มาปิงกัวรี่: อสูรกายขนดกแห่งอะเมซอน
ป่าดงดิบอะเมซอน ป่าดิบชิ้นขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้และในโลก เป็นปอดของโลกและผลิตอ็อกซิเจนให้กับโลกถึง 40% ซ้ำยังมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และชนพื้นเมืองอเมริกันก็มีอยู่หลายกลุ่มมากมาย แต่ทุกเผ่าต่างล้วนเล่าถึงสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง ขนดก ตัวสีแดง สูงใหญ่และน่ากลัว มันจะทำร้ายคนหรือสัตว์ที่พากันมาทำลายหมายคุกคามป่าดงดิบของมัน ถ้าพร้อมแล้วไปฟังกันเลย
มาปิงกัวรี่ (Mapinguari) เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่สูงถึง 1.8-3 เมตร มีขนสีแดง น้ำตาลอมแดง หรือดำ มีดวงตาหนึ่งดวงบนหัว มีปากที่ท้องขนาดใหญ่ที่มีฟันแหลมคม มีเล็บแหลมคมมากมาย กลิ่นตัวเหม็นฉุนไม่น่าอภิรมย์ มาปิงกัวรี่กินทั้งพืชและสัตว์ หากมีมนุษย์หลงถิ่นเข้าไปหามัน มันจะจับมนุษย์ฉีกเป็นสองท่อนหรือจับยัดเข้าไปในปากใต้ท้อง อสูรกายตัวนี้มีชื่ออื่นๆ อีกด้วย ได้แก่ คิวบุนโก (Quibungo) คิดา ฮาราร่า (Kida Harara) เป็นต้น แต่บางชนเผ่าก็บอกว่ามันมีลักษณะคล้ายกับลิงไร้หางขนสีแดงขนาดใหญ่ ที่ไม่มีเล็บแหลมและส่งเสียงดังได้ไกลหลายกิโลเมตร
เรื่องราวของมาปิงกัวรี่ถูกบันทึกโดย ดร. เดวิด โอเรน (Dr. David Oren) นักปักษีวิทยาที่ผันตัวมาศึกษาการมีอยู่ของมาปิงกัวรี่ โดยเขาได้เดินทางไปยังป่าอะเมซอนของบราซิลในปี ค.ศ. 1999 และได้รับฟังเรื่องเราจากชนเผ่าคาริเตียน่า (Karitiana) และเมื่อได้ลองสืบค้นพวกเขาก็เจอรอยเท้าและอุจจาระของสิ่งมีชีวิตที่น่าจะเป็นมาปิงกัวรี่ เมื่อส่งเข้าสู่ห้องแล็บตรวจหา พวกเขาพบว่าสิ่งที่ได้มามาจากตัวกินมดยักษ์และตัวนิ่ม กระนั้นรายงานการเห็นก็ยังมีอยู่ ในปี ค.ศ. 2007 ลูกชายของหัวหน้าเผ่าคนหนึ่งจากเผ่าคาริเตียน่ากลุ่มหนึ่งได้อ้างว่า เขาได้เข้าป่าเพื่อล่าสัตว์ เขาได้พบสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่ที่เริ่มถล่มทำลายพุ่มไม้ส่งเสียงดังตรงมาทางเขา เขาเห็นว่ามันมีขนสีน้ำตาลแดงน่ากลัวมากแถมยังมีเสียงร้องที่ดัง เขาจึงรีบหลบหลังต้นไม้ก่อนจะออกตัววิ่งในทันที ทุกวันนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขาเห็นคือสัตว์อะไรกันแน่ จึงชื่อว่ามันคือมาปิงกัวรี่ในตำนานแน่ๆ
มีทษฏีถึงตัวจริงของสัตว์ชนิดนี้ นักสัตว์ลึกลับวิทยาเชื่อว่าสิ่งนี้คือสลอธยักษ์ดึกดำบรรพ์จำพวก เมกะโลนิกซ์ (Megalonyx) หรือ เมกะเธอเรี่ยม (Megatherium) ซึ่งเป็นสลอธขนาดใหญ่จากสมัย 1 ล้านปี - 10,000 ปีที่แล้ว พวกมันมีขนาดตัวใหญ่ ยาวถึง 3-6 เมตร หนัก 5 ตัน กินพืชเป็นอาหาร แต่มีนิสัยก้าวร้าว ผิวหนังแข็งหนา และมีต่อมกลิ่นตัวสำหรับประกาศอณาเขตที่หน้าอกหรือท้องเป็นกล้ามเนื้อสองแผ่น และจมูกขนาดใหญ่ที่ปลายปากก็ดูคล้ายลูกตาด้วย แถมยังมีเล็บแหลมใช้สำหรับถางพืชลงมากินและขุดดินอีกด้วย
และทฏษีนี้ก็ได้รับการยอมรับมากขึ้นมาอีก เมื่อมีการค้นพบโพรงดินดึกดำบรรพ์ที่แข็งตัวลงในปี ค.ศ. 2009 ที่ถูกขุดเจาะเข้าไปในสันเขาจนลึก มีรอยเล็บตามกำแพงขนาดใหญ่ จากการตรวจสอบอายุด้วยคาร์บอนไอโซโทป จึงมีการเชื่อว่ามันมีอายุถึง 11,000 ปีที่แล้ว ตรงกับที่มีมนุษย์เดินทางเข้ามายังอเมริกาใต้เพื่อตั้งถิ่นฐาน จึงทำให้คนคาดเดาว่ามาปิงกัวรี่คงจะเป็นภาพจำเลือนรางของบรรพบุรุษชนพื้นเมืองที่เดินทางมาและพบกับสลอธยักษ์เหล่านี้ พวกเขาเห็นความอันตรายของมันจึงสอนลูกหลานให้ระวังตัว และเมื่อสลอธยักษ์สูญพันธุ์ไปในที่สุด ก็ไม่มีการพบเจอเหลือแต่เป็นตำนานเล่าปากต่อปาก
ถึงแม้ทุกวันนี้มาปิงกัวรี่จะเป็นนิทาน แต่สำหรับชาวบราซิลแล้ว สัตว์ตัวนี้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตในตำนานที่น่าสนใจและดึงดูดเหล่านักวิจัยเข้ามา หากจะมีบทเรียนที่ได้จากเรื่องเหล่านี้ ก็คงจะเป็นความโฉดของมนุษย์ที่กอบโกยทรัพยากรด้วยความไม่รู้ พวกเขากลับคิดว่าการกระทำป่าเถื่อนทำลายชีวิตอื่นเพื่อประโยชน์ส่วนตนนั้นดี นั้นถูกต้อง ดังนั้นจึงมีอสูรกายขึ้นมาเตือนใจเราไม่ให้หลงผิดเป็นกุศโลบายนั่นเองว่าทุกตารางวาของป่ามีอสูรกายที่พิทักษ์ป่าอยู่
https://www.bbc.com/travel/article/20231127-brazils-mysterious-tunnels-made-by-giant-sloths
https://allthatsinteresting.com/mapinguari
https://skeptoid.com/episodes/4888