หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

Film Review : Life Is Beautiful มองชีวิตอย่างคนคิดบวก

โพสท์โดย ไก่อ้วน

 

หากพูดถึงเรื่องของการใช้ชีวิต ถือเป็นเรื่องที่แต่ละคนต่างมีมุมมองที่แตกต่างและหลากหลายมากอีกเรื่องหนึ่ง บ้างมองทุกอย่างติดลบไปหมด บ้างก็มองอย่างเป็นกลาง ไม่ขาวไม่ดำจนเกินไป แล้วการใช้ชีวิตให้มีความสุข มองโลกใบนี้บนพื้นฐานของความเป็นจริง มันมีอยู่จริงหรือเปล่านะ

ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านๆ มา งานค่อนข้างเยอะจนไม่มีเวลาไปเหยียบโรงภาพยนตร์เลย แต่ด้วยความชอบส่วนตัวเราก็ไม่เคยลืมที่จะนอนตีพุงดูหนังอยู่ที่บ้าน และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เหลือบไปเห็นหนังกองโตที่ยังไม่มีเวลาได้ดู หนึ่งในนั้นก็คือเรื่อง Life Is Beautiful สุดยอดหนังคลาสสิคขึ้นหิ้งอีกหนึ่งเรื่อง พอมีโอกาสได้ดูจนจบ เราก็ไม่อยากพลาดที่จะนำมาแบ่งปันให้ชาว UNLOCKMEN ได้หามาดูตามๆ กัน 

150831-life-1

Life is beautiful(1997) ชื่อไทย “ยิ้มไว้โลกนี้ไม่สิ้นหวัง” หนังสัญชาติอิตาเลียน ของผู้กำกับโรแบร์โต เบนิญี่ที่ร่วมแสดงเองด้วย หนังว่าด้วยเรื่องราวของชายหนุ่มชาวยิวที่อาศัยอยู่ในอิตาลีในปี 1939 นามว่า ‘กุยโด’ (โรแบร์โต เบนิญี่) ชายหนุ่มที่แสนจะร่าเริง รวยอารมณ์ขันและมองโลกในแง่ดี ผู้มีความใฝ่ฝันจะเปิดร้านหนังสือเป็นของตัวเอง เขาตกหลุมรักกับครูสาวสวยนามว่า ‘ดอร่า’ (นิโคเล็ตต้า บลานชี่) และได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข พร้อมกับมีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนหนึ่งคนนามว่า ‘โจชัว’ (จิออร์จิโอ แคนทารินี่) และได้สานฝันเปิดร้านหนังสือสมใจอยาก ฟังดูดี และดูเหมือนจะจบเพียงเท่านี้ แต่โชคชะตาก็ช่างเล่นตลก กุยโด โจชัว และลุงของเขาถูกทหารจับตัวไปยังค่ายกักกัน เนื่องจากทั้งสามเป็นยิว (เรื่องราวเกิดขึ้นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2) 

(**เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่อง**) 

ในช่วงแรกหนังพาเราไปพบกับจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ของกุยโด และดอร่า ที่มันดูแล้วช่างรื่นเริงใจและน่ารักสะเหลือเกิน หนังก็ทำหน้าที่เล่าเรื่องไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงเกิดสงคราม เหมือนมีใครแอบเปลี่ยนหนังอีกม้วนหนึ่งมาให้ดูแบบเนียนๆ เพราะหนังเริ่มเข้าสู่โหมดเศร้า และเริ่มแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของสงครามภายใต้การนำของเผด็จการอย่างฮิตเลอร์ ที่ต้องการจะกวาดล้างชาวยิวให้หมดสิ้น จุดน่าสนใจภายในหนังเราจะเห็นว่าร้านค้าต่างๆ จะเขียนป้ายว่าห้ามชาวยิวเข้า แต่ด้วยอารมณ์ขันของกุยโด เขาเขียนไว้ที่ร้านของตนว่า’ร้านของชาวยิว’ ยิ่งเป็นการตอกย้ำความคิดบวกของตัวเขาเอง พอเริ่มเข้าสู่ช่วงสงคราม กุยโด โจชัว และคุณลุงผู้น่าสงสารถูกจับตัวไปค่ายกักกัน และด้วยความรักที่ดอร่ามีให้กับครอบครัว เธอขอให้ทหารพาเธอไปยังค่ายกักกันด้วยทั้งๆ ที่เธอไม่ได้เป็นชาวยิว ฉากนั้นเป็นนาทีที่แสดงถึงความรัก และความเด็ดเดี่ยวของเธอได้เป็นอย่างดี สีของหนังในโทนเทาๆ จืดๆ ให้ความรู้สึกหม่นหมอง และอึดอัดใจอยู่ไม่น้อย

แต่หากเทียบบรรยากาศและความโหดร้ายของหนังเรื่องนี้กับหนังแนวๆ เดียวกัน อย่าง The Pianist หรือ The boy in the striped pajamas ที่จะเน้นไปถึงความโหดร้ายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่กระแทกจิตใจคนดูอย่างเราๆ อยู่ตลอดเวลา แต่ใน Life Is Beautiful นั้นแตกต่างออกไป หนังจะเน้นไปในเรื่องของการปกป้องลูกชายสุดที่รักด้วยการมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ เรียกว่าจุดประสงค์หลักๆ ของหนังนั้นเน้นไปที่การมองโลกในแง่ดีอย่างสวยงาม อีกหนึ่งซีนที่เราชื่นชอบมากๆ ก็คือหลังจากกุยโด และโจชัวได้ไปถึงค่ายกักกัน กุยโดได้บอกลูกชายตัวเองว่าเขาและลูกถูกจับมาที่ค่ายกักกันก็เพื่อเล่นเกมชิงรถถัง ใครที่เป็นฝ่ายอยู่รอดและสามารถทำคะแนนได้เยอะที่สุดจะได้รถถังเป็นรางวัลกลับไป เมื่อหนึ่งดำเนินมาถึงช่วงนี้เราประทับใจฉากที่กุยโด ออกไปเป็นล่ามแปลภาษาเยอรมันให้กับลูก และคนในค่ายฟัง เขาแปลให้กลายเป็นเรื่องของเกมชิงรถถังไปเสียหมด ซึ่งทำให้กุยโดต้องรับบทแก้สถานการณ์ต่างๆ ไปเรื่อยๆ เพื่อบอกให้เจ้าลูกชายสุดรักเข้าใจว่ามันเป็นเพียงแค่เกมชิงรถถังเท่านั้นนะเจ้าโจชัว

เราเข้าใจถึงการกระทำของกุยโดนะว่าเขาต้องการให้ลูกหมดความวิตกกังวลใจ โจชัวก็ช่างเป็นเด็กน่ารัก เชื่อฟังคำสั่งของผู้เป็นพ่อเสมอ อีกนัยหนึ่งของการกระทำนี้เราว่าผู้กำกับก็ตั้งใจที่จะส่งเสริมและนำเสนอถึงความฉลาดของชาวยิวเช่นกัน กุยโดทำอยู่เช่นนั้นเรื่อยๆ จนหนังมาถึงวาระสุดท้าย เขาก็ยังสวมบทเป็นฮีโร่ผู้ทำให้ลูกชายหลุดพ้นค่ายกักกันแห่งนี้ไปได้ ถึงกระนั้นเขาก็ยังโบกมือลาลูกชายด้วยรอยยิ้มเช่นเคย โจชัวได้พบกับดอร่า และทั้งคู่ก็พูดซ้ำๆ ว่า “เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว” ชัยชนะนั้นมันไม่น่าจะใช่รถถังหรอก แต่มันคือการได้ชีวิตตัวเองกลับคืนมากกว่า อยากจะบอกว่าเรื่องราวในตอนหลังมันกระแทกจิตใจคนดูอย่างเรามากเหลือเกิน จนต้องออกปากดังๆ ว่า ‘นี่พี่จะให้ความหวังหนูทำไมเนี่ย!!’

หนังจบเรากลับมานึกถึงเรื่องของการมองโลกในแง่ดี ถึงแม้บางครั้งมันอาจจะเหมือนการหลอกตัวเอง แต่เราเชื่อว่าการกระทำของกุยโดมันคือการหลอกตัวเองบนพื้นฐานของความเป็นจริง มันคงไม่ผิดหรอกที่บางเรื่องเราอาจจะหลอกตัวเองไปบ้าง แต่มันก็เพื่อความสุขในชีวิตและเพื่อคนรอบข้าง และแน่นอนคนที่หลอกตัวเองตลอดเวลา เขาก็ไม่อาจมีความสุขได้เช่นกัน มองย้อนกลับไปที่ย่อหน้าแรก เราจึงมองว่าการใช้ชีวิตมันไม่มีแบบแผนหรือรูปแบบที่ตายตัว การไปห้ามคนอื่นให้คิด หรือดำเนินชีวิตเหมือนกับที่เรามองว่าดี มันก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรเช่นเดียวกัน เราอาจจะต้องมองโลกให้มันเป็นสีเทาๆ ตุ่นๆ เหมือนในหนัง แล้วหาความสวยงามให้กับเรื่องร้ายๆ ในชีวิตของเราบ้างก็ไม่น่าจะผิดอะไร และหวังว่าทุกคนจะลองเปิดใจให้กับหนังเรื่องนี้เช่นเดียวกัน 

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
ไก่อ้วน's profile


โพสท์โดย: ไก่อ้วน
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
16 VOTES (4/5 จาก 4 คน)
VOTED: Bigdream, พูดไปก็เท่านั้น
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เปิดวาร์ป "นางฟ้าลอตเตอรี่"! สวยจนโซเชียลสงสัย อาชีพจริงหรือแค่คอนเทนต์?เพจดังแฉหัวหน้าแก๊งค์ “น้ำไม่อาบ” ไม่ทน ออกแถลงการณ์ลั่นปิดท้าย “ผมด่ากลับ แล้วรับให้ได้จำได้ไหม? "พุฒ เดชอุดม" จากยูทูบเบอร์เสียงเพี้ยน สู่สาวสวยสุดlซ็กซี่
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
เปิดวาร์ป "นางฟ้าลอตเตอรี่"! สวยจนโซเชียลสงสัย อาชีพจริงหรือแค่คอนเทนต์?Kawaguchi Ayaka นักแสดง A.V วัย 25 ปี จะ "แต่งงาน" ในเดือนธันวาคมนี้ที่ฮ่องกง
กระทู้อื่นๆในบอร์ด นิยาย เรื่องเล่า
เปิดตำนาน "ยุทธหัตถี" วีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเปิดตำนาน "กวนอู" เทพเจ้าแห่งสงคราม ผู้ซื่อสัตย์และเกรียงไกรใครคือยอดนักรบที่เก่งที่สุดในสามก๊ก?โรงแรมร้อยศพ: เรื่องหลอนที่ไม่ควรพลาด
ตั้งกระทู้ใหม่