ความขัดแข้ง ของทฤษฏีวิวัฒนาการ ของ ชาลส์ ดาร์วิน
การกำเนิดชีวิต นับตั้งแต่ที่ทฤษฏีวิวัฒนาการของชาลส์ ดาร์วิน ได้ถือกำเนิดขึ้นมา สิ่งสำคัญที่ทำให้ทฤษฎีนี้กลายเป็นประเด็นหลักในโลกวิทยาศาสตร์ก็คือตำราของ ชาลส์ ดาร์วิน ที่เขียนถึงเรื่อง “จุดกำเนิดของสิ่งมีชีวิต” (The Original of Species)
เป็นแนวความคิดวัตถุนิยมที่ยึดถือเป็นพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ในการอธิบายหลักการของตน ทฤษฎีนี้อ้างว่าสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดจากสิ่งที่ไม่มีชีวิตอย่างบังเอิญ แต่ข้ออ้างนั้นก็ตกไปอย่างสิ้นเชิง โดยข้อเท็จจริงที่หนักแน่นกว่าคือจักรวาลถูกสร้างสรรค์โดยพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าทรงสร้างสรรค์จักรวาล และทรงออกแบบแม้รายละเอียดที่เล็กที่สุด
ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ทฤษฎีวิวัฒนาการจะอธิบายว่า การกำเนิดของสิ่งมีชีวิตไม่ได้มาจากการสร้างสรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าแต่เกิดขึ้นจากเหตุบังเอิญ
ทฤษฎีของชาลส์ ดาร์วิน ไม่ได้มีพื้นฐานที่เป็นรูปธรรมทางวิทยาศาสตร์ และเขาก็ยอมรับว่ายังคงเป็นแค่เพียง “สมมติฐาน” ยิ่งไปกว่านั้น ตัวดาร์วินเอง ได้สารภาพไว้ในตำราของเขาในบทที่ชื่อ “ความยากลำบากแห่งทฤษฎี” ว่าทฤษฎีของเขาไม่สามารถตอบคำถามสำคัญๆ ได้
ข้อบกพร่องของดาร์วินในทางวิทยาศาสตร์ อาจจำแนกได้เป็น 3 ประเด็นดังนี้
1. ทฤษฎีนี้ไม่สามารถอธิบายได้ว่า ชีวิตเกิดขึ้นได้อย่างไร
2. ไม่มีการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถแสดงให้เห็นว่า “กลไกแห่งการวิวัฒนาการ” ที่เสนอโดยทฤษฎีนี้จะเป็นไปได้
3. การพิสูจน์ซากฟอสซิลพบข้อเท็จจริงที่แย้งกับทฤษฎีวิวัฒนาการ
จากหลายๆ การพิสูจน์จากนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามจะหาข้อสรุปของทฤษฏีวิวัฒนาการ ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปใดที่มีความชัดเจนหรือบ่งบอกถึงความถูกต้องของทฤษฏีวิวัฒนาการได้ ซึ่งความเห็นโดยส่วนใหญ่มีความคิดเห็นว่า ทฤษฏีวิวัฒนาการนั้นยังมีข้อบกพร่องและไม่ถูกต้อง ดังเช่นคำพูดของนักชีววิทยาหลายๆ ท่าน ที่ได้ทำการพิสูจน์ในเรื่องวิวัฒนาการ
วิวัฒนาการของมนุษย์
ประเด็นที่หยิบยกมากล่าวอ้างกันมากที่สุดตามทฤษฎีวิวัฒนาการคือ เรื่องการกำเนิดมนุษย์ นักทฤษฎี ดาร์วิน อ้างว่า มนุษย์ในปัจจุบันนี้มีกำเนิดมาจากสัตว์คล้ายลิงตามกระบวนการวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นเมื่อ 4-5 ล้านปีมาแล้ว และจากบรรพบุรุษของมนุษย์มาถึงมนุษย์ปัจจุบันนี้มีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณะบางอย่าง
เรื่องของการวิวัฒนาการของมนุษย์ ซึ่งปรากฏเป็นภาพ “ครึ่งคนครึ่งลิง” ตามสื่อและตำราเรียนนั้นอันที่จริงก็คือเรื่องราวโฆษณาชวนเชื่อโดยไร้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง ไม่มีหลักฐานฟอสซิลชิ้นใดๆ ที่จะสามารถสนับสนุนเรื่องการวิวัฒนาการของมนุษย์ได้ ในทางตรงกันข้าม ซากฟอสซิล กลับแสดงให้เห็นว่า ระหว่างลิงกับมนุษย์มีสิ่งขวางกั้นที่ไม่สามารถฝ่าข้ามถึงกัน
จากข้อมูลที่กล่าวมานี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าทฤษฎีวิวัฒนาการนี้ขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์ เช่นเดียวกับ แนวความคิดเรื่องการกำเนิดชีวิต นอกจากนี้ ลำดับขั้นตอนของวิวัฒนาการดูไม่น่าเชื่อถือ ซากดึกดำบรรพ์ที่อยู่ในระหว่างขั้นตอนของวิวัฒนาการตามที่ทฤษฎีอ้างถึงก็ไม่เคยมีจริง ดังนั้น แน่นอนว่าทฤษฎีวิวัฒนาการนี้ควรจะถูกลบล้างเนื่องจากไม่มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์มารองรับ
การกำเนินเกิดสิ่งมีชีวิต
ชาลส์ โรเบิร์ต ดาร์วิน เขาคิดเอาว่า บางทีอาจมีฟ้าฟ่า ไปโดนหนองน้ำที่เต็มไปด้วยสารเคมีเหมาะสม และก็บิงโก กลายเป็นสิ่งมีชีวิตบางอย่าง แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้น เขาอ้างว่า บรรพบุรุษของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด มาจากสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ง่ายๆ พื้นๆ
ซึ่งได้ขยายพันธ์ และมีพัฒนาการ อย่างช้าๆโดยอาศัยเวลาจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อน
หลังจากการคิดของเขา ดาร์วิน ก็ได้กล่าวคำว่า ธรรมชาติไม่ได้ก้าวกระโดด
อย่างเกิดจากความบังเอิญ ซึงมันคัดต่อความเป็นจริงความบังเอิญไม่สามารถสร้างสิ่งที่สวยงามได้
ถ้าสมมุดคุณ ปาระเบิดเข้าไปในบ้านคุณ แล้วบ้านคุณก็จัดเป็นระเบียบเลย
คุณว่าเป็นไปได้ใหม ต่อให้คุณลองเป็นร้อยครั้งก็เหมือนเดิม
สมมุดถ้าหากคุณสามารถเขียนภาพของ 3.8 พันล้านปีทั้งหมด นักวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า หากกำหนดให้เวลาทั้งหมดเทียบเท่ากับวันหนึ่ง มี24ชั่วโมง ชีวิตจะมีระยะเวลาแค่ประมาณ5นาทีเท่านั้น
กลุ่มของสัตว์ส่วนใหญ่ปรากฏขึ้นในทันที่ทันใด ในรูปแบบที่ซึ่งเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ไม่ใช่เชื่องช้า และไม่ได้คอยเป็นคอยไป อย่างที่คาดไว้ ไม่ใช่ในเงือนไข ของการวิวัฒนาการ แต่มันเกิดขึ้น ฉับพลันทันที่
ดังนั้นประโยคที่ว่า ธรรมดาชาติไม่ได้ก้าวกระโดด จึงกลายมาเป็น
ธรรมชาติกระโดดพุ่งไปไกล
อาจจะกล่าวได้ว่าทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นความเชื่อที่จำเป็นสำหรับคนบางกลุ่ม ที่เชื่อมั่นในแนวความคิดวัตถุนิยมและทฤษฎีดาร์วินอย่างไม่ลืมหูลืมตา เนื่องจากแนวความคิดวัตถุนิยมเป็นสิ่งเดียวที่สามารถนำมาใช้อธิบายสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามกลไกของธรรมชาติได้ และผู้ที่นิยมทฤษฎีดาร์วินกลับยังคงยึดมั่นในความเชื่อนี้เพียงเพราะว่า “ไม่อาจเชื่อในพลังอำนาจเหนือธรรมชาติใดๆ ทั้งสิ้น”