สิวผด คืออะไร สาเหตุหลักของการเกิดสิว
สิวผด คืออะไร
สิวผด (Acne Aestivalis หรือ Mallorca acne) คือ สิวที่มีลักษณะเป็นผื่นเม็ดเล็กๆ ใสๆ หรือสีแดง ขนาดประมาณ 1-2 มิลลิเมตร ที่มักจะขึ้นเป็นกลุ่มกระจายตัวบนใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก แก้ม คาง หรือบริเวณที่มีเหงื่อและความชื้นมาก เช่น หลัง หรือกรอบหน้า
ลักษณะเด่นของสิวผด
- ตุ่มเล็กๆ ไม่มีหัว จะไม่มีหัวสิวสีขาวหรือดำเหมือนสิวอุดตัน ไม่สามารถบีบออกได้
- รู้สึกสากมือ เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเหมือนมีเม็ดทรายหรือผิวไม่เรียบเนียน
- มีอาการคันหรือระคายเคือง บางครั้งอาจรู้สึกคันหรือแสบร่วมด้วย
- เป็นๆ หายๆ มักจะเห่อขึ้นมาเป็นช่วงๆ และสามารถหายไปได้เอง หรือกลับมาเป็นซ้ำได้
- สัมพันธ์กับอากาศร้อนชื้น มักจะเกิดขึ้นหรือเห่อขึ้นมาในช่วงที่อากาศร้อนอบอ้าว มีเหงื่อออกมาก
สาเหตุหลักของการเกิดสิวผด
- ความร้อนและความชื้น เป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดสิวผด เมื่อเหงื่อออกมาก ผิวชื้นแฉะ อาจทำให้รูขุมขนเกิดการอุดตัน
- การอุดตันของรูขุมขน เกิดจากการสะสมของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว น้ำมัน เหงื่อ และสิ่งสกปรก ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบ
- แสงแดด โดยเฉพาะรังสี UVA เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสิวผดได้ (บางครั้งเรียกว่า Polymorphous light eruption)
- เชื้อรา/ยีสต์ สิวผดบางประเภทอาจเกิดจากการเจริญเติบโตมากผิดปกติของเชื้อราหรือยีสต์ในรูขุมขน ทำให้เกิดการอักเสบ
- มลภาวะ ฝุ่นละออง PM 2.5 และควันต่างๆ สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวผดได้
- ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือเครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดการอุดตัน หรือระคายเคืองผิว
- พฤติกรรมบางอย่าง เช่น การใส่หน้ากากอนามัยเป็นเวลานาน การใส่หมวกหรือผ้าโพกศีรษะที่ทำให้เกิดความอับชื้น
- ความเครียด อาจกระตุ้นให้ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงและส่งผลต่อการเกิดสิวผดได้
ข้อแตกต่างจากสิวประเภทอื่น
สิวผดมักจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสิวอุดตัน แต่จริงๆ แล้วแตกต่างกัน สิวผดไม่มีหัวสิวและมักมีอาการคันหรือระคายเคืองร่วมด้วย และบางครั้งสาเหตุอาจมาจากเชื้อรา ไม่ใช่แค่การอุดตันของไขมันและสิ่งสกปรกอย่างเดียว
หากคุณมีสิวผดและกังวลใจ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อวินิจฉัยสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
สิวผด เกิดจากสาเหตุอะไร
สิวผด หรือที่รู้จักกันในชื่อทางการแพทย์ว่า Acne Aestivalis หรือ Mallorca acne เกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ปัจจัยหลัก ๆ ที่กระตุ้นให้เกิดสิวชนิดนี้มักเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมและพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ดังนี้
1.ความร้อนและความชื้น
นี่คือปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดสิวผด เมื่อร่างกายอยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว หรือมีเหงื่อออกมาก ความร้อนและความชื้นจะกระตุ้นให้รูขุมขนบวมและเกิดการอุดตันได้ง่ายขึ้น ทำให้เกิดผื่นเม็ดเล็ก ๆ ขึ้นมาบนผิว โดยเฉพาะบริเวณที่เหงื่อออกเยอะ เช่น หน้าผาก แก้ม คอ หรือแผ่นหลัง
2.การอุดตันของรูขุมขน
สิวผดเกิดขึ้นเมื่อรูขุมขนเกิดการอุดตัน ซึ่งอาจเกิดได้จาก
- เหงื่อและสิ่งสกปรก เมื่อเหงื่อออกมากผสมกับฝุ่นละออง มลภาวะ และเซลล์ผิวที่ตายแล้ว จะทำให้เกิดการสะสมและอุดตันในรูขุมขน
- ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิว การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ครีมกันแดด หรือเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการอุดตัน (comedogenic) หรือมีเนื้อสัมผัสที่หนักและเหนียวเหนอะหนะ ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวผดได้
3.แสงแดด
แสงแดด โดยเฉพาะรังสี UVA เป็นอีกหนึ่งตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้เกิดสิวผด บางครั้งสิวผดจึงถูกเรียกว่า "ผื่นแพ้แดด" ในบางกรณี แสงแดดจะไปกระตุ้นให้ผิวเกิดการระคายเคืองและอักเสบในรูขุมขน ทำให้เกิดตุ่มเล็ก ๆ ขึ้นมา
4.เชื้อรา/ยีสต์
ในบางกรณี สิวผดอาจเกิดจากการเจริญเติบโตที่มากเกินไปของเชื้อรากลุ่ม Malassezia (Pityrosporum) ซึ่งเป็นยีสต์ชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่บนผิวหนังของคนเราตามปกติ เมื่อสภาพผิวมีความร้อนชื้น หรือมีความมันมากเกินไป เชื้อราเหล่านี้จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น ทำให้เกิดการอักเสบและเป็นตุ่มผื่นเล็ก ๆ ที่มีอาการคันร่วมด้วย ซึ่งอาการจะคล้ายกับสิวผดทั่วไป ทำให้บางครั้งแยกได้ยากและต้องให้แพทย์วินิจฉัย
5.มลภาวะและฝุ่นละออง
ฝุ่น PM 2.5 และมลภาวะต่าง ๆ ในอากาศสามารถเกาะติดกับผิวหนังและอุดตันรูขุมขนได้ ทำให้เกิดการระคายเคืองและนำไปสู่การเกิดสิวผด
6.พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
- การใส่หน้ากากอนามัยเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการสะสมของความร้อน ความชื้น และเหงื่อบริเวณใต้หน้ากาก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของ "Maskne" หรือสิวที่เกิดจากการใส่หน้ากาก
- การใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นหรือไม่ระบายอากาศ ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นอับชื้นและเกิดการเสียดสี
- การออกกำลังกายที่ทำให้เหงื่อออกมากแล้วไม่ได้ทำความสะอาดร่างกายทันที ทำให้เหงื่อหมักหมมอยู่บนผิว
7.ความเครียด
ความเครียดอาจส่งผลกระทบต่อระบบฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดสิวได้เช่นกัน
โดยสรุปแล้ว สิวผดมักเป็นผลมาจากการรวมตัวของหลายปัจจัยข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความร้อน ความชื้น และการอุดตันของรูขุมขน หากคุณมีปัญหาสิวผดเรื้อรังและไม่แน่ใจสาเหตุที่แท้จริง การปรึกษาแพทย์ผิวหนังจะช่วยให้ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องค่ะ
สิวผดแก้ยังไง
การรักษาสิวผดนั้นมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ ทั้งนี้ การดูแลตัวเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นสิ่งสำคัญมาก ส่วนการใช้ยาหรือการรักษาทางการแพทย์ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
การดูแลตัวเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (พื้นฐานที่สำคัญที่สุด)
1.ทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยนแต่ทั่วถึง
ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น) หรือเมื่อมีเหงื่อออกมาก หรือรู้สึกเหนอะหนะ
เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าสูตรอ่อนโยน ปราศจากสบู่ น้ำหอม แอลกอฮอล์ และสารที่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic)
หลีกเลี่ยงการขัด ถู หรือนวดหน้าแรงๆ เพราะจะยิ่งระคายเคืองและกระตุ้นให้สิวเห่อ
ซับหน้าให้แห้งด้วยผ้าขนหนูสะอาด ไม่ควรถูหน้าแรงๆ
2.หลีกเลี่ยงความร้อนและความอับชื้น
อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ร้อนอบอ้าว
หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมากเป็นเวลานาน หากออกกำลังกาย ควรอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที
เช็ดเหงื่อออกทันทีเมื่อรู้สึกว่ามีเหงื่อออกมาก
สำหรับคนที่มีสิวผดที่กรอบหน้าหรือหน้าผาก ลองเปลี่ยนแชมพู ครีมนวดผม หรือหลีกเลี่ยงการไว้ผมหน้าม้าที่ปิดหน้าผาก เพราะอาจทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกและความอับชื้น
3.ป้องกันผิวจากแสงแดด
หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง โดยเฉพาะช่วงแดดจัด (10.00 - 16.00 น.)
ทาครีมกันแดดชนิดที่บางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ และระบุว่า Non-comedogenic หรือ Non-acnegenic
สวมหมวกปีกกว้างหรือกางร่มเมื่อต้องออกแดด
4.เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสม
เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า "Non-comedogenic" หรือ "Oil-free"
หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอม แอลกอฮอล์ หรือสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง
สำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่าย ควรลองใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ในพื้นที่เล็กๆ ก่อน เพื่อทดสอบการแพ้
5.งดการสัมผัส แกะ เกา หรือบีบสิว
มือของเรามีเชื้อโรคและสิ่งสกปรก การสัมผัสหน้าบ่อยๆ จะยิ่งทำให้อาการแย่ลง และอาจเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อได้
6.รักษาความสะอาดของสิ่งของที่สัมผัสใบหน้า
เปลี่ยนปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน ผ้าเช็ดหน้า หรือผ้าเช็ดตัวบ่อยๆ
ทำความสะอาดแว่นตา โทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่สัมผัสใบหน้าเป็นประจำ
7.ดูแลสุขภาพโดยรวม
ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและขับของเสีย
ทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักผลไม้ และลดอาหารที่กระตุ้นการเกิดสิว เช่น ของมัน ของทอด นมวัว น้ำตาล
พักผ่อนให้เพียงพอ และจัดการความเครียด เพราะความเครียดสามารถกระตุ้นให้สิวเห่อได้
การรักษาทางการแพทย์ (ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง)
หากสิวผดไม่ดีขึ้นด้วยการดูแลตัวเอง หรือมีอาการรุนแรง ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาที่เหมาะสม แพทย์อาจพิจารณาวิธีการรักษาดังต่อไปนี้
1.ยาทาเฉพาะที่
ยาฆ่าเชื้อรา/ยีสต์ (Antifungal cream) หากสิวผดมีสาเหตุมาจากเชื้อรากลุ่ม Malassezia แพทย์จะสั่งยาที่มีส่วนผสมของ Ketoconazole, Selenium sulfide หรือ Ciclopirox
กลุ่มยา Benzoyl Peroxide ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
กลุ่มกรดวิตามินเอ (Retinoids) เช่น Adapalene, Tretinoin ช่วยลดการอุดตันและปรับสภาพผิว
Salicylic Acid (BHA) ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตัน
Azelaic Acid ช่วยลดการอักเสบและยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย
ยาสเตียรอยด์ชนิดอ่อน (Corticosteroids) ในกรณีที่มีอาการคันหรืออักเสบมาก แพทย์อาจใช้ยาตัวนี้ในระยะเวลาสั้นๆ เพื่อลดการอักเสบ
2.ยารับประทาน
ยาฆ่าเชื้อรา/ยีสต์ (Antifungal medication) ในกรณีที่สิวผดจากเชื้อรามีความรุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อยาทา แพทย์อาจพิจารณายากิน เช่น Itraconazole
ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) ในบางกรณีที่มีการอักเสบมาก แพทย์อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะในระยะสั้นๆ
3.หัตถการทางการแพทย์
IPL (Intense Pulsed Light) ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมันและลดรอยแดง
เลเซอร์ บางชนิดอาจช่วยลดการอักเสบและปรับสภาพผิว
ทรีทเม้นท์บำรุงผิว เช่น การมาส์กหน้า การทำทรีทเม้นท์ที่ช่วยปลอบประโลมผิว หรือลดการอักเสบ
ข้อควรจำ
- การรักษาสิวผดต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ
- ไม่ควรซื้อยามาใช้เองโดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร โดยเฉพาะยาทาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ เพราะอาจทำให้ผิวบางลงหรือเกิดผลข้างเคียงอื่นๆ ได้
- หากอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง ควรกลับไปพบแพทย์เพื่อปรับการรักษา
การทำความเข้าใจสาเหตุและการดูแลผิวอย่างถูกวิธี จะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับปัญหาสิวผดได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ
สิวผดกี่วันหาย
ระยะเวลาที่สิวผดจะหายนั้น แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งความรุนแรงของสิวผด สาเหตุที่แท้จริงของการเกิดสิวผด และการดูแลรักษาที่เหมาะสม
สิวผดที่ไม่รุนแรงมาก และเกิดจากปัจจัยกระตุ้นชั่วคราว (เช่น อากาศร้อน เหงื่อออก)
สามารถหายได้เองภายใน 1-2 วัน หรือ 2-7 วัน หากคุณปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลผิวอย่างเหมาะสม เช่น การล้างหน้าให้สะอาดขึ้น หลีกเลี่ยงความร้อนและความชื้น
อาจจะขึ้นแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ง่ายหากเจอสิ่งกระตุ้นเดิมๆ
สิวผดที่มีอาการรุนแรง หรือเกิดจากการอักเสบ/ติดเชื้อ (เช่น เชื้อรา)
อาจใช้เวลานานขึ้น เป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน
หากเกิดจากเชื้อรา และมีการใช้ยารักษา แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาติดต่อกันประมาณ 1-2 เดือน หรือนานกว่านั้นหากเป็นซ้ำบ่อยๆ
ในกรณีที่รุนแรงมากหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาเบื้องต้น อาจต้องใช้เวลา 3 เดือนหรือมากกว่านั้น ในการควบคุมอาการให้ดีขึ้น
ปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลาการหายของสิวผด
สาเหตุ หากเป็นสิวผดที่เกิดจากความร้อนชื้นทั่วไป จะหายเร็วกว่าสิวผดที่เกิดจากเชื้อรา หรือมีอาการแพ้รุนแรง
การดูแลตัวเอง หากปรับพฤติกรรม หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น และดูแลผิวอย่างถูกวิธี สิวผดก็จะหายเร็วขึ้น
การรักษา หากมีการใช้ยาหรือปรึกษาแพทย์เพื่อการรักษาที่ตรงจุด อาการก็จะดีขึ้นเร็วและเห็นผลชัดเจนกว่าการปล่อยทิ้งไว้
ความรุนแรงของอาการ สิวผดที่เป็นแค่ผื่นเม็ดเล็กๆ น้อยๆ จะหายเร็วกว่าการมีผื่นขึ้นเป็นบริเวณกว้างหรือมีอาการคัน/อักเสบมาก
สรุป
สิวผดเล็กน้อยที่เกิดจากเหงื่อและความร้อน มักจะหายได้เองภายในไม่กี่วัน (1-7 วัน) หากดูแลผิวและหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น
หากเป็นสิวผดที่มีอาการรุนแรง เป็นๆ หายๆ หรือมีอาการคันมาก อาจเป็นสัญญาณว่ามีสาเหตุจากเชื้อรา หรือมีการอักเสบร่วมด้วย ซึ่งอาจใช้เวลารักษาเป็นเดือน และควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อการวินิจฉัยและรับยาที่เหมาะสม
สิ่งสำคัญคือการสังเกตอาการของตัวเอง หากสิวผดไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ หรือมีอาการแย่ลง ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่ถูกต้องค่ะ
สิวผดหายเองได้ไหม?
ใช่ค่ะสิวผดสามารถหายเองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าอาการไม่รุนแรงมาก และเกิดจากปัจจัยกระตุ้นชั่วคราว เช่น อากาศร้อนจัด เหงื่อออกเยอะ หรือการใส่หน้ากากอนามัยเป็นช่วงสั้นๆ
เมื่อไหร่ที่สิวผดมักจะหายเอง?
สิวผดมักจะหายไปเองเมื่อ
- ปัจจัยกระตุ้นถูกกำจัดไป เช่น เมื่อคุณย้ายไปอยู่ในที่ที่อากาศเย็นขึ้น, ทำความสะอาดผิวหลังออกกำลังกายทันที, หรือเลิกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการอุดตัน
- ดูแลผิวอย่างถูกวิธี การล้างหน้าให้สะอาดอย่างอ่อนโยน, ไม่รบกวนผิว, และหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ จะช่วยให้สิวผดหายเร็วขึ้น
- อาการไม่รุนแรง ถ้าเป็นแค่ตุ่มเล็กๆ ใสๆ ไม่ได้มีอาการอักเสบแดงมากนัก มักจะหายไปได้เองภายในไม่กี่วันถึงหนึ่งสัปดาห์
แล้วเมื่อไหร่ที่อาจจะต้องไปหาหมอ?
แม้ว่าสิวผดส่วนใหญ่จะหายเองได้ แต่ก็มีบางกรณีที่คุณควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนังค่ะ
- ไม่หายเอง ถ้าสิวผดยังคงอยู่เป็นเวลานานเกินหนึ่งสัปดาห์ หรือเป็นๆ หายๆ ซ้ำซาก ไม่ดีขึ้นเลยแม้จะดูแลตัวเองแล้ว
- อาการรุนแรงขึ้น ผื่นขยายวงกว้างขึ้น, มีอาการคันมาก, แดงมาก, หรือเริ่มมีตุ่มหนองปน
- สงสัยว่าเกิดจากเชื้อรา สิวผดที่เกิดจากเชื้อรา (Pityrosporum Folliculitis) มักจะมีอาการคันเด่นชัด และไม่ตอบสนองต่อยาทาสิวทั่วไป การรักษากลุ่มนี้จะต้องใช้ยาฆ่าเชื้อรา
- ไม่แน่ใจว่าเป็นสิวผดจริงไหม บางครั้งผื่นผิวหนังอื่นๆ เช่น ผื่นผิวหนังอักเสบจากไขมัน (Seborrheic Dermatitis) หรือผื่นแพ้ ก็อาจมีลักษณะคล้ายสิวผดได้ การให้แพทย์วินิจฉัยจะช่วยให้ได้รับการรักษาที่ตรงจุด
สรุป
สิวผดมักจะหายเองได้หากดูแลตัวเองดีและหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น แต่ถ้าหากเป็นเรื้อรัง อาการรุนแรง หรือมีอาการคันมากผิดปกติ การไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่ดีที่สุดค่ะ
เขียนโดย น้องแอม ผู้น่ารัก













