกบุตรทั้งสองนั้นสองนั้นผู้เจริญวัยแล้ว ด้วยเครื่องผูกคือเรือน
๓. พวกญาติก็แบ่งโภคะทั้งหมดจำเพาะแก่สองเศรษฐีบุตร. )
อนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี บริจาคทรัพย์นับได้ ๕๔ โกฏิสร้างถวาย,
ทรงสั่งสอนมหาชนให้ตั้งอยู่ในทางสวรรค์และในทางนิพพาน.
แท้จริง พระตถาคตเสด็จอยู่จำพรรษา ๆ เดียวเท่านั้นในนิโครธ
มหาวิหารที่พระญาติวงศ์ฝ่ายพระชนนี ๘ หมื่นตระกูล, ฝ่ายพระชนก ๘
หมื่นตระกูล เข้ากันเป็นแสนหกหมื่นตระกูลสร้างถวาย, เสด็จอยู่
จำพรรษา ณ เชตวันมหาวิหาร ที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างถวาย ๑๙
พรรษา, เสด็จจำพรรษา ณ บุพพารามที่นางวิสาขามหาอุบาสิกา บริจาค
ทรัพย์นับได้ ๒๗ โกฏิสร้างถวาย ๖ พรรษา, ทรงอาศัยที่ตระกูลทั้ง๑ ๒
เป็นผู้ใหญ่โดยคุณธรรม เสด็จอยู่จำพรรษาอาศัยกรุงสาวัตถี (เป็น
โคจรคาม) ถึง ๒๕ พรรษา ด้วยประการฉะนี้.
[ผู้บำรุงภิกษุสามเณร]
ทั้งท่านอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี ทั้งวิสาขามหาอุบาสิกาย่อมไป
สู่ที่อุปัฏฐากพระตถาคตเจ้าวันละ ๒ ครั้งเป็นประจำ. และเมื่อไปไม่เคย
มีมือเปล่าไป ด้วยคิดเกรงว่า "ภิกษุหนุ่มและสามเณร จักแลดูมือตน."
เมื่อไปก่อนเวลาฉันอาหาร ย่อมใช้ให้คนถือของขบเคี้ยวเป็นต้นไป;
เมื่อไปภายหลังแต่เวลาฉันอาหาร ใช้ให้คนถือปัญจเภสัช๒ และอัฐบาน๓
ไป. และในเคหสถานแห่งท่านทั้ง ๒ นั้น เขาแต่งอาสนะไว้เพื่อภิกษุ
(๑. กุล ตระกูล สกุล ครอบครัว (Family). ๒. เภสัช ๕ คือ เนยใส ๑ เนย
ข้น ๑ น้ำมัน ๑ น้ำผึ้ง ๑ น้ำอ้อย ๑. ๓. ปานะ ๘ คือ น้ำมะม่วง ๑ น้ำชมพู่หรือ
น้ำหว้า ๑ กล้วยมีเมล็ด ๑ น้ำกล้วยไม่มีเมล็ด ๑ น้ำมะซาง ๑ น้ำลูกจันทน์ หรือ
องุ่น ๑ น้ำเง่าอุบล ๑ น้ำมะปรางหรือลิ้นจี่ ๑. X
แห่งละ ๒ พันรูปเป็นนิตยกาล. พระภิกษุรูปใด ปรารถนาของ
สิ่งใด จะเป็นข้าวน้ำหรือเภสัช ของนั้นก็สำเร็จแก่พระภิกษุรูปนั้น
สมปรารถนา.
[เศรษฐีไม่เคยทูลถามปัญหา]
ในท่านทั้งสองนั้น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ไม่เคยทูลถาม
ปัญหาต่อพระศาสดา จนวันเดียว. ได้ยินว่า ท่านคิดว่า "พระ
ตถาคตเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าผู้ละเอียดอ่อน เป็นกษัตริย์ผู้ละเอียด
อ่อน เมื่อทรงแสดงธรรมแก่เรา ด้วยทรงพระดำริว่า 'คฤหบดีมี
อุปการะแก่เรามาก' ดังนี้ จะทรงลำบาก" แล้วไม่ทูลถามปัญหา
ด้วยความรักในพระศาสดาเป็นอย่างยิ่ง. ฝ่ายพระศาสดา พอท่าน
เศรษฐีนั่งแล้ว ทรงพระพุทธดำริว่า "เศรษฐีผู้มี รักษาเราในที่ไม่
ควรรักษา, เหตุว่าเราได้ตัดศีรษะของเราอันประดับประดาแล้ว ควัก
ดวงตาของเราออกแล้ว ชำแหละเนื้อหัวใจของเราแล้ว สละลูกเมีย
ผู้เป็นที่รักเสมอด้วยชีวิตของเราแล้ว บำเพ็ญบารมีอยู่ ๔ อสงไขยกับ
แสนกัลป์ ก็บำเพ็ญแล้วเพื่อแสดงธรรมแก่ผู้อื่นเท่านั้น เศรษฐีนี่
รักษาเราในที่ไม่ควรรักษา," (ครั้นทรงพุทธดำริ) ฉะนี้แล้ว ก็ตรัส
พระธรรมเทศนากัณฑ์หนึ่งเสมอ.
[ชาวสาวัตถีไปฟังธรรม]
ครั้งนั้น ในกรุงสาวัตถี มีคนอยู่ ๗ โกฏิ.๑ ในคนหมู่นั้น คนได้
๑. ในกรุงสาวัตถีไม่ปรากฏใหญ่โตถึงกับจุคนได้ตั้ง ๗๐ ล้าน เพราะฉะนั้นน่าจะเป็นอเนกสังขยา
กระมัง ?
ฟังธรรมกถาของพระศาสดาแล้ว เกิดเป็นอริยสาวกประมาณ ๕ โกฏิ
ยังเป็นปุถุชนอยู่ประมาณ ๒ โกฏิ. ในคนเหล่านั้น กิจของพระอริย-
สาวกมีเพียง ๒ อย่างเท่านั้น คือในกาลก่อนแต่เวลาฉันอาหาร ท่าน
ถวายทาน, ในกาลภายหลังแต่ฉันอาหารแล้ว ท่านมีถือเครื่อง
สักการบูชามีขอหอมและระเบียงดอกไม้เป็นต้น ใช้คนให้ถือไทยธรรม
มีผู้เภสัชและน้ำปานะเป็นต้น ไปเพื่อต้องการฟังธรรม.
[มหาปาละตามไปฟังธรรม]
ภายหลังวันหนึ่ง กุฎุมพีมหาปาละเห็นหมู่อริยสาวก มีมือถือ
เครื่องสักการบูชา มีของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้น ไปสู่วิหาร๑
จึงถามว่า "มหาชนหมู่นี้ไปไหนกัน ?" ครั้นได้ยินว่า "ไปฟังธรรม"
ก็คิดว่า "เราก็จักไปบ้าง" ครั้นไปถึง ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว
นั่งอยู่ข้างท้ายประชุมชน.
ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อจะทรงแสดงธรรม ทอด
พระเนตรอุปนิสัยแห่งคุณ มีสรณะศีลและบรรพชาเป็นต้น (ก่อน) แล้ว
จึงทรงแสดงธรรมตามอำนาจอัธยาศัย.
[อนุปุพพีกถา ๕]
เหตุนั้น วันนั้น พระศาสดา ทอดพระเนตรอุปนิสัยของ
กุฎมพีมหาปาละแล้ว เมื่อทรงแสดงธรรม ได้ตรัสอนุปุพพีกถา
คือทรงประกาศทานกถา (พรรณนาทาน) สีลกถา (พรรณนาศีล
สัคคกถา (พรรณนาสวรรค์) โทษ ความเลวทรามและความเศร้า-
หมองแห่งกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในเนกขัมมะ (คือความออก
ไปจากกามทั้งหลาย).
[มหาปาละขอบวช]
กุฎุมพีมหาปาละได้สดับธรรมนั้นแล้ว คิดว่า "บุตรและธิดาก็ดี
โภคสมบัติก็ดี ย่อมไปตามผู้ไปสู่ปรโลกหาได้ไม่ แม้สรีระก็ไปกับตัว
ไม่ได้ ประโยชน์อะไรของเราด้วยการอยู่ครองเรือน เราจักบวช
พอเทศนาจบ เขาก็เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลของบวช. ขณะนั้น พระ
ศาสดาตรัสถามเขาว่า "ญาติไหน ๆ ของท่านที่ควรจะต้องอำลาไม่มี
บ้างหรือ ?"
เขาทูลว่า "พระเจ้าข้า น้องชายของข้าพเจ้ามีอยู่."
พระศาสดารับสั่งว่า "ถ้าอย่างนั้นท่านจงอำลาเขาเสีย ก่อน."
[มหาปาละมอบสมบัติให้น้องชาย]
เขาทูลรับว่า "ดีแล้ว" ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ไปถึง
เรือนแล้ว ให้เรียกน้องชายมา มอบทรัพย์สมบัติให้ว่า "แน่ะพ่อ
สวิญญาณกทรัพย์ก็ดี อวิญญาณกทรัพย์ก็ดี อันใดอันหนึ่ง บรรดา
มีในตระกูลนี้ ทรัพย์นั้นจงตกเป็นภาระของเจ้าทั้งหมด เจ้าดูและทรัพย์
นั้นเถิด."
น้องชายถามว่า "นาย ก็ท่านเล่า ?"
พี่ชายตอบว่า "ข้าจักบวชในสำนักของพระศาสดา."
น. พี่พูดอะไร เมื่อมารดาของข้าพเจ้าตายแล้ว ข้าพเจ้าได้
ท่านเป็นเหมือนมารดา เมื่อบิดาตายแล้ว ได้ท่านเป็นเหมือนบิดา.
สมบัติเป็นอันมากมีอยู่ในเรือนของท่าน, ท่านอยู่ครองเรือนเท่านั้น
อาจทำบุญได้, ขอท่านอย่าได้ทำอย่างนั้นเลย.
พ. พ่อ ข้าได้ฟังธรรมเทศนาของพระศาสดา, เพราะ (เหตุที่)
พระศาสดาทรงแสดงธรรมมีคุณไพเราะ (ทั้ง) ในเบื้องต้น ท่ามกลาง
และที่สุด ยกขึ้นสู่ไตรลักษณะ๑ อันละเอียดสุขุม ธรรมนั้น อันใคร ๆ
ไม่สามารถจะบำเพ็ญให้บริบูรณ์ในท่ามกลางเรือนได้; ข้าจักบวชละ พ่อ.
น. พี่ เออก็ ท่านยังหนุ่มอยู่โดยแท้, เอาไว้บวชในเมื่อท่านแก่
เถิด.
น. พ่อ ก็เมื่อมือและเท้าของคนแก่ (แต่) ของตัว ก็ยังว่าไม่ฟัง
ไม่เป็นไปในอำนาจ, ก็จักกล่าวไปทำอะไรถึงญาติทั้งหลาย, ข้านั้น
จะไม่ทำ (ตาม) ถ้อยคำของเจ้า, ข้าจักบำเพ็ญสมณปฏิบัติให้บริบูรณ์.
มือและเท้าของผู้ใด ทรุดโทรมไปเพราะชรา ว่า
ไม่ฟัง ผู้นั้น มีเรี่ยวแรงอันชรากำจัดเสียแล้ว
จักประพฤติธรรมอย่างไรได้.
ข้าจักบวชแน่ละ พ่อ.
[มหาปาละบรรพชาอุปสมบท]
เมื่อน้องชายกำลังร้องไห้อยู่เทียว, เขาไปสู่สำนักพระศาสดาแล้ว
ทูลขอบวช๒ ได้บรรพชาอุปสมบทแล้ว๒ อยู่ในสำนักแห่งพระอาจารย์
และอุปัชฌาย์ครบ ๕ พรรษาแล้ว ออกพรรษา ปวารณาแล้ว
( ๑. ไตรลักษณะ คือ อนิจจลักษณะ ๑ ทุกขลักษณะ ๑ อนัตตลักษณะ ๑.
๒. ถ้าฟังตามนี้พระมหาปาละพรรพชาอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา หาใช่
เอหิภิกขุอุปสัมปทาไม่. )
เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ทูลถามว่า "พระเจ้าข้า ใน
พระศาสนานี้ มีธุระกี่อย่าง ?"
[ธุระ ๒ อย่างในพระศาสนา]
พระศาสนาตรัสตอบว่า "ภิกษุ ธุระมี ๒ อย่าง คือ คันถธุระ
(กับ) วิปัสสนาธุระ เท่านั้น."
พระมหาปาละทูลถามว่า "พระเจ้าข้า ก็คันถธุระเป็นอย่างไร ?
วิปัสสนาธุระเป็นอย่างไร ?"
ศ. ธุระนี้ คือ การเรียนนิกายหนึ่งก็ดี สองนิกายก็ดี จบ
พุทธวจนะคือพระไตรปิฎกก็ดี ตามสมควรแก่ปัญญาของตนแล้วทรง
ไว้ กล่าว บอก พุทธวจนะนั้น ชื่อว่าคันถธุระ. ส่วนการเริ่มตั้งความ
สิ้นและความเสื่อมไว้ในอัตภาพ ยังวิปัสสนาให้เจริญ ด้วยอำนาจ
แห่งการทำการติดต่อแล้ว ถือเอาพระอรหัตของภิกษุผู้มีความประพฤติ
แคล่วคล่อง ยินดียิ่งแล้วในเสนาสนะอันสงัด ชื่อว่าวิปัสสนาธุระ.
ม. พระเจ้าข้า ข้าพระองค์บวชแล้วแต่เมื่อแก่ ไม่สามารถจะ
บำเพ็ญคัณถธุระให้บริบูรณ์ได้, แต่จักบำเพ็ญวิปัสสนาธุระให้บริบูรณ์,
ขอพระองค์ตรัสบอกพระกรรมฐานแก่ข้าพระองค์เถิด.
[พระมหาปาละเดินทางไปบ้านปลายแดน]
ลำดับนั้น พระศาสดา ได้ตรัสบอกพระกรรมฐานตลอดถึงพระ
อรหัตแก่พระมหาปาละ. ท่านถวายบังคมพระศาสดาแล้ว แสวงหา
ภิกษุผู้จะไปกับตน ได้ภิกษุ ๖๐ รูปแล้ว ออกพร้อมกับเธอทั้งหลาย
ไปตลอดทาง ๑๒๐ โยชน์ ถึงบ้านปลายแดนหมู่ใหญ่ตำบลหนึ่ง จึง
พร้อมด้วยบริวาร เข้าไปบิณฑบาต ณ บ้านนั้น.
[ชาวบ้านเสื่อมใสอาราธนาให้อยู่จำพรรษา]
หมู่มนุษย์ เห็นภิกษุทั้งหลาย ผู้ถึงพร้อมด้วยวัตร มีจิต
เสื่อมใส แต่งอาสนะแล้วนิมนต์ให้นั่ง อังคาสด้วยอาหารอันประณีต
แล้ว ถามว่า " ท่านเจ้าข้า พระผู้เป็นเจ้าจะไปที่ไหน ?" เมื่อเธอ
ทั้งหลายกล่าวตอบว่า "อุบาสกและอุบาสิกาทั้งหลาย เราจะไปสู่ที่
ตามผาสุก" ดังนี้แล้ว, มนุษย์ผู้เป็นบัณฑิตรู้ว่า "ท่านผู้เจริญ ทั้งหลาย
แสวงหาเสนาสนะที่จำพรรษา," จึงกล่าวอาราธนาว่า "ท่านผู้เจริญ
ถ้าพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย พึงอยู่ ณ ที่นี่ตลอดไตรมาสนี้ ข้าพเจ้า
ทั้งหลาย จะพึงตั้งอยู่ในสรณะแล้วถือศีล." แม้เธอทั้งหลายก็คิดเห็น
ว่า "เราได้อาศัยตระกูลเหล่านี้ จักทำการออกไปจากภพได้" ดังนี้
จึงรับนิมนต์. หมู่มนุษย์รับปฏิญญาของเธอทั้งหลายแล้ว ได้ (ช่วย
กัน) ปัดกวาดวิหาร จัดที่อยู่ในกลางคืน และที่อยู่ในกลางวันแล้วมอบ
ถวาย. เธอทั้งหลาย เข้าไปบิณฑบาตบ้านนั้นตำบลเดียวเป็นประจำ.
ครั้งนั้น หมอผู้หนึ่งเข้าไปหาเธอทั้งหลาย ปวารณาว่า "ท่านผู้เจริญ
ธรรมดาในที่อยู่ของคนมาก ย่อมมีความไม่ผาสุกบ้าง. เมื่อความไม่
ผาสุกนั้นเกิดขึ้นแล้ว ท่านทั้งหลายพึงบอกแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักทำ
เภสัชถวาย."
[พระมหาปาละถือเนสัชชิกธุดงค์]
ในวันจำพรรษา ๑ พระเถระเรียกภิกษุเหล่านั้นมา (พร้อมกัน)
แล้ว ถามว่า "ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจักให้ไตรมาสนี้
น้อมล่วงไปด้วยอิริยาบถเท่าไร ?"
ภิกษุทั้งหลายเรียนตอบว่า "จักให้น้อมล่วงไปด้วยอิริยาบถ
ครบทั้ง ๔ ขอรับ."
ถ. ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ข้อนั้นสมควรละหรือ ? เรา
ทั้งหลายควรเป็นผู้ไม่ประมาทไม่ใช่หรือ ? เพราะเราทั้งหลายเรียน
พระกรรมฐานมาจากสำนักของพระพุทธเจ้า ผู้ยังทรงพระชนม์อยู่.
แลธรรมดาว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย อันคนมักอวดไม่สามารถจะให้
ทรงยินดีได้, ด้วยว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น อันคนมีอัธยาศัยงาม
(จำพวกเดียว) พึงให้ทรงยินดีได้, และขึ้นชื่อว่าอบายทั้ง ๔ เป็น
เหมือนเรือนของตัวเอง แห่งคนผู้ประมาทแล้ว, ขอท่านทั้งหลายจง
เป็นผู้ไม่ประมาทเถิด ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย.
ภ. ก็ท่านเล่า ขอรับ.
ถ. ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ข้าพเจ้าจักให้ (ไตรมาสนี้) น้อม
ล่วงไปด้วยอิริยาบถ ๓, จักไม่เหยียดหลัง.
ภ. สาธุ ขอจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด ขอรับ.
[จักษุของพระมหาปาละพิการ]
เมื่อพระเถระไม่หยั่งลงสู่นิทรา, เมื่อเดือนต้นผ่านไปแล้ว, โรค
ในจักษุก็เกิดขึ้น. สายน้ำไหลออกจากตาทั้ง ๒ ข้าง เหมือนสาย
น้ำอันไหลออกจากหม้ออันทะลุ. ท่านบำเพ็ญสมณธรรมตลอดราตรี
ทั้งสิ้นแล้ว ในเวลาอรุณขึ้น เข้าห้องนั่งแล้ว. ในเวลาภิกขาจาร
ภิกษุทั้งหลาย ไปสู่สำนักของพระเถระเรียนว่า "เวลานี้เป็นเวลา
ภิกขาจาร ขอรับ." พระเถระตอบว่า "ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ถ้า
อย่างนั้น ท่านทั้งหลายถือบาตรและจีวรเถิด" ดังนี้แล้ว ให้เธอ
ทั้งหลายถือบาตรและจีวรของตน ออกไปแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย เห็นตาทั้งสองของพระเถระนองอยู่ จึงเรียน
ถามว่า "นั่นเป็นอะไร ขอรับ."
ถ. ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ลมแทงตาของข้าพเจ้า.
ภ. ท่านขอรับ หมอปวารณาเราไว้ไม่ใช่หรือ ? เราควรบอก
แก่เขา.
ถ. ดีละ ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย.
[หมอปรุงยาให้หยอด]
เธอทั้งหลายจึงได้บอกแก่หมอ. เขาหุงน้ำมันส่งไปถวายแล้ว.
พระเถระเมื่อหยอดน้ำมันในจมูก นั่งหยอดเทียวแล้วเข้าไปภายในบ้าน.
หมอเห็นเรียนถามว่า "ท่านขอรับ ได้ยินว่า ลมแทงตาของ
พระผู้เป็นเจ้าหรือ ?"
ถ. เออ อุบาสก.
ม. ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าหุงน้ำมันแล้วส่งไป (ถวาย) ท่านหยอด
ทางจมูกแล้วหรือ ?
ถ. เออ อุบาสก.
ม. เดี๋ยวนี้ เป็นอย่างไร ขอรับ.
ถ. ยังแทงอยู่ทีเดียว อุบาสก.
[พระมหาปาละนั่งหยอดยา]
หมอคิดฉงนใจว่า "เราส่งน้ำมันเพื่อจะยังโรคให้ระงับได้ด้วย
การหยอดเพียงครั้งเดียวเท่านั้นไปถวายแล้ว, เหตุไฉนหนอแล โรค
จึงยังไม่สงบ ?" จึงเรียนถามว่า "ท่านเจ้าข้า น้ำมันนั้น ท่านนั่ง
หยอดหรือนอนหยอด."
พระเถระได้นิ่งเสีย, ท่านแม้หมอซักถามอยู่ก็ไม่พูด.
หมอนึกว่า "เราจักไปวิหารดูที่อยู่เอง" ดังนี้แล้ว กล่าวว่า
"ถ้าอย่างนั้น นิมนต์ไปเถิด ขอรับ" ผละพระเถระแล้ว ไปสู่
วิหารดูที่อยู่ของพระเถระ เห็นแต่ที่จงกรมและที่นั่ง ไม่เห็นที่นอน
จึงเรียนถามว่า "ท่านเจ้าข้า น้ำมันนั้น ท่านนั่งหยอดหรือนอน
หยอด" พระเถระได้นิ่งเสีย. หมออ้อนวอนซ้ำว่า "ท่านผู้เจริญ
ขอท่านอย่าได้ทำอย่างนั้น, ธรรมดาสมณธรรม เมื่อร่างกายยังเป็น
ไปอยู่ ก็อาจทำได้, ขอท่านนอนหยอดเถิด."
[พระมหาปาละปรึกษากรัชกาย]
พระเถระตอบว่า "ไปเถิด ผู้มีอายุ ข้าพเจ้าจักปรึกษาดู
ก่อนแล้วจึงจักรู้." ก็ในที่นั้นไม่มีญาติสาโลหิตของพระเถระเลย ท่าน
จะพึงปรึกษากับใครเล่า ? ถึงอย่างนั้น ท่านปรึกษากับกรัชกาย๑ อยู่
ดำริว่า "แน่ะปาลิตะผู้มีอายุ ท่านจงว่ามาก่อน, ท่านจักเห็นแก่จักษุ
หรือจักเห็นแก่พระพุทธศาสนา, ก็ในสังสารวัฏอันมีที่สุด อันใครตาม
ค้นไปก็รู้ไม่ได้ การคณนานับตัวท่านผู้บอดด้วยจักษุหามีไม่, และ
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ล่วงไปหลายร้อยหลายพันพระองค์แล้ว ใน
พระพุทธเจ้าเหล่านั้น พระพุทธเจ้า แม้แต่พระองค์เดียวก็กำหนดไม่ได้.
ท่านได้ผูกใจไว้เดี๋ยวนี้เองว่า "จักไม่นอน จนตลอด ๓ เดือนภายใน
ฤดูฝนนี้;" เหตุฉะนั้น จักษุของท่านฉิบหายเสียหรือแตกเสียก็ตามเถิด
ท่านจงทรงแต่พระพุทธศาสนาไว้เถิด อย่าเห็นแก่จักษุเลย" เมื่อกล่าว
สอนภูตกาย ได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ว่า :-
"จักษุที่ท่านถือว่าของตัว เสื่อมไปเสียเถิด, หู
ก็เสื่อมไปเสียเถิด, กายก็เป็นเหมือนกันอย่าง
นั้นเถิด, แม้สรรพสิ่งอันอาศัยกายนี้ ก็เสื่อม
ไปเสียเถิด, ปาลิตะ เหตุไฉน ท่านจึงประมาท
อยู่. จักษุที่ท่านถือว่าของตัว ทรุดโทรมไปเสีย
เถิด, หูก็ทรุดโทรมไปเสียเถิด, กายก็เป็นเหมือน
กันอย่างนั้นเถิด, แม้สรรพสิ่งอันอาศัยกายนี้
ก็ทรุดโทรมไปเสียเถิด, ปาลิตะ เหตุไฉน ท่าน
จึงประมาทอยู่. จักษุที่ท่านถือว่าของตัว แตก
ไปเสียเถิด, หูก็แตกไปเสียเถิด, รูปก็เป็น
เหมือนกันอย่างนั้นเถิด, แม้สรรพสิ่งอันอาศัย
กายนี้ ก็แตกไปเสียเถิด, ปาลิตะ เหตุไฉน
ท่านจึงประมาทอยู่."
[หมอเลิกรักษาพระมหาปาละ]
ครั้นพระเถระให้โอวาทแก่ตนเองด้วย ๓ คาถาอย่างแล้ว ได้นั่ง
ทำนัตถุกรรม ๑ แล้วจึงเข้าไปบ้านเพื่อบิณฑบาต หมอเห็นแล้วเรียน
ถามว่า "ท่านเจ้าข้า ท่านทำนัตถุกรรมแล้วหรือ ?"
ถ. เออ อุบาสก.
ม. เป็นอย่างไรบ้าง ขอรับ.
ถ. ยังแทงอยู่เทียว อุบาสก.
ม. ท่านนั่งหยอดหรือนอนหยอด ขอรับ.
พระเถระได้นิ่งเสีย, ท่านแม้อันหมอถามซ้ำ ก็ไม่พูดอะไร.
ขณะนั้น หมอกกล่าวกะท่านว่า "ท่านผู้เจริญ ท่านไม่ทำ
ความสบาย, ตั้งแต่วันนี้ ขอท่านอย่าได้กล่าวว่า 'หมอผู้โน้นหุงน้ำมัน
ให้เรา' แม้ข้าพเจ้าก็จักไม่กล่าวว่า 'ข้าพเจ้าหุงน้ำมันถวายท่าน."
[พระเถระเสียจักษุพร้อมด้วยบรรลุด้วยพระอรหัต]
พระเถระถูกหมอบอกเลิกแล้ว กลับไปสู่วิหาร ดำริว่า "ท่าน
แม้หมอเขาก็บอกเลิกแล้ว ท่านอย่าได้ละอิริยาบถเสียนะ สมณะ"
แล้วกล่าวสอนตนด้วยคาถานี้ว่า
"ปาลิตะ ท่านถูกหมอเขาบอกเลิกจากการรักษา
ทิ้งเสียแล้ว เที่ยงต่อมัจจุราช ไฉนจึงยังประมาท อยู่เล่า ?"
ดังนี้แล้ว บำเพ็ญสมณธรรม.
ลำดับนั้น พอมัชฌิมยามล่วงแล้ว, ทั้งดวงตา ทั้งกิเลส ของ
ท่านแตก (พร้อมกัน) ไม่ก่อนไม่หลังกว่ากัน. ท่านเป็นพระอรหันต์
สุกขวิปัสสก๑ เข้าไปสู่ห้องนั่งแล้ว.
[พวกภิกษุและชาวบ้านรับบำรุงพระเถระ]
ในเวลาภิกขาจาร ภิกษุทั้งหลายไปเรียนว่า "ท่านผู้เจริญ
เวลานี้ เป็นเวลาภิกขาจาร."
ถ. กาลหรือ ? ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย.
ภ. ขอรับ.
ถ. ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายไปเถิด.
ภ. ก็ท่านเล่า ? ขอรับ.
ถ. ตาของข้าพเจ้า เสื่อมเสียแล้ว ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย.
เธอทั้งหลายแลดูตาของท่านแล้ว มีตาเต็มด้วยน้ำตา ปลอบ
พระเถระว่า "ท่านผู้เจริญ ท่านอย่าคิดไปเลย, กระผมทั้งหลาย
จักปฏิบัติท่าน" ดังนี้แล้ว ทำวัตรปฏิบัติที่ควรจะทำเสร็จแล้วเข้าไป
สู่บ้าน. หมู่มนุษย์ไม่เห็นพระเถระ ถามว่า "ท่านเจ้าข้า พระผู้เป็นเจ้า
ของข้าพเจ้าทั้งหลาย ไปข้างไหนเสีย" ทราบข่าวนั้นแล้ว ส่งข้าวต้ม
ไปถวายก่อนแล้ว ถือเอาบิณฑบาตไปเอง ไหว้พระเถระแล้ว ร้องไห้
กลิ้งเกลือกอยู่แทบเท้า (ของท่าน) ปลอบว่า "ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้า
ทั้งหลายจักรับปฏิบัติ ท่านอย่าได้คิดไปเลย แล้วลากลับ. ตั้งแต่นั้นมา
เขาก็ส่งข้างต้มและข้าวสวยไปถวายที่วิหารเป็นนิตย์.
ฝ่ายพระเถระ ก็กล่าวสอนภิกษุ ๖๐ รูปนอกนี้เป็นนิรันดร์. เธอ
ทั้งหลายตั้งอยู่ในโอวาทของท่าน, ครั้นจวนวันปวารณา ก็บรรลุ
พระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทุกรูป.
[พวกภิกษุไปเฝ้าพระศาสดา]
ก็แลเธอทั้งหลายออกพรรษาแล้ว อยากจะเฝ้าพระศาสดา จึง
เรียนพระเถระว่า "กระผมทั้งหลายอยากจะเฝ้าพระศาสดา ขอรับ."
พระเถระได้ฟังคำของเธอทั้งหลายแล้วคิดว่า "เราเป็นคน
ทุพพลภาพ และในระหว่างทาง ดงที่อมนุษย์สิงก็มีอยู่ เมื่อเราไป
กับเธอทั้งหลาย จักพากันลำบากทั้งหมด จักไม่อาจเพื่ออันได้แม้
ภิกษา เราจักส่งภิกษุเหล่านี้ไปเสียก่อน." ลำดับนั้น ท่านจึงกล่าว
กะเธอทั้งหลายว่า "ผู้มีอายุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายไปก่อนเถิด."
ภ. ก็ท่านเล่า ? ขอรับ.
ถ. ข้าพเจ้าเป็นคนทุพพลภาพ และในระหว่างทาง ดงที่อมนุษย์
สิงก็มีอยู่ เมื่อข้าพเจ้าไปกันท่านทั้งหลาย จักพากันลำบากทั้งหมด
ท่านทั้งหลายไปก่อนเถิด.
ภ. อย่าทำอย่างนี้เลย ขอรับ กระผมทั้งหลายจักไปพร้อมกันกับ
ท่านทีเดียว.
ถ. "ท่านทั้งหลายอย่าชอบอย่างนั้นเลย, เมื่อเป็นอย่างนั้น
ความไม่ผาสุกจักมีแก่ข้าพเจ้า, น้องชายของข้าพเจ้า เห็นท่านทั้งหลาย
แล้ว คงจักถาม, เมื่อเช่นนั้น ท่านทั้งหลายพึงบอกความที่จักษุของ
ข้าพเจ้าเสื่อมเสียแล้วแก่เขา, เขาคงจักส่งใคร ๆ มาสู่สำนักของข้าพเจ้า,
ข้าพเจ้าจักไปกับเขา, ท่านทั้งหลายจงไหว้พระทศพลและพระอสีติมหา-
เถระตามคำของข้าพเจ้า" ดังนี้แล้ว ก็ส่งภิกษุเหล่านั้นไป.
[พวกภิกษุแจ้งข่าวแก่น้องชายพระเถระ]
เธอทั้งหลายขมาพระเถระแล้ว เข้าไปสู่ภายในบ้าน. หมู่มนุษย์
นิมนต์ให้นั่ง ถวายภิกษาแล้ว ถามว่า "ท่านเจ้าข้า ดูท่าทีพระผู้เป็น
เจ้าทั้งหลายจะไปกันละหรือ ?"
เธอทั้งหลายตอบว่า "เออ อุบาสกและอุบาสิกาทั้งหลาย พวก
ข้าพเจ้าอยากจะเฝ้าพระศาสดา." พวกเขาอ้อนวอนเป็นหลายครั้งแล้ว
ทราบความพอใจในการที่เธอทั้งหลายจะไปให้ได้ จึงตามไปส่งแล้ว
บ่นรำพันกลับมา.
ฝ่ายเธอทั้งหลาย ไปถึงพระเชตวันโดยลำดับ ถวายบังคม
พระศาสดาและไหว้พระมหาเถระทั้งหลาย ตามคำของพระเถระแล้ว,
ครั้นรุ่งขึ้น เข้าไปสู่ถนนที่น้องชายของพระเถระอยู่ เพื่อบิณฑบาต.
กุฎุมพีจำเธอทั้งหลายได้ นิมนต์ให้นั่ง ทำปฏิสันถารแล้ว ถามว่า
"พระเถระพี่ชายของข้าพเจ้าอยู่ไหน ?"
ลำดับนั้น เธอทั้งหลาย แจ้งข่าวนั้นแก่เขาแล้ว.
เขาร้องไห้กลิ้งเกลืออยู่แทบบาทมูลของเธอทั้งหลาย ถามว่า
"ท่านเจ้าข้า บัดนี้ควรทำอะไรดี ?"
[ส่งสามเณรหลานชายไปรับพระเถระ]
ภ. พระเถระต้องการให้ใคร ๆ ไปจากที่นี้, ในกาลเมื่อไปถึง
แล้ว ท่านจักมากับเขา.
ก. ท่านเจ้าข้า เจ้าคนนี้ หลานของข้าพเจ้าชื่อปาลิตะ ขอ
ท่านทั้งหลายส่งเจ้านี่ไปเถิด.
ภ. ส่งไปอย่างนี้ไม่ได้ (เพราะ) อันตรายในทางมีอยู่, ต้องให้
บวชเสียก่อนแล้วส่งไป จึงจะควร.
ก. ขอท่านทั้งหลายทำอย่างนั้นแล้วส่งไปเถิด ขอรับ.
ครั้งนั้น เธอทั้งหลายให้เขาบวชแล้ว สั่งสอนให้ศึกษาข้อ
วัตรปฏิบัติมีรับจีวรเป็นต้นสักกึ่งเดือนแล้ว บอกทางให้แล้วส่งไป.
สามเณรถึงบ้านนั้นโดยลำดับ เห็นชายผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ประตูบ้าน
จึงถามว่า "วิหารป่าไร ๆ อาศัยบ้านนี้มีบ้างหรือ ?"
ช. มี เจ้าข้า.
ส. ใครอยู่ที่นั้น ?
ช. พระเถระชื่อปาลิตะ๑ เจ้าข้า.
ส. ขอท่านบอกทางแก่ข้าพเจ้าหน่อย.
ช. ท่านเป็นอะไรกัน ? เจ้าข้า.
ส. รูปเป็นหลานของพระเถระ.
[สามเณรชวนพระมหาปาละกลับ]
ขณะนั้น เขาพาเธอนำไปสู่วิหารแล้ว. เธอไหว้พระเถระแล้ว
ทำวัตรปฏิบัติ บำรุงพระเถระด้วยดีสักกึ่งเดือนแล้ว เรียนว่า
"ท่านผู้เจริญ กุฎุมพีผู้ลุงของกระผม ต้องการให้ท่านกลับไป ขอ
ท่านมาไปด้วยกันเถิด."
พระเถระกล่าวว่า "ถ้าอย่างนั้น เธอจงจับปลายไม้เท้าของ
เราข้า." สามเณรจับปลายไม้เท้า เข้าไปภายในบ้านกับพระเถระ.
หมู่มนุษย์นิมนต์ให้นั่งแล้ว เรียนถามว่า "ท่านผู้เจริญ ดูท่าที
ท่านจะไปละกระมัง ?"
พระเถระตอบว่า "เออ อุบาสกและอุบาสิกาทั้งหลาย เราจะไป
ถวายบังคมพระศาสดา." หมู่มนุษย์เหล่านั้น อ้อนวอนโดยประการ
ต่าง ๆ เมื่อไม่ได้ (สมหวัง) ก็ไปส่งพระเถระได้กึ่งทางแล้ว พากัน
ร้องไห้กลับมา.
[สามเณรถึงสีลวิบัติเพราะเสียงหญิง]
สามเณรพาพระเถระ ด้วยปลายไม้เท้าไปอยู่ ถึงบ้านที่พระเถระ
เคยอาศัยเมืองชื่อสังกัฏฐะ อยู่แล้วในดงระหว่างทาง. เธอได้ยินเสียง
ขับของหญิงคนหนึ่ง ผู้ออกจากบ้านนั้นแล้ว ขับพลางเที่ยวเก็บฟืนพลาง
อยู่ในป่า ถือนิมิตในเสียงแล้ว.
จริงอยู่ ไม่มีเสียงอื่น ชื่อว่าสามารถแผ่ไปทั่วสรีระของบุรุษ
ทั้งหลายตั้งอยู่ เหมือนเสียงหญิง. เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นเสียงอื่นแม้สักอย่าง อันจะ
ยึดจิตของบุรุษตั้งอยู่ เหมือนเสียงหญิง นะภิกษุทั้งหลาย."
สามเณรถือนิมิตในเสียงนั้นแล้ว ปล่อยปลายไม้เท้าเสียแล้ว
กล่าวว่า "ท่านขอรับ ขอท่านรออยู่ก่อน, กิจขอบกระผมมี"
ดังนี้แล้ว ไปสู่สำนักของหญิงนั้น. นางเห็นเธอแล้วได้หยุดนิ่ง.
เธอถึงสีลวิบัติกับนางแล้ว. พระเถระคิดว่า "เราได้ยินเสียงขับอันหนึ่ง
แล้วเดี๋ยวนี้เอง, ก็แล เสียงนั้นคงเป็นเสียงหญิง, ถึงสามเณรก็
ชักช้าอยู่, เธอจักถึงสีลวิบัติเสียแน่แล้ว." ฝ่ายสามเณรนั้น ทำกิจของ
ตนสำเร็จแล้วมาพูดว่า "เราทั้งหลายไปกันเถิด ขอรับ."
ขณะนั้น พระเถระถามเธอว่า "สามเณร เธอกลายเป็นคน
ชั่วเสียแล้วหรือ ?" เธอนิ่งเสีย แม้พระเถระถามซ้ำก็ไม่พูดอะไร ๆ.
[พระเถระไม่ยอมให้สามเณรคบ]
ลำดับนั้น พระเถระกล่าวกะเธอว่า "ธุระด้วยการที่คนชั่วเช่น
เธอจับปลายไม้เท้าของเรา ไม่ต้องมี." เธอถึงซึ่งความสังเวชแล้ว
เปลื้องผ้ากาสายะเสียแล้ว นุ่งห่มอย่างคฤหัสถ์พูดว่า "ท่านผู้เจริญ
เมื่อก่อน กระผมเป็นสามเณร แต่เดี๋ยวนี้กระผมกลับเป็นคฤหัสถ์แล้ว,
อนึ่ง กระผมเมื่อบวชก็ไม่ได้บวชด้วยศรัทธา บวชเพราะกลัวแต่อันตราย
ในหนทางของท่านมาไปด้วยกันเถิด."
พระเถระพูดว่า "ผู้มีอายุ คฤหัสถ์ชั่วก็ดี สมณะชั่วก็ดี ก็ชั่ว
ทั้งนั้น; เธอแม้ตั้งอยู่ในความเป็นสมณะแล้ว ไม่อาจเพื่อทำคุณ
เพียงแต่ศีลให้บริบูรณ์ เป็นคฤหัสถ์ จักทำความดีงามชื่ออะไรได้,
ธุระด้วยการที่คนชั่วเช่นเธอจับปลายไม้เท้าของเรา ไม่ต้องมี."
นายปาลิตะตอบว่า "ท่านผู้เจริญ หนทางมีอมนุษย์ชุมและ
ท่านก็เสียจักษุ จักอยู่ในที่นี้อย่างไรได้."
ลำดับนั้น พระเถระ กล่าวกะเขาว่า "ผู้มีอายุ เธออย่าง
ได้คิดอย่างนั้นเลย, เราจะนอนตายอยู่ ณ ที่นี้ก็ดี จะนอนกลิกกลับไป
กลับมา ณ ที่นี้ก็ดี ขึ้นชื่อว่าการไปกับเธอย่อมไม่มี" (ครั้นว่าอย่างนี้
แล้ว) ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
"เอาเถิด เราเป็นผู้มีจักษุอันเสียแล้ว มาสู่ทาง
ไกลอันกันดาร นอนอยู่ (ก็ช่าง) จะไม่ไป,
เพราะความเป็นสหายในชนพาลย่อมไม่มี. เอา
เถิด เราเป็นผู้มีจักษุเสียแล้ว มาสู่ทางไกล
อันกันดาร จักตายเสีย จักไม่ไป, เพราะความ
เป็นสหายในชนพาลย่อมไม่มี"
นายปาลิตะ ได้ยินคำนั้นแล้ว เกิดความสังเวช นึกว่า "เราทำ
กรรมหนัก เป็นไปโดยด่วน ไม่สมควรหนอ" ดังนี้แล้ว กอดแขน
คร่ำครวญ แล่นเข้าราวป่า ได้หลีกไป ด้วยประการนั้นแล.
[อาสนะท้าวสักกะร้อน]
ด้วยเดชแห่งศีลแม้ของพระเถระ (ในขณะนั้น) บัณฑุกัมพล-
สิลาอาสน์ ของท้าวสักกเทวราช ยาว ๖๐ โยชน์ กว้าง ๕ โยชน์
หนา ๑๕ โยชน์ มีสีดุจดอกชัยพฤกษ์ มีปกติยุบลงในเวลาประทับ
และฟูขึ้นในเวลาเสด็จลุกขึ้น แสดงอาการร้อนแล้ว.
ท้าวสักกเทวราช ทรงดำริว่า "ใครหนอแล ใคร่จะยังเรา
ให้เคลื่อนจากสถาน" ดั่งนี้แล้ว ทรงเล็งลงมา ได้ทอดพระเนตรเห็น
พระเถระด้วยทิพยจักษุ.
เหตุนั้น พระโบราณาจารย์ทั้งหลาย จึงกล่าวว่า
"ท้าวสหัสเนตร ผู้เป็นเจ้าแห่งเทวดา ส่อง
ทิพยจักษุ (ทรงทราบว่า) พระปาลเถระองค์นี้
ติเตียนคนบาป ชำระเครื่องเลี้ยงชีพให้บริสุทธิ์
แล้ว, ท้าวสหัสเนตร ผู้เป็นเจ้าแห่งเทวดา
ส่องทิพยจักษุ (ทรงทราบว่า) พระปาลเถระ
องค์นี้หนักในธรรม ยินดีในศาสนา นั่งอยู่แล้ว."
ขณะนั้น ท้าวเธอได้ทรงพระดำริว่า "ถ้าเราจักไม่ไปสู่สำนัก
ของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ติเตียนคนบาป หนักในธรรม เห็นปานนั้น,
ศีรษะของเราพึงแตก ๗ เสี่ยง; เราจักไปสู่สำนักของท่าน," (ครั้น
ทรงพระดำริฉะนี้แล้ว ก็เสด็จไป).
เหตุนั้น (พระโบราณาจารย์ทั้งหลาย จึงกล่าวว่า)
"ท้าวสหัสเนตร ผู้เป็นเจ้าแห่งเทวดา ทรงสิริ
ของเทวราช เสด็จมาโดยขณะนั้นแล้ว เข้าไป
ใกล้พระจักขุปาลเถระแล้ว."
ก็และครั้นเสด็จเข้าไปใกล้แล้ว ได้ทรงทำเสียงฝีพระบาทในที่ใกล้
พระเถระ.
ขณะนั้น พระเถระถามท้าวเธอว่า "นั่นใคร ?"
เทวราชตรัสตอบว่า "ข้าพเจ้าคนเดินทาง เจ้าข้า ."
ถ. ท่านจะไปไหน อุบาสก
ท. เมืองสาวัตถี เจ้าข้า.
ถ. ไปเถิด ท่านผู้มีอายุ.
ท. ก็พระผู้เป็นเจ้าเล่า เจ้าข้า จักไปไหน ?
ถ. ถึงเราก็จักไปในที่นั้นเหมือนกัน.
ท. ถ้าอย่างนั้น เราทั้งหลายไปด้วยกันเถิด เจ้าข้า.
ถ. เราเป็นคนทุพพลภาพ, ความเนิ่นช้าจักมีแก่ท่านผู้ไปอยู่
กับเรา.
ท. กิจรีบของข้าพเจ้าไม่มี ถึงข้าพเจ้าไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า
จักได้บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ สักประการหนึ่ง เราทั้งหลานไปด้วยกันเถอะ
เจ้าข้า.
พระเถระคิดว่า "นั่นจักเป็นสัตบุรุษ" จึงกล่าวว่า "ถ้าอย่างนั้น
จับปลายไม้เท้าเข้าถือ อุบาสก."
[ท้าวสักกเทวราช พาพระเถระไปถึงพระเชตวัน]
ท้างสักกเทวราช ทรงทำอย่างนั้นแล้ว ย่อพื้นปฐพีให้ถึงพระ
เชตวันในเพลาเย็น.
พระเถระได้ฟังเสียงเครื่องประโคมมีสังข์และบัณเฑาะว์เป็นต้น
แล้ว ถามว่า "นั่น เสียงที่ไหน ?"
ท. ในเมืองสาวัตถี เจ้าข้า.
ถ. ในเวลาไป เราไปโดยกาลช้าแล้ว.
ท. ข้าพเจ้ารู้ทางตรง เจ้าข้า.
ในขณะนั้น พระเถระกำหนดได้ว่า "ผู้นี้มิใช่มนุษย์ จักเป็น
เทวดา."
(เหตุนั้น พระโบราณจารย์ทั้งหลาย จึงกล่าวว่า)
"ท้าวสหัสเนตร ผู้เป็นเจ้าแห่งเทวดา ทรงสิริ
ของเทวราช ย่นทางนั้น พลันเสด็จมาถึง เมืองสาวัตถีแล้ว."
ท้าวเธอนำพระเถระไปสู่บรรณศาลา ที่กุฎุมพีผู้น้องชายทำเพื่อ
ประโยชน์แก่พระเถระนั่นเทียว นิมนต์ให้นั่งเหนือแผ่นกระดานแล้ว
จำแลงเป็นสหายที่รักไปสู่สำนักของกุฎุมพีจุลปาละ ตรัสร้องเรียกว่า
"แน่ะปาละผู้สหาย."
กุฎีมพีจุลปาละร้องถามว่า "อะไร ? สหาย."
ท. ท่านรู้ความที่พระเถระมาแล้วหรือ ?
จ. ข้าพเจ้ายังไม่รู้, ก็พระเถระมาแล้วหรือ ?
เทวราช ตรัสว่า "เออ สหาย ข้าพเจ้าไปวิหาร เห็นพระเถระ
นั่งอยู่ในบรรณศาลาที่ท่านทำ มาแล้วเดี๋ยวนี้เอง" ดังนี้แล้ว เสด็จ
หลีกไป.
ฝ่ายกุฎุมพีไปถึงวิหาร เห็นพระเถระแล้ว ร้องไห้กลิ้งเกลือก
อยู่ที่บาทมูล กล่าวว่า "ท่านผู้เจริญเจ้าข้า ข้าพเจ้าเห็นเหตุนี้แล้วจึง
ไม่ยอมให้ท่านบวช" ดังนี้เป็นต้นแล้ว ทำเด็กทาส ๒ คนให้เป็นไทย
ให้บวชในสำนักของพระเถระแล้ว สั่งว่า "ท่านทั้งหลาย จงนำเอา
ของฉันมีข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้น มาจากภายในบ้านอุปัฏฐากพระ-
เถระ" ดังนี้แล้ว มอบให้แล้ว. สามเถรทั้งหลาย ก็ทำวัตรปฏิบัติ
อุปัฏฐากพระเถระแล้ว.
ภายหลังวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ในทิศ (ผู้อยู่ที่อื่น) มาสู่
พระเชตวัน ด้วยหวังว่า "จักเฝ้าพระศาสดา" ถวายบังคมพระศาสดา
เยี่ยมพระอสีติมหาเถระแล้ว เที่ยวจาริกอยู่ในวิหาร ถึงที่อยู่ของ
พระจักขุปาลเถระแล้ว มีหน้าตรงต่อที่นั้นในเวลาเย็น ด้วยหวังว่า
"จักดูแม้ที่นี้."
ในขณะนั้น มหาเมฆตั้งขึ้นแล้ว พวกเธอคิดว่า "เดี๋ยวนี้
เย็นแล้ว, และเมฆก็ตั้งขึ้นแล้ว, เราจักมาดูแต่เช้าเที่ยว" ดังนี้แล้ว
กลับไป. ฝนตกในปฐมยาม หยุดในมัชฌิมยาม. พระเถระเป็นผู้ (เคย)
ปรารภความเพียร เดินจงกรมเป็นอาจิณ; เหตุฉะนั้น จึงลงสู่ที่กรม
แล้วในปัจฉิมยาม. แลในกาลนั้น ตัวแมลงค่อมทอง (หรือแมลงเม่า)
เป็นอันมาก ตั้งขึ้นแล้ว บนพื้นที่ฝนตกใหม่. ตัวเหล่านั้น เมื่อพระ
เถระจงกรมอยู่ ได้วิบัติ (ตาย) โดยมาก.
พวกอันเตวาสิก ยังไม่ทันกวาดที่จงกรมของพระเถระ แต่เช้าตรู่.
ฝ่ายพระพวกภิกษุนอกนี้ มาด้วยหวังว่า "จักดูที่อยู่ของพระเถระ" เห็น
สัตว์ทั้งหลายในที่จงกรมแล้ว ถามว่า "ใครจงกรมในที่นี้." พวก
อันเตวาสิกของพระเถระตอบว่า "อุปัชฌาย์ของพวกกระผมขอรับ."
เธอทั้งหลายติเตียนว่า "ท่านทั้งหลายดูกรรมของสมณะเถิด ในกาล
มีจักษุท่านนอนหลับเสีย ไม่ทำอะไร, ในกาลมีจักษุวิกลเดี๋ยวนี้
ไว้ตัวว่า 'จงกรม' ทำสัตว์มีประมาณถึงเท่านี้ให้ตายแล้ว ท่านคิดว่า
'จักทำประโยชน์' กลับทำการหาประโยชน์มิได้."
พวกเธอไปกราบทูลพระตถาคตแล้วในขณะนั้นว่า "พระเจ้าข้า
พระจักขุปาลเถระ ไว้ตัวว่า 'จงกรม' ทำสัตว์มีชีวิตเป็นอันมาก
ให้ตายแล้ว."
พระศาสดาตรัสถามว่า "ท่านทั้งหลายเห็นเธอกำลังทำสัตว์มี
ชีวิตเป็นอันมากให้ตายแล้วหรือ ?"
ภิกษุเหล่านั้น กราบทูลว่า "ไม่ได้เห็น พระเจ้าข้า."
ศ. ท่านทั้งหลายไม่เห็นเธอ (ทำดังนี้) ฉันใดแล ถึงเธอก็ไม่
เห็นสัตว์มีชีวิตเหล่านั้น ฉันนั้น, ภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าเจตนาเป็น
เหตุให้ตาย ของพระขีณาสพทั้งหลาย (คือบุคคลผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว)
มิได้มี.
ภ. พระเจ้าข้า เมื่ออุปนิสัยแห่งพระอรหัตมีอยู่ เหตุไฉน
ท่านจึงกลายเป็นคนมีจักษุมืดแล้ว.
ศ. ด้วยอำนาจกรรมอันตนทำไว้แล้ว ภิกษุทั้งหลาย
ภ. ก็ท่านได้ทำกรรมอะไรไว้แล้ว พระเจ้าข้า.
[บุรพกรรมของพระจักขุปาลเถระ]
พระศาสดาตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนี้ ท่านทั้งหลาย
จงฟัง" ดังนี้แล้ว (ตรัสเล่าเรื่องว่า)
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพาราณสี ดำรงราชย์อยู่ในกรุง
พาราณสี หมอผู้หนึ่งเที่ยวทำเวชกรรมอยู่ในบ้างและนิคม เห็น
หญิงทุรพลด้วยจักษุคนหนึ่ง จึงถามว่า "ความไม่ผาสุกของท่านเป็น
อย่างไร ?"
หญิงนั้นตอบว่า "ข้าพเจ้าไม่แลเห็นด้วยดวงตา."
หมอกล่าวว่า "ข้าพเจ้าจักทำยาให้แก่ท่าน"
ญ. ทำเถิด นาย. ม. ท่านจักให้อะไรแก่ข้าพเจ้า ?
ญ. ถ้าท่านอาจกระทำดวงตาของข้าพเจ้ากลับเป็นปกติได้,
ข้าพเจ้ากับบุตรและธิดา จักยอมเป็นทาสีของท่าน.
ม. รับว่า "ดีละ" ดังนี้แล้ว ประกอบยาให้แล้ว. ดวงตา
กลับเป็นปกติ ด้วยยาขนานเดียวเท่านั้น.
หญิงนั้นคิดแล้วว่า "เราได้ปฏิญญาแก่หมอนั่นไว้ว่า "จักพร้อม
ด้วยบุตรธิดา ยอมเป็นทาสีของเขา" ก็แต่เขาจักไม่เรียกเราด้วยวาจา
อันอ่อนหวาน เราจักลวงเขา." นางอันหมอมาแล้ว ถามว่า "เป็น
อย่างไร ? นางผู้เจริญ " ตอบว่า "เมื่อก่อน ดวงตาของข้าพเจ้า
ปวดน้อย เดี๋ยวนี้ปวดมากเหลือเกิน." หมอคิดว่า "หญิงนี้ประสงค์
ลวงเราแล้วไม่ให้อะไร ความต้องการของเราด้วยค่าจ้างที่หญิงนี้ให้แก่
เรามิได้มี, เราจักทำให้จักษุมืดเสียเดี๋ยวนี้" แล้วไปถึงเรือนบอก
ความนั้นแก่ภรรยา. เขาได้นิ่งเสีย. หมอนั้นประกอบยาขนานหนึ่งแล้ว
ไปสู่สำนักหญิงนั้น บอกให้หยอดว่า "นางผู้เจริญ ขอท่านจงหยอดยา
ขนานนี้." ดวงตาทั้ง ๒ ข้าง ได้ดับวูบแล้วเหมือนเปลวไฟ. หมอนั้น
ได้ (มาเกิด) เป็นจักขุปาลภิกษุแล้ว.
พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย กรรมที่บุตรของเราทำ
แล้วในกาลนั้น ติดตามเธอไปข้างหลัง ๆ, จริงอยู่ ขึ้นชื่อว่า บาป-
กรรมนี้ ย่อมตามผู้ทำไป เหมือนล้ออันหมุนตามรอยเท้าโคพลิพัท
(คือโคที่เขาเทียมเกวียนบรรทุกสินค้า) ตัวเข็นธุระไปอยู่" ครั้น
ตรัสเรื่องนี้แล้ว พระองค์ผู้เป็นพระธรรมราชา ได้ตรัสพระคาถานี้
สืบอนุสนธิ ดุจประทับพระราชสาสน์ ซึ่งมีดินประจำไว้แล้ว ด้วย
พระราชลัญจกรว่า
"ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่
สำเร็จและด้วยใจ, ถ้าบุคคลมีใจร้าย พูดอยู่ก็ดี
ทำอยู่ก็ดี, ทุกข์ย่อมไปตามเขา เพราะเหตุนั้น
ดุจล้อมหมุนไปตามรอยเท้าโค ผู้นำแอกไปอยู่
ฉะนั้น."

โพสท์โดย: ชู
แหล่งที่มา: http://ธรรมบทแปลภาคที่
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
ชู's profile


โพสท์โดย: ชู
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
4 VOTES (4/5 จาก 1 คน)
VOTED: ginger bread
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ครูหนุ่มชาวจีนโพสต์รูปตัวเอง เปรียบเทียบสมัยก่อนเเละหลังทำงานได้ 6 ปี เปลี่ยนไปจริง ๆ 😌เปิดบ้านซุปตาร์ "ลิซ่า BLACKPINK" ที่เกาหลีใต้ มูลค่ากว่า 200 ล้าน..ฉลองวันเกิดครบ 27 ปีจดไว้เลย!! 2ตัวล่าง 78ให้มาตรงๆ 1 เมษายน 2567ราศีที่มีเกณฑ์ที่จะถูกหวย 1 เมษายน 2567ท่องไว้ 3 คาถาช่วยดึงดูดโชคลาภ ปัดเป่าโชคร้าย
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
"ซีอิ๊วแบบเม็ด" ฉีกทุกกฎของซอส..นวัตกรรมใหม่จาก "เด็กสมบูรณ์""บิ๊กเต่า" รับหลักฐาน "ทนายตั้ม" ลั่น ใหญ่แค่ไหนก็จับ ไม่มีใครใหญ่กว่าประตูห้องขัง9 โรงเรียนหญิงล้วนที่น่าสนใจในประเทศไทยหลวงพี่เขมรแนะชาวเขมร ว่า..“ไทยเอาคำว่า‘สงกรานต์‘ไปแล้ว งั้นเขมรเราใช้คำว่า ’มหาอังกอร์สงกรานต์‘ ดีไหม? เพราะคำนี้มันใหญ่กว่าสงกรานต์ธรรมดา”ยิ้มอ่อนกับเขมรรายวัน : สื่อและคนเขมรดราม่ากันเอง อยากให้มีการจัดสงกรานต์ แต่อยากจะแบนไม่ให้มีการเล่นปืนฉีดน้ำกัน เนื่องจากปืนฉีดน้ำ เป็นการแสดงวัฒนธรรมไทย (What?)
กระทู้อื่นๆในบอร์ด นิยาย เรื่องเล่า
"ซีอิ๊วแบบเม็ด" ฉีกทุกกฎของซอส..นวัตกรรมใหม่จาก "เด็กสมบูรณ์"บ้าไปแล้ว! โพสต์ขายดินสอ 5 ล้าน..อึ้งกว่าคือ มีคนแย่งซื้อถึง 4 คนทาสแมวใจสลาย..รับไม่ได้ เอาแมวมาขอทานรีวิว นิยายอิงประวัติศาสตร์ 'ศรีศิขเรศ ภูวาลัย'
ตั้งกระทู้ใหม่