ดวงใจพระจอมฯ สามกษัตรีย์ราชนารีคู่บัลลังก์
ดวงใจพระจอมฯ สามกษัตรีย์ราชนารีคู่บัลลังก์
การสถาปนาพระมเหสี เคียงคู่บารมีพระมหากษัตรย์ ถือเป็นธรรมเนียมที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน ในราชสำนักไทยไม่ปรากฏว่ารับเอาธรรมเนียมนี้มาแต่เมื่อใด คิดเห็นว่าคงรับเอามาพร้อมๆกับการรับพระพุทธศาสนา ซึ่งมีปรากฏความเชื่อในไตรภูมิกถา อธิบายลักษณะของพระจักรพรรดิราชไว้ว่าจะต้องมี “นางแก้ว” เป็นหนึ่งในแก้ว 7 ประการคู่พระบารมี
เดิมทีในราชสำนักสยามสมัยก่อนไม่ได้กำหนดบรรดาศักดิ์เรียกสำหรับยศตำแหน่งพระมเหสี เอาไว้ชัดเจนเพียงแต่สถาปนาพระนางเมืองผู้เหมาะสมให้อยู่ในตำแหน่งแห่งที่เท่านั้น อาจจะเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ หรือ ผู้สืบเชื้อในราชวงศ์ศักดิ์ตามที่มีปรากฏพบในหลักฐานทั่วไป ภายหลังในช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาพบหลักฐานไม่เก่าไปกว่าสมัยสมเด็จพระเพทราชานั้น ได้มีการสถาปนาพระภรรยาเจ้าในตำแหน่งพระมเหสีให้สูงขึ้นด้วยการสถาปนาให้ “ทรงกรม” ดังที่ปรากฏในการสถาปนา กรมพระเทพามาตย์ ผู้ที่เป็นภรรยาเดิมก่อนครองราชสมบัติให้เป็นพระมเหสี พร้อมกับ กรมหลวงโยธาเทพ , กรมหลวงโยธาทิพ (พระธิดา-น้องนางเธอในสมเด็จพระนารายณ์) จึงถือเป็นธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติสืบมาจนถึงเสียกรุงฯซึ่งปรากฏพระนามพระมเหสีทรงกรมอีกหลายพระองค์ และเป็นธรรมเนียมที่พระเจ้าตากสินได้รับเอามาสถาปนาพระมเหสีในสมัยกรุงธนบุรีอย่าง กรมหลวงบาทบาริจา , กรมบริจาภักดีศรีสุดารักษ์ อีกด้วย แต่เมื่อเข้าเปลี่ยนแผ่นดินเขาสู่ยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ในช่วงรัชกาลที่ 1 ,2,3 กลับไม่ปรากฏว่าได้มีการสถาปนาพระภรรยาเจ้า ท่านใดให้มีพระเกียรติยศในที่พระมเหสีเลย อาจด้วยเหตุว่าธรรมเนียมราชตระกูลยังไม่เคร่งครัดอะไรมากประกอบกับลำดับพระราชวงศ์นั้นยังไม่มีลำดับชั้นที่ซับซ้อนกันมากก็เป็นได้
ความเคร่งครัดจัดแจงขนบธรรมเนียมในราชสำนักเริ่มกลับมามีระเบียบแบบแผนอีกครั้งเมื่อล่วงเข้าสู่แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่4) ไม่เพียงแต่ความต้องการคงสถานะความบริสุทธิ์ของสายเลือดกษัตริย์ (อุภโตสุชาติ) เท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยด้านการเมืองทั้งภายในและภายนอกเป็นตัวขับเคลื่อนให้ราชสำนักต้องปรับตัวและรักษาขนบธรรมอย่างเก่าไปพร้อมๆกัน เมื่อรัชกาลที่ 4 ได้เสวยราชสมบัติแล้วการมีนางแก้วคู่พระบารมีจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ หลายๆท่านคงคุ้นเคยกับ สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ในรัชกาลที่ 4 ผู้เป็นพระราชมารดาพันปีหลวงในรัชกาลที่5 แต่แท้ที่จริงแล้วนั้นพระจอมเกล้าฯนั่นยังมีนางแก้วในที่พระมเหสีอีก 3 พระองค์ ด้วยกัน

ภาพที่ 1 : สมเด็จพระนางนาฏ โสมมนัสวัฒนาวดี บรมอัครราชเทวี
ที่มา : ต้นฉบับผู้เขียนสร้างขึ้นจากปัญญาประดิษฐ์อ้างอิงพระรูปวาดกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ
พระองค์ที่ 1 : สมเด็จพระนางนาฏ โสมมนัสวัฒนาวดี บรมอัครราชเทวี หรือ สมเด็จพระนางเธอ พระองค์เจ้าโสมนัสวัฒนาวดี
พระนางเธอฯ เข้ารับราชการฝ่ายในในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่4) จากความเห็นสมควรจากเชื้อพระวงศ์และขุนนาง (ผู้ใหญ่ในแผ่นดิน) ด้วยเป็นผู้เสมอพร้อมด้วยอิสริยยศสมควรทุกประการ ทรงได้รับสถาปนาขึ้นตำแหน่งที่ พระนางนาฏบรมอัครราชเทวี (พระอัครมเหสี) ช่วงหลังจากรัชกาลที่ 4 ครองราชสมบัติได้ประมาณ1 ปี (พ.ศ.2395) ขณะนั้นพระนางเธอฯมีพระชนม์มายุได้ 17 พรรษา ถือเป็นพระอัครมเหสีพระองค์แรกที่ได้ถูกสถาปนาขึ้นในเศวตฉัตรราชวงศ์จักรีอย่างเป็นทางการ หากกล่าวถึงความสมควรในตำแหน่งด้วยประการใดนั้นคงเพราะ พระนางนั้นเป็นพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าเพียงพระองค์เดียวในรัชกาลที่3 ด้วยทรงเป็นพระธิดาในพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ กับหม่อมงิ้ว แรกประสูติเป็นหม่อมเจ้าภายหลังจากสิ้นพระชนม์ของพระบิดาพระองค์มีอายุเพียง6เดือน จึงได้เข้ามาอยู่ในการดูแลของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพผู้เป็นพระปิตุฉา(ป้า) ในพระบรมมหาราชวังทำให้ได้รับพระเมตตาเลี้ยงดูใกล้ชิดทั้งสมเด็จป้าและพระอัยกาธิราชเจ้า(รัชกาลที่3) ถึงกับสถาปนาขึ้นเป็นพระองค์เจ้าเสมอด้วยพระเจ้าลูกเธอ เมื่อเข้ารับราชการฝ่ายในจึงถือเป็น พระภรรยาเจ้าชั้นหลานหลวงที่สามารถให้ประสูติการหน่อพระพุทธเจ้า หรือองค์รัชทายาทได้ตามโบราณราชประเพณี พระนางดำรงพระเกียรติยศพระอัครมเหสีได้ไม่ถึงขวบปีก็สิ้นพระชนม์ สาเหตุจากการทรงครรภ์พระโอรส (การแพทย์สมัยก่อนระบุสาเหตุของการสิ้นพระชนม์เอาไว้หลากหลายเหตุ เช่น รักษาตัวไม่ครบตำราครรภรักษา(อยู่ไฟ) , เป็นฝีในท้อง แต่เมื่อเทียบเคียงกับสมุฐานโรคในปัจจุบันแล้วคิดเห็นว่า เกิดจากสภาวะครรภ์เป็นพิษ) พระนางเธอสิ้นพระชนม์ลงในภายหลังการให้ประสูติพระโอรสได้ไม่นาน ในวันอาทิตย์ที่ ๑๐ ตุลาคม 2395 ได้รับโปรดเกล้าฯให้มีเฉลิมพระบรมศพอย่างสมพระเกียรติและออกพระเมรุในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2396
สิริพระชนม์มายุได้ : 17 พรรษา
ดำรงพระเกียรติยศพระอัครมเหสี : 9 เดือน
พระราชโอรส : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าโสมนัส (สิ้นพระชนม์ในวันประสูติ)
ภาพที่ 2 : สมเด็จพระนางเธอ พระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์ หรือสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์
ที่มา : เว็บไซต์พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี กรมศิลปากร
พระองค์ที่ 2 : สมเด็จพระนางเธอ พระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์ หรือ สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี
ภายหลังการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสแล้วนั้นไม่มีเจ้านายสตรีชั้นพระองค์เจ้าหลานหลวง ที่จะสามารถดำรงตำแหน่งพระมเหสีในแผ่นดินได้โดยชอบแม้ในขณะนั้นรัชกาลที่ 4 จะมีเจ้าจอมอยู่งานที่มีพระเจ้าลูกเธอประมาณหนึ่งแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่เหมาะสมแก่สายเลือดด้วยถือว่าเป็นสามัญชนม์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ จึงให้มีการสถาปนาหม่อมเจ้าหญิงชั้นหลานหลวงพระองค์หนึ่งขึ้นเป็นพระองค์เจ้าปรากฏพระนามว่า "พระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์" พระองค์เป็นพระธิดาในกรมหมื่นมาตยาพิทักษ์กับหม่อมน้อย ทรงประทับในพระบรมมหาราชวังสำนักของพระองค์เจ้าละม่อมผู้เป็นป้า(กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร) เหตุการสถาปนาพระเกียรติยศนั้นเป็นเหตุให้เหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางเห็นพ้องต้องกันให้ยกขึ้นเป็นพระมเหสีในรัชกาล จึงโปรดเกล้าฯไว้ในที่ สมเด็จพระนางนาถราชเทวี ต่อมาภายหลังได้ให้ประสูติการพระโอรส เหล่าขุนนางจึงทูลความเห็นให้ยกขึ้นเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าตามโบราณราชประเพณีด้วยสมบูรณ์พระเกียรติยศทั้งฝั่งสมเด็จพระราชบิดา และพระราชมารดาแล้ว จึงปรากฏพระนามว่าพระเจ้าลูกเธอว่า เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ (รัชกาลที่5) นับเป็นเจ้าฟ้าพระองค์แรกในเศวตฉัตรรัชกาลที่4 สมเด็จพระนางเจ้ารำเพยยังให้ประสูติการเจ้าฟ้าอีก 3พระองค์ได้แก่ เจ้าฟ้าจันทรมณฑล, เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี และเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ ภายหลังการให้ประสูติพระโอรสองค์เล็กก็ทรงประชวรไอเป็นพระโลหิต และมีพระยอดเม็ดเล็ก เรื่อยมาจนสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ.2404 หลังจากสิ้นพระองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มิได้สถาปนาภรรยาเจ้าในที่พระมเหสีอีกเลย
สิริพระชันษาได้ 27 พรรษา
ดำรงพระเกียรติยศพระอัครมเหสี : 9 ปี
พระราชโอรส-ธิดา 4 พระองค์ตามลำดับ : เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ (รัชกาลที่5) ,เจ้าฟ้าจันทรมณฑล, เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี และเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์

ภาพที่ 3 : พระสัมพันธ์วงศ์เธอ พระองค์เจ้าพรรณราย
ที่มา : วิกิพีเดีย https://th.wikipedia.org/
พระองค์ที่ 3 : พระสัมพันธ์วงศ์เธอ พระองค์เจ้าพรรณราย หรือหม่อมเจ้าพรรณราย (หม่อมเจ้าแฉ่)
หม่อมเจ้าพรรณรายเป็นพระธิดาในกรมหมื่นมาตยาพิทักษ์กับหม่อมกิ่ม ทรงเป็นพระขนิษฐาในสมเด็จพระนางเจ้ารำเพยฯ(น้องสาวต่างมารดา) พระองค์เข้ารับราชการฝ่ายในภายหลังการสิ้นพระชนม์ของพระขนิษฐา และได้ให้ประสูติโอรส-ธิดา 2 องค์ ได้แก่ พระองค์เจ้ากรรณิกาแก้ว (ภายหลังรัชกาลที่ 5 สถาปนาเป็นเจ้าฟ้ากรมขุนขัตติยกัลยา ) และ พระองค์เจ้าจิตรเจริญ (ภายหลังรัชกาลที่ 5 สถาปนาเป็นเจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัตติวงศ์) ในรัชกาลพระราชสวามีนั้นไม่ได้มีการสถาปนายกย่องพระเกียรติยศให้สูงขึ้นแต่อย่างใด แต่หม่อมเจ้าพรรณรายนั้นเป็นหม่อมเจ้าชั้นหลานหลวงอยู่แล้วแต่เดิม ชาววังจึงถือเป็นภรรยาเจ้าที่สูงส่งกว่าหม่อมห้ามอื่น โดยปรากฏเรียกกันในหมู่พระราชวงศ์ว่า "เจ้าข้างใน" และปรากฏหลักฐานเมื่อครั้งมีราชทูตจากต่างชาติเข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทูตมีความประสงค์ที่จะขอเข้าเฝ้าพระราชินีของสยาม เพราะตามธรรมเนียมอารยะประเทศสมัยนั้นพระมหากษัตริย์มักจะเสด็จออกรับราชทูตพร้อมด้วยพระราชินีเสมอ แต่ในขณะนั้นสมเด็จพระนางเจ้ารำเพยฯได้สิ้นพระชนม์ไปแล้วจึงไม่มีราชินี ปรากฏความว่ารัชกาลที่ 4 ทรงให้เบิกตัวหม่อมเจ้าหญิงพรรณรายออกฝ่ายหน้ารับแขกเมืองในฐานะราชินี หรือ ควีน(Queen) และคาดกันว่าพระองค์ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการฝ่ายในต่างพระเนตรพระกรรณ์อีกด้วยจึงสูงส่งกว่าภรรยาเจ้าทั้งปวง ภายหลังในสมัยรัชกาล5 ได้สถาปนาหม่อมเจ้าพรรณรายขึ้นเป็น พระสัมพันธ์วงศ์เธอ พระองค์เจ้าพรรณราย ด้วยเป็นพระน้านางที่สนิทสนมมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์และทรงร่วมพระบิดาเดียวกันกับสมเด็จพระราชชนนีพร้อมทั้งยกพระโอรส-ธิดาในพระองค์ขึ้นเป็นเจ้าฟ้าตามอย่างธรรมเนียมอีกด้วย พระองค์มีพระชันษายืนยาวมาถึงในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงประชวรโรคบิดและสิ้นพระชนม์ใน ปี พ.ศ. 2457 สิริพระชันษาได้ 76 ปี
แม้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะมี ภรรยาเจ้า เจ้าจอม หม่อมห้ามรวมกว่า 86 คนก็ตาม แต่เห็นได้ชัดว่ามีพระองค์มีการสงวนพระเกียรติยศของพระมเหสีเอาไว้อย่างมีนัยยะสำคัญโดยไม่ได้แต่งตั้งใครให้สูงเสมอกันหรือพร้อมๆกัน นั่นอาจจะเป็นเพราะทรงมองกาลไกลว่าถ้าหากมีเจ้านายชั้นสูงที่สามารถสืบสันตติวงศ์ได้เยอะๆอาจเกิดความยุ่งยากแก่แผ่นดินดังที่ปรากฎในแผ่นดินกรุงเก่าฯ เมื่อพระองค์ทรงมีพระโอรสเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ที่หมายจะให้สืบทอดสันตติวงศ์แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสถาปนาภรรยาเจ้าให้เป็นพระมเหสีเพื่อดำรงเกียรติยศของรัชทายาทขึ้นอีก
อ้างอิงจาก:
-พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว.(ม.ป.ป.). พระประวัติแลพระอาการประชวรสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี จดหมายพระราชทานเซอร์ จอร์น เบาว์ริ่ง. กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ แปล.(2468). กรุงเทพ:อักษรนิติ. (หนังสืองานปลงศพมารดาหลวงอายุรแพทย์พิเศษ)
-พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว.(ม.ป.ป.).พระคาถาพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์สังเขป. นายสิทธิ์ ปเรียณ แปล. (2525). กรุงเทพ:มูลนิธิภูมิพโลภิกขุ
-ประการเลื่อนกรม แลตั้งกรมพระองค์เจ้า เจ้าพระยา.(25 พฤศจิกายน ร.ศ.119).ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 17 หน้า 484
- กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม.(1 มิถุนายน พ.ศ.2567) “หม่อมเจ้าพรรณราย” พระมเหสีผู้ทรง “ออกรับแขกเมือง” สมัยรัชกาลที่ 4.https://www.silpa-mag.com/
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
พืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯ
เพื่อนสนิทเปิดใจหลังเกิดเหตุ! เผย 'ณัฐวุฒิ ปงลังกา' หลับไม่ตื่น-ไม่ขอตอบปมทะเลาะในวงเหล้า ขณะผลชันสูตรชี้ชัดพบ "ไซยาไนด์"
'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน
พบกองอาเจียนข้างตัว นัทปง ก่อนเสียชีวิต ตำรวจได้กั้นพื้นที่เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
แบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้
เปิดการบ้านภาษาไทย เรียงอักษรให้เป็นคำ แบบนี้ยากไปไหม
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
“นานา ไรบีนา” เพิ่งพ้นคุกก็เจอดราม่าซ้อน—เพื่อน (เคย) รักแห่ออกมาสวนแรง
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
"ฮุนเซน" เงินหมด ทหาร BHQ คู่ใจทรยศ แอบซบอก "สมรังสี"
ตุ๋นลงทุนทิพย์: ไว้ใจ เชื่อใจ หรือเกรงใจ… สุดท้ายใครคือเหยื่อ?
รอบ 3 อาการ 12: หัวใจแห่งการตื่นรู้สำหรับชีวิตประจำวัน (เอไอ รวบรวมและเรียบเรียง)
เลิกกัน แต่ปล่อยคลิปลับ — คนแบบนี้ยังมีอยู่ในโลกได้ยังไง?
7 อันดับสารพิษตัวร้าย : อยู่ให้ไกล ระวังให้ดี เพราะโลกนี้ไม่ได้อ่อนโยนกับเราเสมอไป
