ปล่อย
ปล่อย
โดย อักษราลัย
“แม่ไม่ไหวแล้ว ปล่อยให้แม่ไปเถอะนะ” เสียงนั้นเว้าวอน น้ำเสียงแผ่วเบา มือซีดขาวเหี่ยวยับย่นที่อยู่ในอุ้งมือของผม เย็นเหมือนไร้เลือดสูบฉีด พูดจบแม่ก็หลับตาโดยไม่รอฟังคำตอบ อาการอ่อนล้าที่แสดงออกมา สื่อให้รู้ได้โดยไม่ต้องรอคำวินิจฉัยจากหมอคนไหน ก็รู้ได้ว่าเวลาของแม่เหลืออีกไม่นาน
คำพูดประโยคนั้นกรีดลึกเข้าไปในใจผมจนแหว่งวิ่นไม่มีชิ้นดี ‘ปล่อย’ คำสั้น ๆ ที่ยอมรับว่าผมจะไม่มีวันทำแบบนั้น
.
สิบปีที่แล้ว
ภาพนั้นเหมือนฉากหนังย้อนกลับ แต่คนที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ไม่ใช่แม่ ชายคนนั้นก็มีสีหน้าเจ็บปวดเหมือนแม่เช่นกัน ที่คอโดนปาดกรีดเป็นรอยตามแนวขวางช่วงหลอดลมเพื่อสวมท่อ ไม่มีคำพูดออกจากปากแตกระแหงริมฝีปากดำคล้ำนั้น มีเพียงแววตาที่เคยกร้าวแกร่งที่ตอนนี้ฉายแต่ความสิ้นหวัง แม่นั่งอยู่ข้างเตียงคนไข้ในห้องผู้ป่วย รอบ ๆ มีผู้ป่วยอาการไม่ต่างจากพ่ออีกห้าเตียง เสียงไอ โครก ๆ แห้ง ๆ ดังแข่งกันออกมาจากเตียงนั้นเตียงโน้น ทำให้ผมคิดว่าการนำผู้ป่วยที่มีอาการแบบเดียวกันมาอยู่รวมกันจะยิ่งทำให้สุขภาพจิตหดหู่ยิ่งขึ้นหรือไม่ แต่ก็เข้าใจได้ถึงระบบการรักษาพยาบาลที่หมอจะได้เข้ามาดูแลอาการได้ทีเดียว ไม่ต้องเดินวกไปวนมา เพราะภาระงานของหมอและพยาบาลก็ล้นมือมากอยู่แล้ว
แม่ประคองมือนั้นไว้ เหลือบสายตามองใบหน้าซูบนั้น เม้มปาก ไม่พูดอะไร เมื่อพ่อหลับตา แม่ค่อย ๆ ดึงมือออกจากการเกาะกุม ลุกขึ้นอย่างแผ่วเบา กระซิบบอกผมเบา ๆ
“ดูพ่อนะ แม่จะไปคุยกับหมอ”
ผมไม่รู้ว่าแม่ไปคุยอะไรกับหมอ รู้แต่ว่าแม่เดินไปไม่นานราวห้านาทีเท่านั้น หลังจากวันนั้นเพียงแค่สองวัน พ่อก็จากไปอย่างสงบ จริง ๆ แล้วพ่อจากไปอย่างสงบหรือไม่นั้นผมไม่รู้หรอก เพราะผมไม่ได้อยู่รับรู้การจากไปของพ่อ ผมกับแม่รู้ข่าวจากพยาบาลโทรศัพท์มาแจ้งข่าวว่าพ่อจากไปแล้วตอนเวลา ๐๔.๒๕ น. ในตอนเช้าวันนั้น ผมชะงักมือที่กำลังใส่รองเท้าผ้าใบ หันไปมองแม่เต็มตา แม่ยืนนิ่งอยู่พักใหญ่หลังรับโทรศัพท์ ก่อนจะค่อย ๆ ทรุดนั่งลงบนโซฟา เรียกผมเบา ๆ
“ต้น ... ไปเป็นเพื่อนแม่หน่อยนะ” น้ำเสียงของแม่แผ่วเบาราวกระซิบ ในความเงียบที่แม้เข็มตกลงพื้นก็คงได้ยิน ผมได้ยินคำนั้นอย่างชัดเจน ไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่พยักหน้ารับ พร้อมกับหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาเพื่อน เพื่อบอกเหตุผลของการขาดเรียน นักศึกษามหาวิทยาลัยปีสุดท้าย ที่มีตารางเรียนเหลือไม่มากนัก การไม่ไปมหาวิทยาลัยในวันนั้นจึงไม่ส่งผลอะไร
“ต้นจะบวชให้พ่อไหม?” แม่ถามระหว่างเรานั่งรถไปโรงพยาบาล ผมนิ่งครุ่นคิดโดยไม่ได้ตอบกลับ รู้ดีถึงการบวชหน้าไฟ เพื่อส่งผลบุญให้กับผู้ล่วงลับ และเพื่อแสดงความกตัญญู แต่ผมจะต้องกตัญญูให้กับคนที่ทำร้ายผมกับแม่เสมอมาไหม ยอมรับว่าการจากไปของพ่อทำให้ โล่งใจ มากกว่า เสียใจ ชีวิตของผมโตมากับแม่ ผมเห็นแต่ความเหนื่อยยากลำบากของแม่และผม การเป็นแม่ค้าขายขนมที่เริ่มต้นวันตั้งแต่ตีสองสำหรับลุกขึ้นมาจัดเตรียมของเพื่อขายในตอนเช้าตลอดหลายปีตั้งแต่ผมยังเด็ก จนเรียนถึงระดับมหาวิทยาลัย ไร้เงาของคนที่ผมเรียกว่า พ่อ มาช่วยแม้สักวัน ผมจะเห็นหน้าเขาตอนเย็นที่แม่กลับเข้าบ้านแล้วเขาตื่นฟื้นขึ้นมาจากอาการเมามาย เพื่อขอเงินแม่ไปดื่มกินให้เมามายเหมือนเดิม แม่เคยพูดกับผมเมื่อเห็นอาการฮึดฮัด
“ก็ยังดีเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ติดการพนัน ไม่อย่างนั้นหาเท่าไหร่จะพอ”
ผมไม่ได้บวชให้เขาหรอก หลังเสร็จงานก็ถึงกำหนดสอบพอดี ผมใช้ชีวิตแบบเดินหน้าต่อไปโดยไม่เคยหวนคิดถึงคนที่จากไปแม้สักเสี้ยวนาที ยอมรับว่าพอใจที่เหลือเพียงแค่เราสองคนโดยไม่มีคนที่คอยทำร้าย ตบตีเวลาเมากลับมาหรือตอนที่แม่ให้เงินไปไม่พอกับที่เขาต้องการ แต่แม่กลับซึมลงอย่างเห็นได้ชัด ความกระตือรือร้นในการทำของขายหดหายไป บางครั้งผมแอบเห็นแม่นั่งซึมตรงหน้าประตูเหมือนรอใครสักคน พร้อมกับถอนหายใจ โดยคิดว่าผมไม่เห็น
................................
ผมชะงักเท้าเมื่อถึงหน้าห้องหมอเจ้าของไข้ เคาะประตูเพื่อขออนุญาต
“เชิญครับ” เสียงหมอตอบรับ ผมผลักประตูบานนั้นเข้าไป ใจเต้นโครมคราม ค่อย ๆ หย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามหมอ ความรู้สึกหนาวจนสั่นสะท้าน เหลือบสายตามองอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศ ตัวเลข ๒๕ ที่ปรากฏไม่น่าทำให้หนาวได้
“ผมมาเรื่องอาการของคนไข้ชื่อ เพลินจิต ครับ”
หมอเคาะคีย์บอร์ดพิมพ์อะไรลงไปก๊อกแก๊ก จ้องไปที่หน้าจอนิ่งนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ ก่อนขยับแว่น พูดกับผมด้วยน้ำเสียงปกติสุภาพ แต่ฟังแล้วเย็นยะเยือกเข้าไปถึงหัวจิตหัวใจ
“คนไข้เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย หมอหมดสิ้นโปรแกรมการรักษา นอกจากพยุงไปตามอาการ”
“แม่มีเวลาอีกนานแค่ไหนครับหมอ” เสียงนั้นสั่นจนผมแปลกใจ
“ตอบไม่ได้แน่นอน อย่างต่ำคงประมาณเดือนนึงครับ”
‘เดือนหนึ่ง’ เวลาที่แสนสั้นขนาดนี้ ผมจะทำอย่างไรดี ไม่พร้อมสักนิดกับการต้องอยู่คนเดียว ตื่นเช้ามาคงไร้เงาและกลิ่นจาง ๆ จากขนมที่แม่ทำ อาหารในฝาชีพร้อมรอให้กิน คงไม่มีอีกต่อไป ความสำเร็จที่เคยมีแม่ร่วมยินดีต่อจากนี้ไปจะมีความหมายอะไร ผมร่ำร้องฟูมฟายหลายสิ่งอยู่ในอก ก่อนจะถามออกไป
“ถ้าเป็นหมอ จะทำยังไงครับ”
“ปล่อยท่านไป พากลับบ้าน เพื่อให้จากไปอย่างสงบในที่ของท่าน หมอจะจ่ายยาให้”
“แล้วถ้าผมอยากรักษาแม่ต่อ หมอช่วยได้ไหมครับ” หมอขยับแว่นมองหน้าผมนิ่งนาน มองหน้าจอที่เปิดค้างไว้ สลับกับหน้าผม การรอคำตอบครั้งนี้ยิ่งกว่ารอคำตัดสินประหาร
“หมอจะทำเรื่องส่งต่อไปอีกโรงพยาบาลที่มีความพร้อมมากกว่าที่นี่ เดี๋ยวคุณไปรอประวัติการรักษา พร้อมกับรอทำเรื่องขอย้ายที่ห้องธุรการ ขอให้คุณโชคดี”
คำว่า โชคดี ของหมอผ่านมาแล้วหกเดือน จากระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผมรับไม่ได้กับคำวินิจฉัย นี่ผมเพิ่มเวลาของการอยู่ร่วมกันมาอีกห้าเดือน ทุกวันที่ผมบอกรักกระซิบผ่านข้างหู รอยยิ้มน้อย ๆ ผ่านริมฝีปากหลังรับฟังถ้อยคำ คือสิ่งล้ำและคุ้มค่าเกินพอสำหรับผม จนวันนี้อาการของแม่ทรุดหนักลงอีกครั้ง
ปล่อย คือคำที่ผมตัดสินใจในวันนี้ ผมปล่อยใจจากการยึดติด
ผม ปล่อยแม่ จากร่างที่ไม่อาจรับการรักษาใด ๆ
คำว่า ปล่อย มันเบาสบายเช่นนี้นี่เอง ...
พืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯ
เปิดการบ้านภาษาไทย เรียงอักษรให้เป็นคำ แบบนี้ยากไปไหม
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
นี่คือสิ่งมีชีวิตที่สูงที่สุดและใหญ่ที่สุดในโลก Redwood และ Sequoia
ตรงนี้มีคำตอบคนละครึ่งพลัสเฟส 1 ใช้ไม่หมดสามารถนำไปใช้เฟส 2 ได้หรือไม่
“นานา ไรบีนา” เพิ่งพ้นคุกก็เจอดราม่าซ้อน—เพื่อน (เคย) รักแห่ออกมาสวนแรง
พบกองอาเจียนข้างตัว นัทปง ก่อนเสียชีวิต ตำรวจได้กั้นพื้นที่เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
ทนายสายหยุด ยอมรับสลิปโอนเงินของ "นานา" เป็นของปลอม
ปิดฉาก! มหากาฬฯ โบนัสพนักงาน “ไดกิ้น” คือ Get out



