หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Team Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

เมโส คืออะไร ดีต่อผิวจริงไหม มีผลข้างเคียงหรือเปล่า ทำไมหลายคนนิยม

โพสท์โดย CuteCute

เมโส คืออะ

ไร ดีต่อผิวจริงไหม มีผลข้างเคียงหรือเปล่า ทำไมหลายคนนิยม
หลายคนคงคุ้นกับคำว่าเมโสหน้าใส (Mesotherapy) เพราะมักถูกพูดถึงคู่กันอยู่เสมอ แต่จริง ๆ แล้วคำว่าเมโส หมายถึงเทคนิคการฉีดตัวยาหรือสารบำรุงลงไปที่ชั้นกลางของผิวโดยตรง เพื่อช่วยฟื้นฟูและแก้ปัญหาผิวอย่างตรงจุด

 

ปัจจุบันเมโสแบ่งออกเป็นหลายประเภท ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกัน เช่น เมโสเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น เมโสสำหรับลดเลือนริ้วรอย เมโสที่ช่วยปรับสีผิวให้สว่างใสขึ้น หรือแม้กระทั่งเมโสที่ช่วยกระชับผิว ทั้งนี้การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความต้องการของแต่ละคน

 

หลายคนสงสัยว่าเมโสอันตรายหรือไม่ หากทำกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ ใช้ตัวยาที่ได้มาตรฐาน และฉีดด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง ก็ถือว่ามีความปลอดภัยสูง อีกทั้งยังเป็นวิธีที่ช่วยให้เห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจนและรวดเร็วเมื่อเทียบกับการบำรุงผิวด้วยวิธีทั่วไป

 

การฉีดเมโสอันตรายหรือไม่
หลายคนที่กำลังมองหาวิธีดูแลผิวให้กระจ่างใส มักจะมีคำถามว่า การฉีดเมโสหน้าใสอันตรายหรือไม่ คำตอบคือ โดยทั่วไปแล้วการฉีดเมโสถือว่าเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยสูง หากทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเลือกใช้ตัวยาที่ผ่านมาตรฐาน

 

เหตุผลที่เมโสถูกจัดว่าเป็นวิธีดูแลผิวที่ไม่อันตราย
ส่วนประกอบของตัวยาที่ใช้ในเมโสมักเป็นสารบำรุงที่มีประโยชน์ต่อผิว เช่น

  1. วิตามิน A, B, C และ E
  2. กลูตาไธโอน
  3. ทรานซามิน (Transamin)
  4. คอลลาเจน
  5. โคเอนไซม์ และสารต้านอนุมูลอิสระชนิดต่าง ๆ

 

สารเหล่านี้ช่วยฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง ช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้นและเพิ่มความชุ่มชื้น การฉีดเมโสจะทำให้สารบำรุงเหล่านี้ซึมสู่ผิวหนังชั้นกลางโดยตรง จึงสามารถแก้ปัญหาผิวได้ตรงจุดมากกว่าการใช้ครีมหรือเซรั่มทั่วไป

 

สูตรเมโสที่ตอบโจทย์แต่ละปัญหาผิว
ปัจจุบันการฉีดเมโสถูกพัฒนาให้มีสูตรหลากหลาย เพื่อให้เหมาะกับสภาพผิวและความต้องการที่ต่างกัน เช่น

  1. สูตรเมโสที่ช่วยให้ผิวดูขาวกระจ่างใสขึ้น
  2. สูตรเมโสที่ช่วยลดการอักเสบของสิว ผื่น หรือผิวบอบบางแพ้ง่าย

 

เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการ ควรให้แพทย์เป็นผู้ตรวจประเมินผิวก่อน เพื่อเลือกสูตรเมโสที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ

 

เมโสมีทั้งหมดกี่แบบ และแต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร
การฉีดเมโสหน้าใส (Mesotherapy) เป็นหนึ่งในหัตถการที่ได้รับความนิยมมากในกลุ่มคนที่ต้องการดูแลผิวอย่างล้ำลึก เพราะเมโสช่วยส่งสารบำรุงเข้าสู่ผิวหนังชั้นกลาง ซึ่งเป็นชั้นผิวที่มีคอลลาเจน อีลาสติน และเส้นเลือดฝอยอยู่จำนวนมาก ทำให้เมโสสามารถฟื้นฟูผิวให้ชุ่มชื้น กระจ่างใส และแข็งแรงขึ้นได้อย่างตรงจุด

 

ประเภทของเมโสหน้าใส แบ่งตามเทคนิคการฉีด
โดยทั่วไป เมโสสามารถแบ่งตามเทคนิคการทำออกเป็น 2 แบบหลัก ๆ ซึ่งแต่ละแบบมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ดังนี้

 

1. เมโสสะกิด (Mesotherapy with Microneedling Technique)
ลักษณะการทำเมโสสะกิด
เป็นการใช้เข็มขนาดเล็กพิเศษสะกิดตัวยาบำรุงเข้าสู่ผิวหนังหลาย ๆ จุดทั่วใบหน้า โดยเน้นที่ชั้นผิวระดับตื้นจนถึงชั้นกลาง เพื่อให้ตัวยาแทรกซึมได้ดี

 

ข้อดีของเมโสสะกิด

  1. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว
  2. กระตุ้นให้ผิวซ่อมแซมตัวเอง ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น
  3. ช่วยให้ตัวยาซึมเข้าสู่ผิวได้ลึกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

ข้อควรระวังของเมโสสะกิด

  1. หลังทำอาจมีรอยแดงหรือรอยช้ำเล็กน้อย
  2. หากใช้อุปกรณ์ที่ไม่สะอาดมีโอกาสเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อ
  3. ไม่ควรซื้อเมโสมาฉีดเองเพราะเสี่ยงอันตรายสูง

 

2. เมโส 16 จุดทั่วใบหน้า (16-Point Facial Mesotherapy)
ลักษณะการทำเมโส 16 จุด
เทคนิคนี้จะฉีดสารบำรุงเฉพาะจุดตามตำแหน่งต่อมน้ำเหลืองบนใบหน้าทั้งหมด 16 จุด เพื่อให้ตัวยากระจายทั่วใบหน้าได้อย่างสม่ำเสมอ

 

ข้อดีของเมโส 16 จุด

  1. ตัวยากระจายตัวได้ทั่วหน้าโดยผ่านระบบน้ำเหลือง
  2. ลดการสะสมของของเสียใต้ผิวและลดอาการบวม
  3. โอกาสเกิดรอยช้ำน้อยกว่าวิธีสะกิด
  4. ฟื้นตัวเร็ว สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติหลังทำ
  5. เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการรอยช้ำหรือพักฟื้นนาน

 

จะเลือกเมโสแบบไหนดี
การเลือกเทคนิคการทำเมโสขึ้นอยู่กับสภาพผิวและปัญหาที่ต้องการแก้ เช่น ผิวหมองคล้ำ สิว รอยแดง ผิวแห้งขาดน้ำ หรือริ้วรอย โดยควรให้แพทย์เป็นผู้ประเมินผิวก่อนทุกครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการและลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียง

 

เมโสหน้าใส มีกี่สูตร และควรเลือกสูตรไหนดี
นอกจากเทคนิคการทำแล้ว เมโสหน้าใสยังมีหลายสูตรที่ออกแบบมาเพื่อดูแลปัญหาผิวที่ต่างกัน ซึ่งแต่ละสูตรมีส่วนผสมและคุณสมบัติเด่นแตกต่างกัน ดังนี้

 

1. Made Collagen (มาเด้ คอลลาเจน)
จุดเด่น

  1. อุดมไปด้วยคอลลาเจน วิตามินซี และแร่ธาตุสำคัญ
  2. ช่วยลดการอักเสบ ขับของเสีย และฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง

 

เหมาะกับ

  1. ผิวแพ้ง่าย ผิวอักเสบหรือมีผื่น
  2. ผู้ที่ต้องการบำรุงผิวเร่งด่วนให้ฟื้นตัว
  3. ผู้ที่ต้องการกระตุ้นระบบไหลเวียนน้ำเหลือง

 

2. Filorga (ฟิลอก้า)
จุดเด่น

  1. มีกรดไฮยาลูโรนิก วิตามิน และกรดอะมิโนหลายชนิด
  2. ช่วยเติมน้ำให้ผิว ทำให้ผิวเนียนนุ่ม กระชับรูขุมขน

 

เหมาะกับ

  1. ผิวแห้ง ขาดน้ำ แต่งหน้าไม่ติด
  2. รูขุมขนกว้างหรือมีริ้วรอยเล็ก ๆ ใต้ตา

 

3. REVS (รีเวิร์ส)
จุดเด่น

  1. เมโสสัญชาติเกาหลี มี Hyaluronic Acid, Vitamin C, Peptides และ Polynucleotide (PN)
  2. ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวและปกป้องผิวจากมลภาวะ

 

เหมาะกับ

  1. ผิวแห้ง รูขุมขนกว้าง หรือพักผ่อนน้อย
  2. ผู้ที่ต้องการให้ผิวอิ่มน้ำและมีความยืดหยุ่น

 

4. Tensonez (เทนโซเนส)
จุดเด่น

  1. มี Hyaluronic Acid, Collagen และสารช่วยลดเม็ดสี
  2. ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ลดรอยสิว จุดด่างดำ และสีผิวไม่สม่ำเสมอ

 

เหมาะกับ

  1. ผู้ที่มีฝ้า กระ จุดด่างดำ
  2. ผู้ที่ต้องการให้ผิวเรียบเนียนและกระจ่างใส

 

5. Alpha Arbutin
จุดเด่น

  1. มีสาร Alpha Arbutin ร่วมกับ Vitamin C และ Niacinamide
  2. ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ช่วยให้ผิวขาวใสขึ้น

 

เหมาะกับ

  1. ผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ รอยดำจากสิว
  2. ผู้ที่ต้องการปรับสีผิวให้สม่ำเสมอและลดความหมองคล้ำ

 

6. Neo-Glutanex Glow
จุดเด่น

  1. มี Glutathione, Vitamin C, Hyaluronic Acid และ Peptides
  2. ช่วยปรับสีผิวให้สว่าง ลดริ้วรอย และเติมความชุ่มชื้นให้ผิว

 

เหมาะกับ

  1. ผู้ที่มีผิวแห้ง ขาดน้ำ หรือใต้ตาคล้ำ
  2. ผู้ที่ต้องการให้ผิวแข็งแรงขึ้น ลดฝ้า กระ และจุดด่างดำ

 

เมโสหน้าใสสูตรไหนดีที่สุด
หลายคนสงสัยว่าเมโสหน้าใสสูตรไหนดีที่สุด คำตอบคือ ไม่มีสูตรไหนที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน เพราะเมโสแต่ละสูตรถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาผิวที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น เวลาจะตัดสินใจว่า เมโสตัวไหนดี ควรพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้

  1. สภาพผิวของตนเองในปัจจุบัน
  2. ปัญหาผิวหลักที่ต้องการแก้ไข เช่น ผิวหมองคล้ำ ริ้วรอย ผิวขาดน้ำ หรือสิว
  3. ความเหมาะสมของส่วนผสมและตัวยากับร่างกายแต่ละบุคคล
  4. คำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยและเห็นผลลัพธ์ที่ตรงจุด

 

สะกิดเมโสหน้าใส กับ ฉีดเมโสหน้าใส ต่างกันอย่างไร
ในปัจจุบันมีเทคนิคการทำเมโสหน้าใสให้เลือกหลัก ๆ สองแบบ คือ การสะกิดเมโสหน้าใส และ การฉีดเมโสหน้าใสแบบ 16 จุด ซึ่งทั้งสองวิธีมีลักษณะและผลลัพธ์ที่ต่างกัน

 

การสะกิดเมโสหน้าใส (Microneedle Meso Therapy)
เทคนิคนี้ใช้เข็มขนาดเล็กสะกิดผิวหน้าในชั้นตื้น ๆ และเติมตัวยาเป็นจุดเล็ก ๆ กระจายทั่วใบหน้า

 

จุดเด่นของการสะกิดเมโสหน้าใส

  1. ช่วยให้ตัวยาบำรุงซึมเข้าสู่ผิวได้ลึกและทั่วถึง
  2. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวชั้นตื้น ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น
  3. เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวทั้งใบหน้าแบบครอบคลุม

 

ข้อควรพิจารณา

  1. อาจมีรอยแดงหรือรอยเข็มเล็ก ๆ หลังทำ ซึ่งจะค่อย ๆ จางไป
  2. หากสถานที่หรืออุปกรณ์ไม่สะอาด อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  3. ปัจจุบันเทคนิคนี้เริ่มใช้ลดลง เนื่องจากมีวิธีที่เจ็บน้อยกว่าและได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกัน

 

การฉีดเมโสหน้าใส (16 จุดทั่วใบหน้า)
เทคนิคนี้เป็นการฉีดตัวยาลงในผิวชั้นตื้นแบบเฉพาะจุด โดยอ้างอิงตำแหน่งมาตรฐาน 16 จุดบนใบหน้า ซึ่งมีผลต่อระบบไหลเวียนและการฟื้นฟูผิว เช่น บริเวณแก้ม หน้าผาก คาง และจุดสำคัญอื่น ๆ

 

จุดเด่นของการฉีดเมโสหน้าใส 16 จุด

  1. เจ็บน้อยกว่าการสะกิดทั่วใบหน้า เพราะฉีดเป็นจุด ๆ เท่านั้น
  2. มีรอยช้ำหรือรอยเข็มน้อยกว่า ทำให้ฟื้นตัวได้เร็ว
  3. ลดความเสี่ยงการระคายเคือง เพราะแผลน้อยกว่า
  4. ตัวยาออกฤทธิ์ตรงจุดและกระจายตัวได้ดี อาจให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานกว่า
  5. ให้ผลลัพธ์ชัดเจน และเป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมมากในคลินิกความงามในปัจจุบัน

 

สรุปทุกเรื่องเกี่ยวกับเมโส
เมโส เป็นอีกหนึ่งวิธีดูแลผิวที่ช่วยให้ใบหน้าดูกระจ่างใสและสุขภาพดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ แต่สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากที่สุดในการทำเมโส คือ การเลือกสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือและให้แพทย์เป็นผู้ทำหัตถการทุกครั้ง เพราะการฉีดเมโสต้องใช้เทคนิคที่ถูกต้องและตัวยาที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงในอนาคต

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
CuteCute's profile


โพสท์โดย: CuteCute
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ภาษาที่ควรเรียนที่สุด ในอีก5ปีข้างหน้าตรงนี้มีคำตอบคนละครึ่งพลัสเฟส 1 ใช้ไม่หมดสามารถนำไปใช้เฟส 2 ได้หรือไม่แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี"ฮุนเซน" เงินหมด ทหาร BHQ คู่ใจทรยศ แอบซบอก "สมรังสี"อยากเช่าหน้าร้านเซเว่น เพื่อขายของต้องทำอย่างไร วันนี้มีคำตอบชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทยวิธีป้องกันตะขาบในบ้าน ลดเสี่ยงโดนกัดจากสตาร์ตอัปเจ๊ง 3 รอบ สู่เศรษฐี 800 ล้านดอลลาร์…ชายผู้ประกาศสงครามกับ “ความแก่”"ประธานสหภาพฯ" บริษัทไดกิ้น เปิดใจหลังสั่งปิดงาน! ชี้ ยังต้องได้โบนัส“ย้อนวันวานอาหารจานละ 2-3 บาท กินอิ่มทั้งบ้านด้วยเงินไม่กี่บาท ราคาน่ารักที่วันนี้หาไม่ได้แล้ว”10 เลขเด็ดเลขดัง "สลาก 5 ภาค" งวดวันที่ 16 ธันวาคม 68..รีบส่องเลย ก่อนหวยหมดแผง!!“ดราม่าระอุ! นางงามกัมพูชาสวมชุดไทยขึ้นเวที Miss Cosmo อ้างเป็นของเขมร คนไทยตั้งคำถาม กระทรวงวัฒนธรรมไทยอยู่ไหน?”
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
“ดราม่าระอุ! นางงามกัมพูชาสวมชุดไทยขึ้นเวที Miss Cosmo อ้างเป็นของเขมร คนไทยตั้งคำถาม กระทรวงวัฒนธรรมไทยอยู่ไหน?”“เปิดกระเป๋า G-Wallet แล้วตกใจ… ทำไมมี 3 ฟีเจอร์ที่รัฐไม่เคยบอก แต่ใช้แล้วได้ประโยชน์กว่าคนละครึ่ง?”เปิดตำนาน “Kasteel de Haar” ปราสาทยิ่งใหญ่แห่งเนเธอร์แลนด์ งดงามดั่งเทพนิยาย หรูหราที่สุดแห่งยุโรปสมุนไพรต้านอากาศหนาว ดีต่อระบบหายใจ พร้อมสู้ฝุ่น PM2.5สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า จุดลึกลับกลางทะเล ที่เรือหาย คนหาย แบบไร้ร่องรอย"ตังเก" : เพลงแห่งการพลัดถิ่นและศักดิ์ศรีแรงงาน บทเพลงอมตะจาก พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ
กระทู้อื่นๆในบอร์ด โฆษณา ประชาสัมพันธ์
บริการกำจัดไรฝุ่น ซักพรม ที่นอน โซฟา พร้อมฆ่าเชื้อโรคครบวงจรภาพ 3 มิติ คืออะไร? เทคนิคสร้างภาพเสมือนจริงสำหรับมือใหม่Microsoft Fabric คืออะไร? แนะนำเครื่องมือใหม่จาก Microsoft สำหรับองค์กรยุคดิจิทัลทุกสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ ESG คืออะไร และทำไมถึงสำคัญต่อองค์กร
ตั้งกระทู้ใหม่