วลาดีมีร์ ปูติน: ผู้นำผู้กำหนดโฉมหน้าประวัติศาสตร์รัสเซียสมัยใหม่
วลาดีมีร์ ปูติน: ผู้นำผู้กำหนดโฉมหน้าประวัติศาสตร์รัสเซียสมัยใหม่
จากสายลับเคจีบีสู่ผู้นำสูงสุด
วลาดีมีร์ ปูติน เกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 1952 ในเลนินกราด (ปัจจุบันคือเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก) เริ่มต้นชีวิตการทำงานเป็นเจ้าหน้าข่าวกรองต่างประเทศของ เคจีบี เป็นเวลา 16 ปี โดยประจำการที่เยอรมนีตะวันออกในช่วงปลายสงครามเย็น การทำงานในหน่วยข่าวกรองหล่อหลอมทัศนคติเชิงยุทธศาสตร์และความระแวดระวังต่อภัยคุกคามจากตะวันตก ซึ่งสะท้อนในนโยบายต่างประเทศของเขาต่อมา
เส้นทางการเมืองของปูตินเริ่มฉายแววชัดเมื่อเขากลับสู่รัสเซียในปี 1990 และทำงานเป็นที่ปรึกษาให้ อนาโตลี ซอบชัก นายกเทศมนตรีเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ก่อนย้ายสู่วงการเมืองระดับชาติในปี 1996 ภายใต้การสนับสนุนของบอริส เยลต์ซิน ประธานาธิบดีคนแรกของรัสเซีย ในปี 1999 ปูตินได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี และกลายเป็นประธานาธิบดีรักษาการเมื่อเยลต์ซินลาออกในวันสิ้นปี 1999 ก่อนชนะการเลือกตั้งสมัยแรกในปี 2000 ด้วยคะแนนเสียง 53%
นโยบายภายใน: เสถียรภาพและอำนาจรวมศูนย์
ปูตินสร้างเสถียรภาพทางการเมืองด้วยการรวมอำนาจเข้าสู่รัฐบาลกลาง ผ่านการปฏิรูปโครงสร้างการปกครอง เช่น การแบ่งเขตการบริหารใหม่และลดอำนาจผู้ว่าการภูมิภาค ด้านเศรษฐกิจ เขาปฏิรูประบบภาษีด้วยการบังคับใช้ **อัตราภาษีเงินได้แบบคงที่ 13% และนำรัฐกลับมาควบคุมอุตสาหกรรมหลัก เช่น พลังงานและเหมืองแร่ จนรัฐมีส่วนแบ่งในเศรษฐกิจถึง 70%
ผลลัพธ์ในช่วงแรกน่าประทับใจ: จีดีพีรัสเซียเติบโตเฉลี่ย 7% ระหว่างปี 2000–2008 ความยากจนลดลงกว่า 50% และค่าจ้างเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 80 เป็น 640 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ความสำเร็จนี้ส่วนหนึ่งมาจากราคาน้ำมันโลกที่พุ่งสูง และการเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ
นโยบายต่างประเทศ: การแผ่อิทธิพลและสงคราม
ปูตินดำเนินนโยบายต่างประเทศเชิงรุกเพื่อฟื้นฟูสถานะ "มหาอำนาจ" ของรัสเซีย โดยเฉพาะในอดีตสาธารณรัฐโซเวียต:
สงครามจอร์เจีย (2008) รัสเซียเข้าแทรกแซงเพื่อสนับสนุนเขตปกครองตนเองเซาท์ออสซีเชียและอับคาเซีย
ผนวกไครเมีย (2014) หลังวิกฤตการเมืองยูเครน รัสเซียผนวกไครเมียผ่านการลงประชามติที่ถูกนานาชาติประณาม
สงครามยูเครน (2022) ปูตินสั่งการบุกยูเครนแบบเต็มรูปแบบ โดยอ้างว่าเพื่อ "ปลดปล่อย" ชาวรัสเซียพันธุ์ในดอนบาสและต่อต้านการขยายตัวของนาโต
สงครามยูเครนส่งผลให้รัสเซียถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ปูตินยังคงยืนยันว่าเศรษฐกิจรัสเซีย "เติบโตได้แม้ภายใต้ความกดดัน" โดยอ้างอัตราว่างงานต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.3% ในปี 2024
ภาพลักษณ์ชายผู้แข็งแกร่งกับกลไกควบคุมอำนาจ
ปูตินสร้างภาพลักษณ์ "ผู้นำทรหด" ผ่านกิจกรรมสุดโต่ง เช่น ขี่ม้าเปลือยท่อนบน ล่าสัตว์ป่า และฝึกศิลปะการต่อสู้ ภาพลักษณ์นี้สอดคล้องกับวาทกรรม "รักชาติ" ที่ใช้โน้มน้าวให้ประชาชนยอมรับนโยบายที่เข้มงวด
ด้านการเมืองภายใน เขากดขี่ฝ่ายค้านอย่างหนัก:
ควบคุมสื่อ สื่อหลักถูกครอบครองโดยรัฐ ส่วนสื่ออิสระถูกปิดหรือถูกกลั่นแกล้งทางกฎหมาย
กำจัดคู่แข่ง อเล็กเซย์ นาวาลนี ผู้นำฝ่ายค้าน เสียชีวิตในเรือนจำปี 2024 ขณะที่นักวิจารณ์การเมืองหลายคนถูกสังหารหรือลี้ภัย
แก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2020 อนุญาตให้ปูตินลงสมัครประธานาธิบดีได้อีก 2 สมัย ส่งผลให้เขาอาจครองอำนาจจนถึงปี 2036
เศรษฐกิจรัสเซีย: ความยืดหยุ่นหรือภาพลวงตา?
แม้รัสเซียประกาศว่าเศรษฐกิจขยายตัว 3.8% ในปี 2024 แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าเป็นการเติบโตจาก "งบประมาณเงา" ที่รัฐบังคับให้ธนาคารปล่อยกู้แก่บริษัทสงครามแบบไม่คำนึงถึงความเสี่ยง ส่งผลให้หนี้เอกชนพุ่ง 71% ของจีดีพี ปัญหาหลักอื่น ๆ ได้แก่:
เงินเฟ้อ เร่งตัวถึง 9.5% ในปี 2024 สินค้าจำเป็นเช่นเนยถูกล็อกในตู้เพื่อป้องกันการขโมย
ขาดแคลนแรงงาน ทหารเสียชีวิตในสงครามกว่า 150,000 คน และแรงงานอพยพจากเอเชียกลางลดลงจากความหวาดกลัวการเหยียดเชื้อชาติ
การพึ่งพาจีน อินเดีย แม้รัสเซียขายน้ำมันและก๊าซให้สองประเทศนี้ แต่การคว่ำบาตรใหม่ ๆ เริ่มส่งผลต่อรายได้
มรดกและความท้าทายในอนาคต
หลังครองอำนาจยาวนานกว่า 25 ปี ปูตินถูกจัดอันดับให้เป็นผู้นำรัสเซียที่อยู่ตำแหน่งนานที่สุดนับตั้งแต่โจเซฟ สตาลิน แม้ชาวรัสเซียส่วนหนึ่งยังสนับสนุนเขา แต่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและผลกระทบจากสงครามเริ่มทำให้ความนิยมสั่นคลาย
ผู้สังเกตการณ์หลายคนเปรียบเทียบรัสเซียยุคปูตินกับสหภาพโซเวียตช่วงปลาย ที่เผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ การแยกตัวจากโลก และความเสี่ยงการปฏิวัติ แม้ปูตินประกาศในสุนทรพจน์ปี 2025 ว่า "รัสเซียจะรุ่งโรจน์" แต่หลายฝ่ายตั้งคำถามว่าเขาจะจัดการกับปัญหาสะสมอย่างไร ในเมื่อกลไกหลักคือการเพิ่มการปราบปรามและพึ่งพาเชื้อเพลิงแห่งชาตินิยม
สรุป วลาดีมีร์ ปูติน คือสัญลักษณ์ของรัสเซียสมัยใหม่ที่ผสมผสานระหว่างความทะเยอทะยานทางกับระบบอำนาจนิยม แม้เขาจะพลิกฟื้นเศรษฐกิจและคืนศักดิ์ศรีให้รัสเซียในสายตาประชาชนบางส่วน แต่สงครามและวิกฤตภายในอาจกลายเป็นมรดกที่ท้าทายสำหรับผู้สืบทอดอำนาจในอนาคต
อ้างอิงจาก: google.com และ CNN







