14 พฤศจิกายน 2457 : ก้าวแรกแห่ง "การประปาในสยาม" – น้ำสะอาดสู่นครหลวง
ย้อนกลับไปกว่า 110 ปี ในวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2457 เป็นวันประวัติศาสตร์ที่ชาวกรุงเทพฯ ได้สัมผัสกับ "การประปา" เป็นครั้งแรก หลังจากที่คนไทยในอดีตพึ่งพาน้ำจากแม่น้ำลำคลองในการดื่มใช้มาตลอด แม้แต่ในพระบรมมหาราชวัง ก็ยังเสวยน้ำที่ตักมาจากแม่น้ำเพชรบุรี ที่ไหลจากต้นน้ำในภูเขา จนได้รับการยกย่องว่าสะอาดและ "อร่อย" ที่สุด
แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ความเจริญเติบโตของบ้านเรือนตามริมฝั่งแม่น้ำเพชรบุรีก็นำมาซึ่งปฏิกูลที่ปนเปื้อนในสายน้ำ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงมีดำริให้ปรับเปลี่ยนแหล่งน้ำเสวย โดยทรงสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยจัดน้ำสะอาดเพื่อใช้ในพระราชวัง และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ก่อให้เกิดโครงการ "การประปา" ขึ้นในสยาม
หลังจากเสด็จประพาสยุโรปถึงสองครั้ง พระองค์ได้ทรงพบเห็นระบบประปาทันสมัยในเมืองใหญ่ของยุโรป ซึ่งมีน้ำสะอาดส่งผ่านระบบท่อถึงบ้านเรือนของประชาชน จึงมีพระราชดำริว่ากรุงเทพฯ ควรมีน้ำสะอาดสำหรับใช้ดื่มและใช้สอยอย่างทั่วถึง ด้วยความวิสัยทัศน์อันก้าวไกลนี้ พระองค์ได้ว่าจ้างนายเดอลาม โฮเตียร์ วิศวกรชาวฝรั่งเศสผู้เชี่ยวชาญด้านประปา มาวางแผนสร้างระบบประปาสำหรับกรุงเทพฯ และในปี พ.ศ. 2452 "การประปาสยาม" ก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
ตามพระราชดำริ ได้มีการกำหนดแนวทางเพื่อให้การประปาสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการสร้างที่ขังน้ำบริเวณคลองเชียงราก จังหวัดปทุมธานี ที่อยู่เหนือเขตน้ำเค็ม การขุดคลองเชื่อมจากอ่างเก็บน้ำสู่คลองสามเสน การตั้งโรงสูบน้ำ และการสร้างโรงกรองน้ำ ณ ตำบลสามเสน เพื่อนำน้ำมาผ่านกระบวนการกรอง ตกตะกอน และฆ่าเชื้อโรคให้บริสุทธิ์ ก่อนส่งต่อไปยังท่อเหล็กที่เชื่อมโยงตามถนนและเขตพระนคร ค่าใช้จ่ายของโครงการนี้สูงถึง 4,308,221 บาท 81 สตางค์ ในเวลานั้น และใช้เวลาสร้างกว่า 5 ปี ก่อนจะเปิดใช้งานได้สำเร็จ
จนกระทั่งในวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2457 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดกิจการประปาอย่างเป็นทางการในพระนคร ประกาศให้คนไทยทุกคนได้มีน้ำสะอาดดื่มและใช้ เป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรืองที่เริ่มต้นจากพระราชดำริของพระองค์ อันนำมาซึ่งสุขภาพที่ดีขึ้นของชาวกรุงเทพฯ
การประปากรุงเทพฯ ในวันนั้นจึงถือเป็นก้าวย่างสำคัญในการพัฒนาสุขาภิบาลและสาธารณูปโภคในประเทศไทย ซึ่งส่งต่อคุณค่าอันยิ่งใหญ่มาสู่รุ่นลูกหลาน และกลายเป็นมรดกที่ยังคงอยู่คู่กับกรุงเทพฯ มาจนถึงปัจจุบัน