การเดิน [เวลา] ของ [นาฬิกา] ในอวกาศ!!!
การเดิน เวลา ของ นาฬิกา ในอวกาศ
ทำไมเวลาบนโลกจึงเร็วกว่าเวลาในอวกาศถึง 10 เท่า
ตามทฤษฏีของไอสไตน์ เมื่อความเร็วเข้าใกล้ความเร็วแสง เวลาจะเป็นศูนย์
สมมติ ให้ฝาแฝดสองคน คนหนึ่งเป็นนักบินอวกาศ อีกคนเป็นผู้สักเกตุการณ์บนพื้นโลก
นักบินอวกาศ เดินทางด้วยความเร็วแสงตลอดเวลาไปนอกโลก ตลอดเวลาที่เดินทางเขาจะไม่รู้สึกอะไรเลย แต่เมื่อกลับมาที่โลก พบว่า เวลาผ่านไป 50 ถึง 100 ปีแล้วเป็นต้น จนอีกคนที่เป็นผู้สังเกตการณ์บนโลก อาจแก่หรือตายไปแล้วก็ได้เมื่อเขากลับมา
ในเรื่องจริงครั้งนึงมีการพบว่า คนที่เป็นฝาแฝดและอายุเท่ากัน คนที่อยู่บนพื้นโลกดันมีหน้าตาที่แก่ไปมากกว่าเมื่อก่อน และคนที่ท่องอวกาศดันมีหน้าตาที่หนุ่มกว่าฝาแฝดของตัวเอง
จักรวาล ของมิติเรา ถูกความเร็วแสง ครอบไว้
ใน จักรวาลนี้ เราจึงไม่สามารถทำความเร็วเท่าแสงได้ เพราะจะชนกรอบของมิติ และถึงทำได้ แสงก็จะทำให้ทุกอย่างหยุดนิ่ง แม้แต่หัวใจยังหยุดเต้น (แต่ไม่ตาย) มีแต่จิตเท่านั้น ที่ทะลุความเร็วแสงได้ จนเข้าสู่มิติคู่ขนาน
เวลา ในจักรวาลแต่ละจุดไม่เท่ากัน แต่สิ่งหนึ่งที่สมดุล ก็คือ แม้เวลาจะเดินเร็วช้าต่างกัน ปฏิกิริยาเคมี อัตราการหายใจ ขบวนการย่อยอาหารหรืออัตราเมตาโบลิซึม ก็จะเร็วช้าสัมพัทธ์กันไปด้วย เพราะแสงเป็นต้นกำเนิดของอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีและเมตาบอลิซึม
เวลาจะแปรผันไปตามความเร็วแสง คือเราบอกว่าแสงเร็วเท่ากันทุกจุดในจักรวาล ความจริงแล้วไม่ใช่ เพียงแต่เมื่อแสงเดินทางช้าลง แสงจะไปดึงเวลาให้ช้าลงด้วย ทำให้หารความเร็วออกมาได้เท่าเดิม เช่นแสงเดินทางได้ 100,000 กิโลเมตร/วินาที ณ.จุดๆหนึ่งในจักรวาล แสงจะดึงเวลาบริเวณนั้นให้เดินช้าลงสามเท่าเมื่อเทียบกับบนโลก ทำให้เมื่อคำนวณความเร็วออกมาได้เป็น 300,000กิโลเมตร/วินาที เท่าเดิม ( ก็เหมือนปกติเราเดิน 1 ก้าว/วินาที แต่ถ้าเราสามารถยืดเวลา 1 วินาที ให้ยาวนานเป็นสามเท่า เราก็จะเดินได้ 3 ก้าว/วินาที)
สรุปก็คือ ถ้าเวลาหมายถึง ปฏิกิริยาเคมีหรืออัตราเมตาบอลิซึม เวลาจะเท่ากันทุกจุดในจักรวาล แต่ถ้า หมายถึงเวลาตามนาฬิกาที่เราสมมติขึ้นมา เวลาจะไม่เท่ากันครับ
ตัว เราเองก็สามารถยืดเวลาด้วยการลดขบวนการเมตาโบลิซึมแบบเดียวกับกบจำศีล ตามทฤษฎีแล้วสามารถทำได้ ถ้าวิทยาศาสตร์ในอนาคตพัฒนาถึงขนาดสามารถเก็บร่างกายเราไว้ที่อุณหภูมิต่ำ มากๆได้โดยไม่เสียชีวิตแค่สลบไป สมมติเริ่มสลบเมื่ออายุ 25 หลังจากนั้นก็เข้าสู่ช่วงจำศีล เวลาบนโลกผ่านไปยี่สิบปีค่อยออกมา ถึงตอนนั้นในขณะที่เพื่อนวัยเดียวกับเขามีอายุ 45 ปี แต่เนื่องจากสภาวะของการจำศีลทำให้อายุเขาหยุดอยู่ที่เพียง 25 ปีหรืออาจจะมากกว่านิดหน่อย ปรากฏการณ์นี้ถ้าจะมองกันอีกมุมก็หมายความว่าเวลาของเขาขณะจำศีลเดินช้า กว่าเวลาของเพื่อนบนโลก ไม่ต่างอะไรกับการนั่งยานความเร็วใกล้แสงไปนอกโลกตอนอายุ 25 แล้วกลับมาบนโลกอีกครั้งแล้วพบว่าเวลาบนโลกผ่านไปยี่สิบปี ในขณะที่ตัวเองอายุ 25 เท่าเดิม
แต่ในความเป็นจริง เราแช่แข็งร่างกายไม่ได้ เพราะเซลล์เราจะแตกจากเกล็ดน้ำแข็งเสียก่อน แต่ มีการทำสมาธิแบบหนึ่งที่เรียกว่า ปี้กู่ สามารถทำให้มนุษย์จำศีลแบบหมีขั้วโลกได้ ก็สามารถยืดเวลาได้เช่นกัน ท่านปรมาจารย์ตั้กม้อ ได้นำมาใช้เป็นประจำ จนท่าน มีอายุยืนถึงร้อยกว่าปี
มนุษย์ ที่มีพรสวรรค์ ในการยืดเวลา จะสามารถกดเมตาบอลิซึมของตัวเองได้ ขณะที่ใจเย็น จิตนิ่ง ปฏิกิริยาเคมีภายในร่างกายจะช้าไปด้วย ทำให้เวลาเดินไปอย่างช้าๆ ถ้าใจร้อนรุ่ม หัวใจจะเต้นเร็ว หายใจเร็ว ความดันขึ้น เลือดลมฉีด ปฏิกิริยาเคมีในร่างกายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เวลาจะผ่านไปเร็ว เวลาในที่นี้หมายถึงเวลาของจิต
ในชีวิตประจำ วัน เราจะเห็นอยู่เสมอ คนที่จิตนิ่ง จะมีเวลามากกว่าคนที่ร้อนรน ยกตัวอย่างเช่น มีเวลาเหลือ 5 นาทีในการถอดชนวนระเบิดเวลา สำหรับคนที่ร้อนรน ไม่นิ่ง หัวใจเต้นเร็ว แรง เมตาโบลิซึมสูง เหงื่อออก เวลา 5 นาทีของเขาผ่านไปเร็วมากจนกู้ระเบิดไม่ทัน แต่สำหรับคนจิตนิ่ง สุขุม เขาจะทำการกู้ระเบิด อย่างเนิบๆ สุขุมดูเหมือนกับเวลา 5 นาทีช่างยาวนานเหลือเกิน เหลือเฟือที่จะใช้ในการกู้
ในการต่อสู้ ไม่ว่า ไทเก็ก ยูโด มวยจีน เทควนโด้ ปัญจสีลัต วูซู ซามูไร หรือแม้แต่กีฬาอย่าง กอล์ฟ ฟันดาบ ยิงปืน คนที่จิตนิ่งกว่า คือผู้ชนะ เพราะเวลาของเขาละเอียดและยาวนานกว่าคู่ต่อสู้ แม้เพียงเล็กน้อย ก็เพียงพอแล้วที่จะใช้จังหวะนั้นในการเอาชนะ ดังนั้นศาสตร์การต่อสู้ของโลกตะวันออกทุกศาสตร์ จึงเน้นเสมอ ว่าให้กำหนดจิตไปที่การเคลื่อนไหว หรือเอาใจไปไว้ที่กระบี่
ผู้ ที่สามารถกำหนดจิตได้ จนเห็นการยืดหดของเวลา จะสามารถกำหนดเห็นการเคลื่อนๆไหวของอายตนะภายนอก เป็นแบบสโลว์โมชั่นได้ และนี่คือคำตอบที่ว่า ทำไมพระวัดเส้าหลินที่ฝึกสติปัฏฐานสี่ จากท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ จึงสามารถต่อสู้กับคนที่มารุมล้อมพร้อมๆกันได้เป็นสิบคน
ถ้าเราไม่ สามารถกำหนดจิตได้ ขนาดเห็นการยืดหดของเวลา อีกวิธีตามทฤษฎีคือ นั่งยานอวกาศด้วยความเร็วสูงเมื่อเทียบกับความเร็วแสง หรือ ความเร่งสูงมากๆ จนทำให้เกิดการบิดเบี้ยวของเวลา ( ดาวดวงใหญ่ที่มีแรง g สูงกว่าโลกมากๆ เวลาก็จะเดินช้ากว่าโลก )
แต่เราไม่สามารถทดสอบการยืดหดของเวลาและ วัตถุเพื่อเข้าสู่มิติที่ 4 พิสูจน์ความจริงแท้ของจักรวาลได้ด้วยร่างกาย ต้องพิสูจน์ด้วยจิตเท่านั้น เพราะว่ากายหยาบของมนุษย์มีข้อจำกัดในเรื่องความเร็ว ความเร่ง ความเร็วสูงสุดที่มนุษย์ทำได้ในในปัจจุบันเป็นเครื่องบินขององค์การนาซ่า ซึ่งบินได้เร็วที่สุดอยู่ที่ประมาณ 3 กิโลเมตรต่อวินาที เทียบแล้วเป็นแค่ 1/100,000 ของความเร็วแสง แทบไม่เห็นผลการเปลี่ยนแปลงของเวลาเมื่อวัดจากระบบประสาทสัมผัสของมนุษย์ เลย
และถ้าเราคิดจะทดสอบด้วยความเร่ง ยิ่งแล้วใหญ่ กายหยาบของมนุษย์ทั่วไปทนความเร่งเกิน 5 เท่าของความเร่งจากแรงโน้มถ่วงโลกไม่ได้ เราจะสลบและเสียชีวิตทันทีในความเร่งขนาดนั้น ดังนั้นเลิกคิดถึงการที่เข้าไปทำความเข้าใจกับมิติที่ 4 หรือความมหัศจรรย์ของเวลา ด้วยกายหยาบหรือประสาทสัมผัสของเราผ่าน ความเร็วและความเร่ง มันเป็นไปไม่ได้ ร่างกายเราถูกสร้างมาสำหรับการดำรงชีพในโลกแบบ 3 มิติ เราถูกจำกัดด้วยความเร็วและความเร่ง ทำให้เราเห็นโลกและจักรวาลอย่างที่เป็นทุกวันนี้
และแม้จะสมมติว่า มนุษย์เราสามารถขึ้นไปในอวกาศด้วยยานที่ความเร่งและความเร็วสูงระดับนั้นได้ มนุษย์ก็จะเกิดอาการ เมาอวกาศ จนเสียชีวิต ลองนึกเปรียบเทียบกับการเมาเรือ ถ้าทะเลราบเรียบสนิท อาการเมาเรือจะไม่เกิดขึ้น แต่เมื่อทะเลมีคลื่นไม่ราบเรียบ ร่างกายปรับตัวไม่ได้ ก็จะเกิดอาการเมาเรือ ในอวกาศก็เช่นกัน ในอวกาศก็ไม่ราบเรียบ ยิ่งกว่าทะเลหลายเท่าเพราะผิวน้ำเป็นแค่สองมิติ แต่การบิดเบี้ยวของ กาล อวกาศ เป็นสี่มิติ ยานที่วิ่งด้วยความเร็วสูงจะพบกับการบิดเบี้ยวนั้นอย่างชัดเจน การบิดเบี้ยวของคลื่นน้ำทะเล แค่ทำให้ศูนย์การทรงตัวของมนุษย์เสียหายจึงเกิดอาการเมาเรือ แต่การเมาอวกาศของมนุษย์รุนแรงกว่านั้นเป็นพันเท่า มันจะมีผลไปกับเซลล์ทุกเซลล์ ระบบอัตโนมัติของร่างกายทุกระบบ ถ้าเกิดขึ้นจริง มนุษย์จะเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่นาน ในอวกาศเต็มไปด้วยความบิดเบี้ยวของกาล อวกาศมากกว่าที่เราคิด
การนั่งยานไปในอวกาศก็ไม่ต่างอะไรกับการนั่งเรือไปในความมืดสนิท ที่ระหว่างทางมีทั้งคลื่นสูง พายุทอร์นาโด มีหินโสโครก ภูเขาน้ำแข็ง มีน้ำวน มีพายุ แต่คลื่นบิดเบี้ยวของกาล อวกาศ เกิดจากแรงโน้มถ่วงที่ไม่เท่ากันในแต่ละจุด และในอวกาศมีสสารมืดอยู่ถึง 90 % ที่เราเห็นเป็นดวงดาวมีแสงสว่างนั่นเพียงแค่ 10 % อีก 90 % ที่เหลืออันตรายมากเพราะสสารมืดจะมีแรงโน้มถ่วงสูงกว่าดวงดาวทั่วไปหลาย หมื่นหลายแสนเท่า
หรือถ้าจะสมมติไปอีกชั้นหนึ่งว่า มนุษย์ทนกับอาการ เมาอวกาศได้ การเดินทางในอวกาศด้วยความเร่ง ความเร็วสูงเมื่อเทียบกับแสง จะทำให้เกิดการบิดเบี้ยวของ กาล อวกาศ รอบๆยาน เพราะยานที่มีความเร็วสูงมากๆ จะมีมวลเพิ่มมากขึ้นไปด้วยตามทฤษฎีสัมพัทธภาพ ทำให้สนามโน้มถ่วงรอบๆยานเปลี่ยนไป เหมือนเรือที่วิ่งไปบนพื้นน้ำจะทำให้เกิดระลอกคลื่นไปด้วย แต่ยานอวกาศจะทำให้เกิดระลอกคลื่นแรงโน้มถ่วงซึ่งเป็นสี่มิติ แสงที่เคลื่อนที่ผ่านบริเวณยานจะโค้งไปโค้งมาเพราะแรงโน้มถ่วงและอัตราเร่ง ของยาน ภาพที่เราเห็นจักรวาลจากหน้าต่างของยานจะผิดแปลกไปจากความเป็นจริง เพราะการบิดเบี้ยวของแสง ดังนั้นแม้เราจะเดินทางได้เร็วเกือบเท่าแสง เราก็จะไม่เห็นอะไรที่เป็นความจริงในจักรวาลเลย เพราะห้วงเวลาของกาล อวกาศที่เบี่ยงเบนไปอย่างมหาศาล เหมือนเรามองภาพโดยมองผ่านทะลุแก้วน้ำที่มีน้ำอยู่ ภาพที่เห็นและตำแหน่งจะไม่ตรงกับความเป็นจริง
ทางเดียวที่จะพิสูจน์ทฤษฎีสัมพัทธภาพด้วยตัวเองได้ คือการพิสูจน์ทางจิต เรื่องความเคลื่อนไหวกับความยึดหดของเวลามีอยู่จริง ในทางพุทธศาสนา การกำหนดสติสัมปชัญญะ ขณะที่เคลื่อนไหวอย่างละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินจงกลม เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ กำหนดไปที่การเคลื่อนไหวนั้นอย่างเท่าทัน ยกหนอ ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ เหยียบหนอ ....
เมื่อจิตละเอียดถึงจุด จะพบกับความมหัศจรรย์ของเวลา ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ เรื่องเวลายืดหดได้พระพุทธองค์ทรงค้นพบมาก่อนไอน์สไตน์ถึงสองพันห้าร้อยปี แม้แต่เรื่องของ อภิญญา เหนือธรรมชาติ ที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องธรรมชาติ เพียงแต่เข้าถึงความไม่เที่ยงของเวลา การหยั่งรู้ล่วงหน้า ย้อนอดีต การร่นระยะทาง หายตัว ทั้งหมดล้วนแล้วสามารถอธิบายได้ด้วยกฎของฟิสิกส์ถ้ามีการค้นพบทฤษฎีใหม่ๆ ดั่งเช่นทฤษฎีสัมพัทธภาพในอนาคต เมื่อนั้นจะรู้ว่า ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ และเชื่อว่าสักวันหนึ่งวิทยาศาสตร์ก็สามารถทำเรื่อง การหายตัว เหาะเหินเดินอากาศ ยืดหดระยะทาง ได้เป็นเรื่องธรรมดา