สมเด็จพระราชินีแมรี่ที่ 1 แห่งอังกฤษ กว่าจะเป็น "ราชินีเลือด" ชีวิตที่น่าสงสารและอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง
วันนี้จะพาคุณไปรู้จักชีวิตของสมเด็จพระราชินีแมรี่ที่ 1 แห่งอังกฤษ หรือที่รู้จักกันในนาม "Bloody Mary" ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นราชินีที่โหดร้ายและกระหายเลือด แต่เบื้องหลังฉายานั้น กลับมีชีวิตที่น่าสงสารและต้องเผชิญกับความขัดแย้งมากมายกว่าที่เราคิด
สมเด็จพระราชินีแมรี่ที่ 1 ประสูติในฐานะพระราชธิดาองค์แรกของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 และแคเธอรีนแห่งอารากอน ในวัยเด็ก พระองค์ทรงเป็นที่รักยิ่งของพระราชบิดา และได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีในฐานะรัชทายาท อย่างไรก็ตาม ชีวิตของพระองค์พลิกผันเมื่อพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ต้องการอภิเษกสมรสใหม่เพื่อมีพระราชโอรส และทำการหย่าร้างกับพระมารดาของแมรี่ ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งกับศาสนจักรคาทอลิกและการก่อตั้งนิกายแองกลิกัน
การหย่าร้างและการอภิเษกสมรสใหม่ของพระราชบิดา ทำให้เจ้าหญิงแมรี่ถูกลดสถานะเป็นพระราชธิดานอกสมรส และสูญเสียสิทธิ์ในการสืบราชบัลลังก์ ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับพระราชบิดาเสื่อมถอยลงอย่างมาก อีกทั้งยังต้องเผชิญกับความบาดหมางกับแอนน์ โบลีน พระมารดาเลี้ยง และเอลิซาเบธ พระขนิษฐาต่างมารดา นอกจากนี้ การกระทำของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ยังส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษและสเปน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของพระมารดาแมรี่ ทำให้พระองค์ต้องอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสองมหาอำนาจ
ความขัดแย้งทางศาสนาก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในชีวิตของสมเด็จพระราชินีแมรี่ พระองค์ทรงเติบโตมาในฐานะคาทอลิกที่เคร่งครัด และมีความผูกพันกับพระมารดาอย่างมาก การที่พระราชบิดาทรงตั้งนิกายใหม่และบังคับให้ประชาชนละทิ้งความเชื่อเดิม สร้างความเจ็บปวดและความขัดแย้งในใจให้กับพระองค์อย่างยิ่ง เมื่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 6 พระอนุชาต่างมารดาซึ่งเป็นโปรเตสแตนต์ขึ้นครองราชย์ ความขัดแย้งทางศาสนาก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น และเมื่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 6 สิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงพยายามกีดกันไม่ให้แมรี่ซึ่งเป็นคาทอลิกขึ้นครองบัลลังก์ โดยยกบัลลังก์ให้กับเลดี้เจน เกรย์
อย่างไรก็ตาม สมเด็จพระราชินีแมรี่ที่ 1 ทรงรวบรวมผู้สนับสนุนและสามารถยึดอำนาจกลับคืนมาได้สำเร็จ การขึ้นครองราชย์ของพระองค์นำมาซึ่งการฟื้นฟูศาสนาคาทอลิกในอังกฤษ และการปราบปรามผู้ที่ยังคงนับถือนิกายโปรเตสแตนต์อย่างรุนแรง การเผาผู้คิดต่างนับร้อยคนทำให้พระองค์ได้รับฉายา "Bloody Mary"
แม้ว่าการกระทำของพระองค์จะดูโหดร้าย แต่หากพิจารณาถึงบริบททางประวัติศาสตร์และความยากลำบากที่พระองค์ต้องเผชิญมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ก็อาจทำให้เราเข้าใจถึงแรงจูงใจของพระองค์ได้ พระองค์ทรงถูกพรากจากพระมารดา ถูกลดสถานะ และต้องเผชิญกับความขัดแย้งทางศาสนาและการเมืองมาโดยตลอด การขึ้นครองราชย์ของพระองค์จึงอาจเป็นการพยายามที่จะแก้ไขสิ่งที่พระองค์เชื่อว่าเป็นความผิดพลาด และเป็นการปกป้องความเชื่อทางศาสนาที่พระองค์ยึดมั่น
ปัญหาเรื่องการอภิเษกสมรสก็เป็นอีกหนึ่งความทุกข์ในชีวิตของพระองค์ สภาอังกฤษต้องการให้พระองค์อภิเษกสมรสกับขุนนางชาวอังกฤษเพื่อความมั่นคงของราชบัลลังก์ แต่สมเด็จพระราชินีแมรี่ที่ 1 ทรงเลือกที่จะอภิเษกสมรสกับพระเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งสเปน ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ไม่เป็นที่นิยมในอังกฤษ เนื่องจากความหวาดระแวงอิทธิพลของสเปน การอภิเษกสมรสครั้งนี้ไม่ได้นำมาซึ่งความสุข พระองค์ไม่ทรงมีรัชทายาท และความสัมพันธ์กับพระสวามีก็ไม่ราบรื่น
ความปรารถนาที่จะมีรัชทายาทเพื่อป้องกันไม่ให้เอลิซาเบธ พระขนิษฐาต่างมารดาซึ่งเป็นโปรเตสแตนต์ขึ้นครองบัลลังก์ กลายเป็นความเครียดอย่างหนักสำหรับพระองค์ พระองค์เคยมีอาการที่เชื่อกันว่าเป็น "ท้องลม" ถึงสองครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะมีบุตร แต่สุดท้ายก็ไม่สมหวัง
ในช่วงปลายรัชกาล สุขภาพของสมเด็จพระราชินีแมรี่ที่ 1 ทรุดโทรมลง และพระองค์สิ้นพระชนม์โดยไม่มีรัชทายาท พระองค์ทรงปรารถนาที่จะถูกฝังเคียงข้างพระมารดา แต่สุดท้ายพระศพของพระองค์ถูกฝังไว้ในมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ ร่วมกับสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 1 ซึ่งเป็นบุคคลที่พระองค์ไม่ทรงโปรดปราน
เรื่องราวของสมเด็จพระราชินีแมรี่ที่ 1 ไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น ชื่อของพระองค์ยังคงถูกเล่าขานในตำนานความเชื่อเรื่องผีในยุโรป โดยเฉพาะตำนาน "Bloody Mary" ที่เชื่อกันว่าหากเอ่ยชื่อพระองค์หน้ากระจกในเวลากลางคืน จะปรากฏภาพของผู้หญิงเปื้อนเลือดออกมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงภาพลักษณ์ที่น่าหวาดกลัวที่พระองค์ทิ้งไว้ในประวัติศาสตร์
โดยสรุปแล้ว ชีวิตของสมเด็จพระราชินีแมรี่ที่ 1 เต็มไปด้วยความยากลำบาก ความขัดแย้ง และความน่าเศร้า พระองค์ทรงต้องเผชิญกับการถูกพรากจากพระมารดา การถูกลดสถานะ การต่อสู้เพื่อสิทธิ์ในราชบัลลังก์ ความขัดแย้งทางศาสนา การอภิเษกสมรสที่ไม่สมหวัง และความปรารถนาที่จะมีรัชทายาทที่ไม่เป็นจริง แม้ว่าการกระทำในช่วงครองราชย์ของพระองค์จะถูกมองว่าโหดร้าย แต่การทำความเข้าใจบริบททางประวัติศาสตร์และชีวิตส่วนตัวของพระองค์ อาจช่วยให้เรามอง "ราชินีเลือด" ในมุมมองที่ซับซ้อนและน่าสงสารยิ่งขึ้น













