การท่องเที่ยวแนวใหม่ Sleep Tourism เดินทางเพื่อมานอน ไม่เน้นกิจกรรม หรือตามรอยร้านเด็ดใด ๆ
Sleep tourism หรือ การท่องเที่ยวเพื่อการนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ เน้นการเดินทางไปยังสถานที่ที่เอื้อต่อการพักผ่อนและการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนและจิตใจได้ผ่อนคลายอย่างเต็มที่
ตามข้อมูลของ CDC ที่สำรวจชาวอเมริกันประมาณ 36% ตอนนี้เป็น ‘โรคนอนหลับ’ หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ทั้งยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Journal of Clinical Sleep Medicine วารสารวิชาอายุรศาสตร์การนอนหลับ พบว่า 40% ของผู้ใหญ่กว่า 2,500 คนที่เข้าร่วมการศึกษา ระบุว่า คุณภาพการนอนหลับของพวกเขาลดลง ตั้งแต่เริ่มต้นการระบาดใหญ่ การติดเชื้อและการอดนอน ทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ทั้งสุขภาพกายและจิตใจ
เทรนด์ “การท่องเที่ยวเพื่อการนอนหลับ” (Sleep Tourism) เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะ ผู้คนกลับมาให้ความสำคัญกับการนอนหลับมากขึ้น
ปี 2563 มีโรงแรมหลายแห่งในต่างประเทศ เปิดบริการแพ็กเกจ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวสายนอนโดยเฉพาะ แต่ละแพ็กเกจประกอบไปด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการนอนหลับเพื่อพักผ่อนอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งบริการสปาเต็มรูปแบบ มีให้เลือกตั้งแต่ 3-7 วัน อย่างเช่น
โรงแรมในเครือ Belmond Hotel ในกรุงลอนดอน ร่วมกันสร้างบริการพิเศษ เรียกว่า Sleep Concierge สำหรับลูกค้าที่มีปัญหาด้านการนอนหลับ โดยจะเปิดเสียงต่าง ๆ เพื่อสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมแก่การนอนหลับ มีหมอนให้เลือกตามท่านอนที่ถนัด ไม่ว่าจะเป็นการนอนหงาย หรือนอนตะแคง เพื่อรองรับสรีระของผู้นอน ตลอดจนเลือกน้ำหนักของผ้าห่ม เพื่อให้พอดีกับร่างกาย ไม่ให้รู้สึกหนักเกินไป มีบริการชาก่อนนอนที่เป็นสูตรพิเศษที่คิดค้นขึ้นโดยเฉพาะ และมี Pillow Mist เครื่องหอมเพื่อการบำบัด ที่จะทำให้หลับสบายยิ่งขึ้น มาจากแนวความคิดที่ว่า
“แต่ละคนล้วนมีความชื่นชอบที่แตกต่างกันไป ดังนั้นเราจึงมีตัวเลือกที่หลากหลาย ให้เหมาะสมกับการนอนของทุกคน เพื่อที่จะให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีที่สุด ไม่มีโปรแกรมใดโปรแกรมหนึ่งที่เหมาะสมกับทุกคน”
















