จงอ่านหนังสือเมื่อโชคไม่ดี
หนึ่งในหัวของหนังสือ จุดเปลี่ยนของชีวิต เกิดขึ้นเมื่อใจเราเคลื่อนไหว เขียนโดย คิมมีกย็อง อาจารย์และยูทูปเบอร์ แปลโดย วนิดา คราวเหมาะ
เหตุที่ดิฉันจะเขียนแชร์ เรื่องนี้ ก็เพราะอยากจะเป็นอีกหนึ่งกำลังใจ ให้ทุกคนได้ก้าวต่อไป จึงหยิบยกคำแปล ของคุณ วนิดา คราวเหมาะ ให้ทุกท่านได้เติมพลังใจกันค่ะ
ถ้าพร้อมแล้ว!! ไปอ่านกันได้เลยค่ะ
จงอ่านหนังสือเมื่อโชคไม่ดี
ใครๆ ก็คงเคยเผชิญทับช่วงเวลา
แห่งความอาภัพและล้มเหลวนับไม่ถ้วน
สิ่งที่เราเผชิญ บางครั้งคงมีตอนที่รู้สึกโชคร้ายมาก
จนอยากปล่อยให้ชีวิตหลุดลอยไป
ฉันเองก็เคยมีประสบการณ์ยากลําบาก
ตอนเผชิญวิกฤตการเงินในปี ค.ศ.1997
ฉันเพิ่งแต่งงานมาได้เพียงเจ็ดปี ต้องสูญเสียบ้านที่เพิ่งซื้อมา
และต้องย้ายไปต่างจังหวัดโดยไม่มีเงินในมือสักแดง
ฉันต้องอาศัยอยู่ด้วยความหวาดระแวง
ตอนนั้นฉันเพิ่งได้เข้าใจเป็นครั้งแรกว่า
มนุษย์เราคิดถึงความตายได้ ถ้าเงินทำให้เราจนตรอก
ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ยากลําบากแสนสาหัต
จนฉันเคยคิดไปแบบไม่รู้ตัวว่า
“ถ้าฉันหักพวงมาลัยตรงนี้ ฉันอาจพุ่งเข้าไปกลางเลน
แล้วตายได้แบบง่าย ๆ เลยนี่นา”
คุณทราบไหมว่าตอนนั้นฉันทำอย่างไร
ฉันกัดฟันแล้วอ่านหนังสือ
ฉันคิดแบบไม่หยุดยั้ง และเขียนหนังสือไปเป็นกังวลไป
หนังสือเล่มนั้นกลายเป็นหนังสือขายดี
ทำให้ฉันยืนขึ้นอย่างมุ่งมั่นได้อีกครั้ง
เรื่องแบบนี้เป็นไปได้อย่างไรน่ะหรือ
เพราะเราเชื่อว่าดวงเป็นหนึ่งในการแก้ไขช่วงเวลาที่โชคร้าย
และเป็นพละกำลังที่ทำให้เราจดจ่อว่าสิ่งนั้นมีคุณค่าที่สุด
ตอนอยู่ท่ามกลางความโชคร้าย
ความโชคร้ายของเราเป็นเหมือนกับทุกสิ่ง
และทำให้ง่ายต่อการตกเข้าไป
ในห้วงความเศร้าและความผิดหวัง
ซึ่งหมายความว่าเป็นสถานการณ์ที่ง่ายต่อการจดจ่อ
ดังนั้นตอนที่ใชคร้าย ต้องอ่านหนังสือ
หากเราเหนื่อยล้า แต่มีคนบอกให้อ่านหนังสือ
คงอยากจะบอกว่าบ้าหรือเปล่าใช่ไหมล่ะ
บางที่อาจโดนย้อนถามมาว่า
“ลถานการณ์แบบนี้ จะอ่านเข้าหัวได้หรือ”
แต่มนุษย์เรา ตอนที่โชคร้ายเป็นช่วงเวลาที่จดจ่อได้ดีที่สุด
แม้ว่าจะอ่านหนังสือเรื่องเดียวกันหนึ่งเล่ม
แต่เราจะได้รับข้อมูลต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงอ่านข้ามผ่านเรื่องเศร้าของคนอื่นไป
แบบไม่รู้สึกสำคัญและคิดแค่ว่าเป็นเรื่องกินใจ
แต่เมื่อเราตกอยู่ในความโชคร้ายเอง
เรากลับรับเอาอารมณ์เข้ามา
แล้วน้ำตาไหลนองราวกับเราเป็นคนนั้นเอง
ไม่ว่าจะอ่านหนังสือเล่มใดก็คิดว่าเหมือนกับเรื่องของเรา
ความคิดต่าง ๆประดังออกมาว่า “ถ้าเป็นฉัน ฉันจะทำแบบนี้”
เพราะความโชคร้ายเลยทำให้จิตใจอ่อนไหวของฉัน
ประสมกลมกลื่นเข้าด้วยกัน
เพราะฉันเคยดิ่งลงไปต่ำสุดมาแล้ว
ฉันถึงมีจิตใจที่ยินดี แม้จะคว้าสิ่งไม่มีประโยชน์มาไว้ก็ตาม
มีสิ่งไร้ประโยชน์จำนวนมากที่ฉันอยากคว้าจากในหนังสือ
ถ้าเป็นเมื่อก่อน คงมีความคิดแปลกใหม่
แบบจินตนาการไม่ถึงออกมาแน่
แล้วหลังจากนั้นเป็นอย่างไรน่ะหรือ
ฉันก็ได้พบกับเส้นทางใหม่จากในหนังสือ
ซึ่งฉันในเมื่อก่อนไม่เคยพบมาก่อน
นั่นทำให้ฉันประหลาดใจมากจนคิดว่า
“พรุ่นี้อ่านหนังสืออะไรดี”
แล้วฉันก็ตั้งใจอ่านหนังสือ
จนชีวิดของฉันที่อยู่ในสถานที่โชคร้าย
ก็ได้ย้ายไปในสถานที่แห่งการอ่านหนังสือ
แล้วอยู่ๆ ฉันก็เห็นแสงสว่างว่า “ฉันมีชีวิตดีอยู่นี่”
สุดท้ายก็ค่อยๆ ก้าวออกมา
จากช่วงเวลาแห่งความโชคร้ายได้ที่ละนิด
ฉันตั้งใจว่าจะลุกขึ้นอีกรอบ
โดยอาศัยไม้ค้ำถ่อแห่งความหวังของตัวเองที่ได้รับจากหนังสือ
ฉันอดทนและหลุดพ้นออกจาดช่วงเวลานั้นได้ตามลำดับ
จนท้ายที่สุดก็สะบัดออกไปได้
ดังนั้นฉันจึงพูดได้อย่างมั่นใจว่า
จงอ่านหนังสือ ในวันที่คุณเศร้า เหงา เหนื่อย และอยากร้องไห้
แม้ตอนนี้คุณจะยังไม่เข้าใจว่าฉันหมายถึงอะไร
แต่ถ้าเกิดความรู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
เป็นคราวเคราะห์ร้ายของชีวิต
จงหยิบหนังสือออกมาอ่านเสีย
หนังสือจะเป็นเหมือนเชือกป่านที่คอยดึงตัวคุณ
ให้เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันได้อีกครั้ง
สุดท้ายนี้ ขอฝากแนวคิดว่า ไม่ว่าจะเจอกับเรื่องราว “สมหวัง” หรือ “ผิดหวัง” ก็อย่าละทิ้ง “สติ” กันนะคะ
ป.ล. เพื่อนๆ สามารถติดตามกระทู้อื่นๆ ได้ตามลิงค์ข้างล่างเลยนะคะ
https://page.postjung.com/n00kky
อ้างอิงจาก: หนังสือ จุดเปลี่ยนของชีวิต เกิดขึ้นเมื่อใจเราเคลื่อนไหว เขียนโดย คิมมีกย็อง และแปลโดย วนิดา คราวเหมาะ