กรุงเทพเมืองซอมบี้ตอนที่ 1. จุดเริ่มต้นหายนะ
ตอนที่1.จุดเริ่มต้นแห่งหายนะ
ภายในอันมืดสนิทไร้ซึ่งแสงสว่าง ประตูหน้าต่างถูกปิดตายด้วยตู้และโต๊ะเขียนหนังสือ บนที่นอนมีร่างของเด็กหญิงวัย13ปี นั่งขดตัวคุดคู้เนื้อตัวสั่นเทาอยู่บนที่นอน ตามตัวของเธอเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดที่ยังไม่แห้งสนิท มือซ้ายของเธอกำมีดทำครัวขนาดยาวที่เลอะคราบเลือด
เด็กหญิงสอดส่ายสายตาไปมารอบๆ ห้อง ก่อนจะจับจ้องไปที่ประตูด้วยความหวาดผวา ด้านนอกมีเสียงดังสนั่นของระเบิด เสียงรถชนกันไปมาบนท้องถนน ปะปนกับเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังก้องไปกับเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมาน....
"ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย ได้โปรด" เด็กหญิงเปล่งเสียงออกมาเบาๆ จากลำคอด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง
วันเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ และทรมาน สติของเด็กหญิงค่อยๆ เลือนรางลงเรื่อยๆ พร้อมกับพลังชีวิตที่ค่อยๆ หดลงอย่างช้าๆ ความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจ ค่อยๆ กลืนกินเธอไปสู่ห้วงแห่งความสิ้นหวังโดยที่ไม่มีใครช่วยเธอได้
เด็กหญิงพยายามรวบรวมสติเท่าที่มีเพื่อนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น และถามตัวเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันคืออะไร.....
"ถ้าจำไม่ผิดวันนั้นคือวันที่ 14 กุมภาพันธ์เป็นวันวาเลนไทน์ วันนั้นเราเตรียมดอกกุหลาบที่ซื้อมาจากปากคลองคลาด เพื่อจะเอาไปให้พี่เอ็มรุ่นพี่ที่เราแอบชอบ" เด็กหญิงยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากเมื่อนึกถึงใบหน้ารุ่นพี่สุดหล่อที่ตนเคยแอบชอบ
"แม่คะวันนี้หนูกลับเย็นหน่อยนะ พอดีมีนัดกับหน่อยไปติววิชาสังคมที่บ้าน" ฉันโกหกแม่ก่อนจะออกจากบ้าน เพราะวันนี้ฉันมีนัดกับพี่เอ็มหลังจากให้ดอกไม้พี่เขา
"อย่าให้รู้นะว่าโกหก" แม่ของฉันพูดด้วยแววตาดุๆ ระหว่างชงกาแฟให้พ่อ
“ไม่โกหกหรอก ไม่เชื่อโทรไปถามหน่อยก็ได้” ฉันรู้ดีว่าแม่ต้องไม่ไว้ใจเลยสั่งหน่อยเอาไว้เรียบร้อย
"แค่ก ๆ ๆ " เสียงไอของพ่อดังมาจากชั้นสองของบ้านระหว่างที่ฉันกำลังทานอาหารเช้า พ่อของฉันเป็นพนักงานบริษัทวัยกลางคน ท่านเดินลงมาพร้อมกับน้องชายที่โต๊ะอาหาร
"ไหวไหมพ่อ วันนี้ขอหยุดคงไม่เป็นอะไรหรอกแม่ว่า" แม่พูดกับพ่อระหว่างส่งกาแฟพร้อมอาหารเช้าด้วยน้ำเสียงห่วงใจ
"ไม่ได้วันนี้มีประชุมสำคัญ แค่ก แค่ก " พ่อพูดไปไอไปตลอดเวลา
หน้าของท่านซีดเผือกเหงื่อออกเต็มหน้า เป็นฉันละก็จะขอหยุดนอนเล่นโทรศัพท์ในห้องไปแล้ว ไม่ซิวันนี้วันสำคัญต่อให้ไม่สบายแค่ไหนก็ต้องไป
"ตัวเย็นเฉียบเลย ถ้าเป็นไข้ก็น่าจะตัวร้อน" แม่จับหน้าผากของพ่อพูดขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
"พ่อสบายดีไม่ได้ป่วยเป็นโคหวิดหรอกแค่หวัดธรรมดาแม่ไม่ต้องเป็นห่วง" พ่อยิ้มให้แม่เพื่อให้ท่านสบายใจ “ถ้าเป็นโคหวิดป่านี้คงไอกันทั้งบ้านไปแล้ว”
“จริงของคุณ” แม่รับคำด้วยท่าทางไม่สบายใจ
"อิ่มแล้วคะ หนูไปโรงเรียนก่อนนะคะ" ฉันรีบทานอาหารเช้าและหาจังหวะไปหยิบดอกกุหลาบที่ซ่อนเอาไว้ในตู้เย็นที่ช่องผัก ตอนที่แม่กำลังคุยกับพ่อเรื่องอาการป่วยของท่าน
"รอน้องด้วย แล้วก็อย่าลืมผ้าปิดปาก" แม่พูดเสียงดุใส่ฉัน
"เร็วๆ " ฉันทำหน้าดุใส่เจ้าน้องชายตัวดีที่หันมามองทางฉันเมื่อตอนที่แม่เผลอ
“แม่พี่มีดอกกุหลา....” ฉันรับปิดปากน้องชายและลากมันออกจากบ้านก่อนที่มันจะฟ้องแม่เพราะเห็นดอกกุหลาบของฉัน
“ถ้าแกฟ้องแม่ฉันก็จะบอกว่าแกซ่อนหนังสือโป๊ใต้เตียง” ฉันขู่เจ้าน้องชายตัวดีจนมันไม่ไปฟ้องแม่
ฉันกับน้องชายออกจากบ้านไปพร้อมกัน เพราะโรงเรียนของเรานั้นอยู่ไม่ไกลจากบ้าน สามารถเดินไปกลับได้โดยที่ไม่ต้องใช้รถสาธารณะ
"ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด ระหว่างทางไปโรงเรียน มันมีสิ่งผิดปกติอยู่ด้วย ฉันจำสิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้นได้" เด็กหญิงพยายามนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้นว่ามีสิ่งผิดปกติอะไรบ้าง
ป้าแม้นที่ขายปลาท่องโก๋ไอไปทอดปลาท่องโก๋ไปตลอดเวลา ดีที่แกใส่ผ้าปิดปากตอนไอแต่ขนาดคนที่มาซื้อก็ไอเหมือนกัน ลุงสมหมายนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไปไอไปอยู่ที่หน้าบ้านของตัวเอง แล้วก็ยังมีพี่กิ่งที่ไอระหว่างซ้อนรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างออกไปหน้าปากซอย แทบจะทุกคนที่ฉันเห็นทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักต่างไอออกมา จะมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร และแน่นอนว่าถ้าใครไอคนๆ นั้นจะถูกรังเกลียดทันที แต่นี่เล่นไอกันเกือบทุกคนจนไม่รู้ว่าจะหลบไปทางไหน แต่ก็โชคดีที่ทุกคนใส่ผ้าปิดปากกัน
นั่นซินะที่เรียกว่าสิ่งผิดปกติ...
เมื่อมาถึงโรงเรียนฉันกับน้องชายก็แยกกันไปที่ห้องเรียนของตน และที่นี่ก็ไม่ต่างจากตลาดหรือระหว่างทางที่ฉันผ่านมา ทุกคนกว่าครึ่งในโรงเรียนไออย่างรุนแรง และหลายคนในห้องเรียนก็ขาดเรียนในวันนี้เพราะอาการป่วย
"นี่แกได้ข่าวรึยัง" หน่อยเพื่อนสาวใส่แว่นเดินมาหาฉันที่โต๊ะเรียน เธอดูปกติเหมือนกับฉัน และแน่นอนว่าเพื่อกันเอาไว้ทุกคนในห้องต่างก็ใส่ผ้าปิดปาก
"ข่าวอะไร" ฉันถามหน่อยแต่สายตาของฉันจับจ้องไปที่เพื่อนๆ ที่กำลังไอ จนเสียงไอของทุกคนดังกลบเสียงของหน่อยที่คุยกับฉันไปเลย
"วันนี้พี่เอ็มไม่มาโรงเรียน ได้ข่าวว่าไม่สบายไอจนลุกไม่ขึ้นอยู่ที่บ้าน" หน่อยบอกข่าวสะเทือนใจกับฉัน
"ทั้งที่พี่เขาเป็นถึงนักกีฬาโรงเรียนแต่กลับเป็นหวัด ฉันรอวันนี้มาแทบแย่ขนาดลงทุนซื้อดอกกุหลาบมาล่วงหน้าเอาไปซ่อนแม่ไม่ให้รู้เพื่อมาให้พี่เขาแท้ๆ เลยเชียว" ฉันบ่นออกมาดังๆ ด้วยความไม่พอใจ
"นี่แก แกว่ามันผิดปกติอะไรไหม" หน่อยพูดด้วยสีหน้าไม่สบายใจ เมื่อเห็นเพื่อนๆ ในห้องแต่ละคนไอตลอดเวลา หลายคนหน้าซีดอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่เพื่อนบางคนนอนพุบไออยู่ที่โต๊ะของตัวเอง
“ในข่าวบอกว่าไม่ใช่โคหวิดแต่อาจจะเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา” ฉันอ่านข่าวในมือถือที่ตอนนี้ในเฟสบุ๊คก็มีแต่คนพูดถึงเรื่องอาการป่วยกันเต็มหน้าเฟสบุ๊ค "งั้นแบบนี้ยาแกไอคงขายดีแน่ๆ " ฉันพยายามเล่นมุกตลกแต่หน่อยดูจะไม่ขำเลยเธอมีท่าทางกังวลจนเห็นได้ชัด
“ถ้าเป็นโรคใหม่ที่ร้ายกว่าโคหวิดละ” หน่อยเกาะแขนฉัน ในห้องเรียนมีฉันกับเพื่อนไม่กี่คนที่ไม่เป็นอะไร
"คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง" ถึงจะพูดแบบนั้นออกไป แต่ฉันเองก็เริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมานิดๆ เหมือนกันในตอนนั้น
เวลา 8.15นาที
เมื่อถึงเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติ ทางอาจารย์ปกครองก็ประกาศทางเสียงตามสายว่า "วันนี้โรงเรียนขอหยุดการเรียนการสอนลงชั่วคราว เพราะนักเรียนส่วนมากเป็นโรคประหลาด ซึ่งตอนนี้ทางสาธารณะสุขทั่วประเทศกำลังหาที่มาที่ไปของโรคนี้อยู่ ใครที่ทราบว่าตนเองนั้นไออย่างรุนแรง ให้กลับบ้านไปหาผู้ปกครองและซื้อยาแก้ไอมาทาน และคอยฟังข่าวทางทีวีเป็นระยะๆ ส่วนคนที่ไม่เป็นอะไรก็ให้ระวังตัวโดยการสวมหน้ากากกันเอาไว้ ประกาศอีกครั้ง" เสียงตามสายประกาศซ้ำไปซ้ำมาจนนักเรียนทุกคนกลับไปที่ห้องของตนเพื่อเอากระเป๋าเดินทางกลับบ้าน
"ถึงบ้านแล้วโทรหานะ" ฉันบอกกับหน่อยก่อนจะแยกย้ายกันไป
ฉันยืนรอน้องชายที่หน้าประตูโรงเรียนเพื่อกลับบ้านพร้อมกัน ระหว่างยืนรอฉันก็เห็นเพื่อนๆ หลายคนมีผู้ปกครองขับรถมารับ หลายคนเดินแทบจะไม่ไหวแต่ก็ทนเดินไปไอไป และหลายคนก็ถูกส่งตัวขึ้นรถของอาจารย์ไปส่งที่โรงพยาบาลเพราะเป็นลมหมดสติ ตอนนั้นฉันเริ่มเป็นห่วงน้องชาย จึงเดินมาหาเขาที่ห้องบนอาคารเรียนของเด็กประถม เมื่อมาถึงห้องเรียนของน้องชาย ฉันก็เห็นน้องชายกำลังนั่งคอตกหน้าซีดไอตลอดเวลาที่โต๊ะเรียนของตัวเอง
"พี่ผมคอแห้งจัง แค่ก แค่ก" น้องชายของฉันพูดไปไอไปเหมือนคนอื่นๆ เขาดูไม่มีเรี่ยวแรงจนฉันต้องพยุงเขาเดินกลับบ้าน ทั้งที่เมื่อตอนเช้าน้องชายของฉันยังดูแข็งแรงอยู่เลย
ฉันพยุงน้องชายเดินกลับบ้านระหว่างทางเดินกลับที่ตลาดนั้นแทบจะไม่มีผู้คนเหลืออยู่เลย ร้านรวงที่เคยเปิดผู้คนที่เคยเดินตอนนี้หายไปจนหมด เพราะอาการป่วยที่ค่อยๆ รุนแรงขึ้นจึงทำให้ผู้คนต่างพากันทำงานไม่ไหว
เสียงรถพยาบาลวิ่งไปมาคนที่ไม่เป็นอะไรต่างก็ยืนงงว่าเกิดอะไรขึ้น ระหว่างพยุงน้องชายฉันก็เช็คข่าวสารต่างๆ ในโซเชียลแต่ก็ไม่มีข่าวอะไรที่น่าสนใจ แม้แต่ข่าวอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลก็ยังไม่มีอะไรรายงานนอกจากให้เรากลับบ้านสวมหน้าและอยู่ห่างจากผู้ที่ติดเชื้อ เราสองคนพี่น้องค่อยๆ เดินจนมาถึงบ้านในที่สุด
“ทุกท่านอย่างแตกตื่นสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ใช่เชื้อไวรัสโคหวิด เป็นเพียงโรคหวัดที่เรายังไม่ทราบสาเหตุที่มาของโรค แต่เราทราบตอนนี้คือโรคนี้ไม่ติดต่อกันเหมือนโรคหวัด ดังนั้นท่านที่ร่างกายแข็งแรงโปรดช่วยเหลือคนที่ไม่ป่วย และคอยติดตามข่าวสารจากรัฐบาล” ฉันดูถ่ายทอดสดในโทรศัพท์เมื่อนายกออกมารายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
"แม่น้องไม่สบาย" ฉันตะโกนเรียกแม่ให้มาดูน้องชายที่ตอนนี้เขาแทบจะเดินไม่ไหวแล้ว
"แบบนี้ต้องไปโรงพยาบาล" แม่ที่เห็นอาการน้องชายที่ไม่ค่อยสู้ดีจึงไปโรงพยาบาลพร้อมกับฉันด้วยรถแท็กซี่ แต่กว่าจะโบกหารถได้ก็ใช้เวลานานเลย
“ไปโรงพยาบาล” แม่ฉันบอกกับคนขับที่แม้กระทั่งลุงคนขับแท็กซี่เองก็ไอแบบเดียวกับคนอื่นๆ แต่เขากลับดูแข็งแรงและไม่เป็นหนักเท่าของน้องชายฉัน
“วันนี้ผมขับส่งคนไปโรงพยาบาลเยอะมากๆ” ลุงคนขับแท็กซี่พูดกับฉัน
“ลุงไม่ก็ไอไม่ใช่หรอคะ” ฉันถามลุงคนขับแท็กซี่
“อ๋อของลุงไม่สบายไอมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่เกี่ยวกับโรคนี้หรอก” ลุงคนขับแท็กซี่บอก
เมื่อมาถึงที่โรงพยาบาลเราก็พบคนป่วยมากมายที่มีอาการแบบเดียวกัน หลายนอนรอการช่วยเหลือจนล้นออกมานอกโรงพยาบาล ทุกคนมีอาการหนักกันทั้งนั้นจนทางโรงพยาบาลต้องจัดเตียงและที่นอนเอาไว้นอกโรงพยาบาล และไม่ว่าเราจะไปที่โรงพยาบาลไหนก็มีคนป่วยด้วยโรคนี้เต็มไปหมด จนเรายอมแพ้และพาน้องชายกลับบ้านในที่สุด
พอมาถึงที่บ้านฉันก็เห็นพ่อที่กลับมาจากที่ทำงานนอนไออยู่ในห้องรับแขกที่โซฟา สภาพของพ่อและน้องชายของฉันไออยู่ตลอดเวลา เนื้อตัวของพวกเขาซีดเผือกตาโหลขอบตาคล้ำและมีเหงื่อไหลออกมาเยอะมากจนแม่คอยดูแลคนทั้งสองที่ห้องรับแขกด้วยความเป็นห่วง
ฉันในตอนนั้นที่เหนื่อยกับการเดินทางเพื่อหาโรงพยาบาลกับแม่ ก็แอบขึ้นมาที่ห้องของตัวเองที่ชั้นสอง ฉันเปิดคอมตัวเองก่อนจะโทรหาหน่อยตามที่นัดกันเอาไว้
"ที่บ้านแกไม่มีใครป่วยเลยหรอ ดีจัง ของฉันพ่อกับน้องป่วยไปทุกโรงพยาบาลก็มีแต่คนป่วย" ฉันนั่งตะไบเล็บเท้าไปคุยโทรศัพท์ไป ในอินเตอร์เน็ตก็รายงานเกี่ยวกับโรคประหลาดนี้อย่างต่อเนื่อง ตอนนี้มีแต่คนแชร์การถ่ายทอดสดของรัฐบาลแต่ฉันเองไม่ค่อยสนใจฟังเท่าไหร่นัก เพราะฉันคิดว่าไม่นานเรื่องราวต่างๆ ก็คงจะจบลงและกลับมาเป็นปกติได้ในเร็ววัน
"กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด" จู่ๆ ที่ด้านล่างฉันก็ได้ยินเสียงร้องของแม่ดังขึ้นมา
"แกแค่นี้ก่อนนะ สงสัยแม่ฉันจะเจอหนูในครัวอีกแน่ๆ ร้องออกมาเสียงดังแบบนี้ อืมเดี๋ยวโทรมาใหม่แค่นี้นะบาย" ฉันวางสายจากหน่อยก่อนจะเดินลงมาที่ชั้นล่าง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่ของฉันร้องเสียงหลงแบบนี้ เพราะท่านมักจะร้องแบบนี้เสมอเวลาหนูในครัวซึ่งก็เป็นฉันที่ต้องไปจัดการ
"แม่เจอหนูอีกแล้วหรอ" เมื่อลงมาชั้นล่างฉันก็ถามหาแม่แต่ไม่พบท่านที่ห้องครัว ฉันจึงไปหาท่านที่ห้องรับแขกที่น้องชายกับพ่ออยู่ ตอนนั้นฉันไม่ได้ยินเสียงไอของทั้งสองคนแล้ว จึงคิดว่าทั้งคู่คงจะหลับไปแล้วแน่ๆ
แต่ฉันคิดผิด.....
เมื่อเดินมาถึงห้องรับแขกฉันเห็นน้ำสีแดงคล้ายเลือดบนพื้นที่ไหลออกมาจากห้องรับแขก ตอนนั้นฉันรู้สึกงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่คิดว่าสีแดงตรงนั้นจะเลือดเพราะคิดว่าแม่คงจะทำน้ำแดงหก
ใครจะไปคิดในเรื่องเลวร้ายสุดๆ กัน ชีวิตจริงคงไม่มีใครมาฆ่าคนในห้องรับแขกจนเลือดไหลนองพื้นหรอก
"แม่มันเกิดอะไรขึ้น....!!!! กรี๊ดดดดดดดดดด!!!! " ฉันร้องออกมาสุดเสียงด้วยความตกใจสุดขีด
ภาพที่ฉันเห็นตรงหน้าคือภาพของพ่อและน้องชายของฉัน กำลังเอามือควักไส้พุงของแม่ที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นขึ้นมากินอย่างหิวโหย สภาพของแม่นั้นดวงตาเบิกโผลงค้างด้วยความเจ็บปวดและตกใจ แขนและขายังคงกระตุกชักเบาๆ เพราะยังไม่ตายสนิท
สภาพน้องชายและพ่อรุมกินเครื่องในแม่เหมือนตายอดตายอยากมานานแสนนาน เนื้อตัวของคนทั้งสองเต็มไปด้วยเลือดของแม่ ทั้งคู่ไม่มีสติที่จะรับรู้ว่าตนเองนั้นได้ทำร้ายคนที่ตนรักไปแล้ว ทั้งคู่ทั้งควักทั้งกัดทั้งกินร่างของแม่อยู่ตรงนั้น จนกระทั่งทั้งสองคนหันมาเห็นฉันที่ร้องออกมาเมื่อพบแม่
"ก๊ากกกก ก๊ากกกก!!!! " เมื่อทั้งคู่เห็นฉันทั้งสองก็ร้องออกมาเสียงดังจนแสบแก้วหู ก่อนจะวิ่งตรงดิ่งมาหาฉันด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดดวงตาขาวขุ่นใบหน้าเต็มไปด้วยเส้นเลือดปูกโปนดูหน้ากลัวมากๆ
"อย่านะ!!!! " ฉันวิ่งหนีเข้าไปในครัวด้วยความตกใจ เมื่อเห็นพ่อที่สภาพเปื้อนไปด้วยเลือด วิ่งตรงดิ่งมาหาฉันโดยที่ไม่มีสติรับรู้เลยว่าฉันคือลูกสาวของเขา
“ก๊ากกกก ก๊ากกกก” พ่อวิ่งตรงมาหาฉัน ท่าวิ่งของแกนั้นไม่เหมือนมนุษย์วิ่งทั่วไป เพราะเขายื่นหน้าพุ่งเข้ามาแต่มือทั้งสองข้างกลับห้อยอยู่ข้างตัว เหมือนต้องการจะกินฉันให้เร็วที่สุดจนหน้ายื่นมาก่อนมือยังไงอย่างนั้น
ฉันที่วิ่งเข้าไปในครัวไม่มีทางสู้และตกใจสุดขีด จึงคว้ามีดอีโต้ที่วางอยู่บนเขียง จามหัวพ่อของฉันจนเป็นแผลลึกเข้าไปในกะโหลกโดยไม่รู้ตัว
พ่อของฉันล้มทั้งยืน เลือดพุ่งจากบาดแผลกระเซ็นมาเต็มตัวของฉันที่ยืนช็อคทำอะไรไม่ถูก พ่อชักกระตุกไปมาบนพื้นก่อนจนนอนสิ้นสติจมกองเลือดแทบเท้าของฉัน วินาทีถัดมาเมื่อได้สติฉันพยายามจะไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นที่นอกบ้าน เมื่อวิ่งมาถึงประตูน้องชายที่บ้าคลั่งแบบพ่อก็กระโดดมาเกาะที่ด้านหลังของฉัน
เพราะมัวแต่รีบร้อนตกใจจนลืมน้องชายตัวเองไปเลย
“ก๊ากกกกก ก๊ากกกกก” เจ้าน้องชายกัดฉันที่ไหล่ซ้ายเป็นแผลแหวะ
ฉันใช้แรงที่มีสะบัดมันจนหลุดก่อนจะวิ่งกลับไปในครัวโดยที่มีน้องชายวิ่งตามมา
“นี่มันอะไรว่ะ” ฉันอุทานออกมาดังๆ ก่อนจะใช้มีดปลายแหลมแทงเข้าดวงตาขวาทะลุไปถึงกะโหลกด้านหลัง จนน้องชายนอนชักกระตุกเมื่อฉันดึงมีดออกมาจากหัวของเขา
ฉันหนีตายออกมาที่นอกบ้านได้สำเร็จ และพยายามขอความช่วยเหลือจากคนข้างนอก แต่สิ่งที่ฉันเห็นข้างนอกกลับกลายเป็นนรกไม่แพ้ข้างในบ้านเลยแม้แต่น้อย ที่บ้านฝั่งตรงข้ามฉันเห็นพี่กริชกำลังกินหมาที่ตนเลี้ยงเอาไว้อย่างหิวโหย ขณะที่บนถนนฉันเห็นรถไฟไหม้มีศพถูกเผาทั้งเป็นอยู่ในนั้น และมีศพคนตายนอนร่างขาดสองท่อนอยู่กลางถนนเพราะถูกรถชน ฉันได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังออกมาที่บ้านข้างๆ และมีเสียงระเบิดดังเป็นช่วงๆ ไกลออกไปที่ถนน
ตอนนั้นเองฉันเห็นไก่เพื่อนรุ่นน้องวิ่งอยู่บนถนนผ่านหน้าฉันไปในสภาพเปื้อนเลือดไปทั้งตัว เขามองมาทางฉันด้วยสีหน้าตกใจและหวาดกลัวไม่แพ้ฉัน ก่อนที่เขาจะถูกใครคนหนึ่งที่ไม่รู้จักวิ่งออกมาจากบ้านหลังข้างๆ มาคว้าตัวเอาไว้ และกัดที่คอของไก่จนเลือดพุ่งกระฉูด ไก่พยายามดิ้นรนขัดขืน ก่อนจะถูกใครอีกหลายคนที่ฉันทั้งรู้จักและไม่รู้จักมารุมกัดกินร่างเขาอย่างหิวโหย
"!!!!!!! " ฉันที่ตกใจสุดขีดทำอะไรไม่ถูกนอกจากวิ่งกลับเข้ามาในบ้านและขึ้นไปบนห้องล็อคประตูปิดผ่านม่าน เอาโต๊ะและตู้มาขวางประตูเพื่อกันสิ่งที่อยู่นอกห้องมาทำร้าย
ฉันพยายามใช้โทรศัพท์ติดต่อขอความช่วยเหลือ แต่ก็ไม่สามารถติดต่อใครได้เลยแม้แต่คนเดียว ในโซเชียลตอนนี้ไม่มีใครโพสอะไรเลย ทุกอย่างมีแต่ความเงียบงัน ไม่นานจากนั้นไฟฟ้าก็ดับลงและทุกอย่างก็อยู่ในความมืด แต่เสียงโหยหวงเสียงร้องขอความช่วยเหลือและเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดกับเสียงระเบิดยังคงดังอยู่ไม่ขาดสาย
ฉันนั่งขดตัวอยู่ในความมืดนับตั้งแต่นั้นจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว "ใครก็ได้ช่วยด้วย" ฉันร้องขอความช่วยเหลือเมื่อตอนที่ยังมีแรงและสติ แต่ก็ไม่ใครมาช่วยเหลือแม้แต่คนเดียว
นั่นคือจุดเริ่มและจุดจบเท่าที่ฉันคิดออก แม้แต่ตอนนี้ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ไม่ซิมันเกิดอะไรขึ้นกับทุกคนบนโลกกันแน่ สติของฉันเริ่มเลือนรางลงเรื่อยๆ ฉันเริ่มไอออกมาเบาๆ เป็นระยะ ภาพตรงหน้าเริ่มหมุนไปมาจนฉันเวียนหัว ไม่นานฉันก็คงจะต้องตายหรือไม่ก็เป็นแบบเดียวกับคนพวกนั้น
"ใครก็ได้ช่วยด้วย ฉันอยู่ในนี้ ฉันอยู่ที่นี่ ที่ห้องปิดตายในนี้....ช่วยด้วย..." นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่เธอเอ่ยออกมา ก่อนสติสุดท้ายของเธอจะดับไปในที่สุด....พร้อมกับคำถามที่ค้างคาใจของเธอว่า
"มันเกิดอะไรขึ้น...? "
จบตอนที่ 1