ศูนย์รวบรวมคัมภีร์อัลกุรอานเก่าแก่กว่า1,000ปี ลงอักษรในหนังแพะและเปลือกไม้
ศูนย์รวบรวมคัมภีร์อัลกุรอานเก่าแก่กว่า1,000ปี ลงอักษรในหนังแพะและเปลือกไม้ ที่นายกเศรษฐาใช้เป็นตัวเชื่อมการท่องเที่ยวลงปฏิบัติหน้าที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้
พิพิธภัณฑ์มรดกวัฒนธรรมอิสลามและศูนย์เรียนรู้คัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งตั้งอยู่บ้านศาลาลูกไก่ ม.6 ต.ละหาร อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส เป็น 1 ในกำหนการที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนรีและคณะ จะเดินทางมาตรวจเยี่ยมราชการด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 29 ก.พ.67 ที่จะถึงนี้
ซึ่งพิพิธภัณฑ์มรดกวัฒนธรรมอิสลามและศูนย์เรียนรู้คัมภีร์อัลกุรอานแห่งนี้ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2553 โดยนายมาหามะนุทรี หะยีสาแม ด้วยการรวบรวมประเภทคัมภีร์อัลกุรอานโบราณที่คัดด้วยลายมือ ที่เป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมอิสลาม ที่ตกทอดจากอดีตถึงปัจจุบัน ที่มีอายุตั้งแต่ 150 ปี ถึง 1,100 ปี ที่มีลวดลายสวยงามใช้สีประดับกรอบด้วยทองคำเปลว เขียนด้วยศิลปะมลายูนูซันตาราจีนและอาหรับผสมผสานกันได้อย่างกลมกลืน
และที่เป็นจุดไฮไลน์ของคัมภีร์อัลกุรอานที่ถือว่าเก่าแก่ที่สุด คือ คัมภีร์อัลกุรอาน ที่ลงลวดลายอักษรในหนังแพะ ที่มีอายุเก่าแก่ถึง 1,030 ปี ช่วงสมัยที่ยังไม่มีกระดาษ และรองลงมาคือคัมภีร์อัลกุรอานที่ลงอักษรลงในเปลือกไม้ ในศตวรรษที่ 18 ที่มีอายุกว่า 300 ปี
ส่วนคัมภีร์อัลกุรอานปัจจุบันที่พิพิธภัณฑ์อัลกุรอานวัฒนธรรมอิสลามแห่งนี้ ที่ได้รับการบริจาดจากกลุ่มประเทศต่างๆ และได้ทำการซ่อมแซมบูรณะตามหลักวิชาการที่ถูกต้อง มีจำนวนทั้งสิ้น 79 เล่ม ยังไม่รวมถึงการรอบูรณะซ่อมแซมในจำนวนทั้งสิ้นกว่า 100 เล่ม
โดยทางพิพิธภัณฑ์มรดกวัฒนธรรมอิสลามแห่งนี้ ได้มีการจัดคัมภีร์อัลกุรอานออกเป็น 8 กลุ่ม ที่ได้รับการบริจาด คือ 1. คัมภีร์อัลกุรอเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับานจากมาเลย์นูซันตาราหรืออาเซี่ยน 2.อินเดีย 3.จีน 4.เปอร์เซีย 5.อียิปต์ 6.สเปน 7.แอฟริกา และ 8.อุซเบกิสถาน
นอกจากนี้ภายในอาคารมีการจัดนิทรรศการออกเป็น 3 ห้อง ห้องที่ 1. ห้องบรรยายเกริ่นนำ ห้องที่ 2. เนื้อหาเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตวิถีมุสลิม ตามแนวทางที่ศาสนาบัญญัติไว้และแนะนำสถานที่สำคัญๆ และห้องที่ 3. เป็นเนื้อหาการเผบแผ่ศาสนาอิสลามสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทย โดยคัดเลือดคัมภีร์อัลกุรอานจัดแสดงเป็นชิ้นหลักชิ้นรอง ด้วยการจัดทำ 3 ภาษา คือ ไทย อังกฤษ และมลายูปัตตานี
ซึ่งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะใช้พิพิธภัณฑ์มรดกวัฒนธรรมอิสลามและศูนย์เรียนรู้คัมภีร์อัลกุรอาน แห่งนี้เป็นศูนย์กลางอิสลามตัวเชื่อมการท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้พหุวัฒนธรรม เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ลือชื่อของจังหวัดนราธิวาสในอนาคต นอกเหนือจากคัมภีร์อัลกุรอานแล้ว ยังมีโครงสร้างอาคารภายนอกเป็นอาคารแบบไทยท้องถิ่นใต้ ผสมผสานลวดลายศิลปะมุสลิมที่สวยงามตระการตา
ด้านนายมาหามะนุทรี หะยีสาแม ประธานมูลนิธิพิพิธภัณฑ์มรดกวัฒนธรรมอิสลามและศูนย์เรียนรู้คัมภีร์อัลกุรอาน กล่าวว่า เมื่อรู้ว่าประเทศไทยเราเป็นศูนย์อนุรักษ์ เขาก็พยายามส่งต่อเพื่อมอบให้ดูแล จะให้คัมภีร์ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อยู่คงทนกับพี่น้องมุสลิม เพื่อที่จะได้นำมาศึกษาวิจัย