หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ฟอรามินิเฟอรา สิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดลึกลับ มีมาตั้งแต่สมัยยุคแคมเบรียน

โพสท์โดย Man

ฟอรามินิเฟอรา สิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดลึกลับ มีมาตั้งแต่สมัยแคมเบรียน

ดูๆแล้วมันไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไรกันแน่ดูไม่ออก หอยก็ไม่ใช่ พยาธิก็ไม่ใช่ หนอนไส้เดือนหรืออะไรมันก็ดูไม่ออกนะครับสรุปแล้วมันเป็นสัตว์ประหลาดสิ่งมีชีวิตที่ลึกลับมีมาตั้งแต่ยุคสมัยโบราณดึกดำบรรพ์และสูญพันธุ์ไปแล้วบ้างก็มีแต่ไม่รู้ว่าปัจจุบันจะมีเหลืออยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้นะครับ

ฟอรามินิเฟอรา (อังกฤษ: Foraminifera) เป็น Order อยู่ใน Class Sarcodina โดย Class นี้แบ่งออกเป็น 2 order คือ Order Foraminifera และ Order Radiolaria อยู่ในไฟลัมโปรโตซัว (Phylum Protrzoa)

เป็นพวกที่มีขนาดใหญ่กว่าโปรโตซัวชนิดอื่น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ < 1 มม. ถึง 190 มม. อาศัยอยู่ได้ทั้งในน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม แต่โดยทั่วไปแล้วจะอาศัยอยู่ในน้ำทะเล เป็นพวก planktonic พบมากในทะเลเขตร้อนหรือเขตอบอุ่น พวกนี้มีประมาณ 3,000 species มีช่วงอายุตั้งแต่มหายุคพาลีโอโซอิกจนถึงยุคปัจจุบัน เป็นพวกที่มีความสำคัญมากในกลุ่มจุลซากดึกดำบรรพ์ (microfossil) ด้วยเหตุผล คือ หนึ่งพบมากในหินและมีมากชนิด สองเป็นพวกที่ให้ข้อมูลมากเกี่ยวกับอายุของชั้นหิน ทำให้ช่วยในการศึกษาสภาพแวดล้อมของการตกตะกอนในอดีต

สัณฐานวิทยา
ในส่วนที่เป็นเนื้อ เรียก Cytoplasm ส่วนที่อยู่ด้านนอกเรียก Ectoplasm ส่วนที่อยู่ด้านในเรียก Endoplasm ซึ่งภายในจะมี nuclei อยู่

Ectoplasm : ทำหน้าที่สร้างส่วนที่แข็ง ปกคลุมส่วนที่ถูกสร้าง ของแข็งส่วนที่สร้างขึ้นมาเรียกว่า Test ซึ่งประกอบด้วย SiO2, Chitin, CaCo3, FeS2

Cytoplasm : ใน Foraminifera บางทียื่นออกมานอก Test เรียกส่วนนี้ว่า Pseudopodia ซึ่งช่วยในการเคลื่อนไหวและกินอาหาร ส่วนที่แข็งของฟอรามินิเฟอรา

ขนาด : มีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ < 1 มม. ถึง 190 มม.

ส่วนประกอบ : ส่วนประกอบที่แข็งแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ

เกิดจากการสร้างสารพวก chitinous test, calcareous test
เกิดจากการสร้างที่มีสารอื่นทาปะปนกัน เช่น agglutinated test chamber แรกสุดเรียก proloculus , ที่ปลายสุดเป็นรูเปิดเรียกว่า aperture ภายในมี septa กั้นเป็นช่องเรียกว่า chamber, รอยต่อของ septa กับ inner wall เรียกว่า suture รูปร่างของ aperture มีหลายแบบ เช่น กลม รี มน, ส่วนที่เป็นฝาปิด aperture เรียกว่า lip ผิวของเปลือกถ้าเรียบ เรียกว่า imperforate, ผิวของเปลือกถ้ามีรูพรุน เรียกว่า perforate

นิเวศวิทยา
ฟอรามินิเฟอราส่วนมากอาศัยในสภาพแวดล้อมตามก้นทะเล (Bentonic environment) แต่มีฟอรามินิเฟอราบางพวกที่อาศัยอย่างอิสระเหนือท้องทะเล หรือตามผิวตะกอนในขณะที่บางพวกจะใช้ pseudopodia หรือ calcareous secretion เกาะติดกับหิน เปลือกหอยและสาหร่ายทะเล ฟอรามินิเฟอราส่วนมากอาศัยอยู่ในน้ำทะเลที่มีความเค็ม แต่จะพบฟอรามินิเฟอราที่อาศัยอยู่ในน้ำกร่อยตามชายฝั่งทะเล พวกที่มีเปลือกแบบ porcellaneous จะเป็นพวกที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบ hyperhaline เช่น lagoons ที่มีค่าความเค็มมากกว่า 35 ppm ส่วนพวกที่มีเปลือกเป็นแบบ agglutinates และ hyalines จะชอบน้ำที่มีความเค็มน้อย เช่น น้ำกร่อยตาม lagoons และ estuaries นอกจากนี้แล้วยังสามารถพบในสภาพแวดล้อมอื่นๆ ได้อีก

ฟอรามินิเฟอรายังสามารถใช้เป็นตัวบอกความลึกของน้ำได้อีกด้วย เนื่องจากชนิดของมันขึ้นกับอุณหภูมิ ปริมาณออกซิเจน แสงสว่าง และอื่นๆ โดยทั่วไปพวกที่มีเปลือกแบบ porcellaneous จะอาศัยบริเวณน้ำตื่น ในขณะที่พวกอื่นๆ จะอาศัยในบริเวณที่น้ำลึกกว่า พวกที่มีเปลือกแบบ agglutinated จะอาศัยบริเวณที่มีน้ำลึกระหว่าง 4,000 - 5,000 เมตร การกระจายตัวทางธรณีวิทยา (Geologicald istribution)

 

รูปร่างของเปลือก

เชื่อกันว่าฟอรามินิเฟอรามีมาตั้งแต่สมัยแคมเบรียนแต่ไม่พบซากดึกดำบรรพ์นักธรณีวิทยาเริ่มพบซากดึกดำบรรพ์ในหินปูนยุคออร์โดวิเชียน ไซลูเรียน และดีโวเนียน ในยุคเพอร์เมียนและคาร์บอนิเฟอรัสพบมากและมีรูปร่างต่างกันค่อนข้างมาก ยุคไทรแอสซิกพบมากเช่นกัน แต่ยังไม่มากเท่าเพอร์เมียนและคาร์บอนิเฟอรัส ส่วนยุคจูแรสซิกพบมาก และไปมากที่สุดในยุคครีเทเชียส ซึ่งฟอรามินิเฟอราในยุคนี้ถือว่าเป็นต้นตระกูลของฟอรามินิเฟอราในยุคปัจจุบัน

ฟอรามินิเฟอราเป็นซากดึกดำบรรพ์ดัชนีที่ใช้ในการศึกษาเปรียบเทียบชั้นหิน ใช้ในการหาแหล่งน้ำมัน จากหลักฐานเชื่อกันว่าฟอรามินิเฟอราเป็นสัตว์ที่มีชีวิตโดยการล่องลอยไปตามผิวน้ำ เมื่อตายไปก็จะตกทับถมเป็นตะกอนที่เรียกว่า foraminifera ooze ซึ่งเชื่อว่าเป็นบ่อเกิดของน้ำมัน

ถ้าพบซากดึกดำบรรพ์ฟอรามินิเฟอราที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดใหญ่ 5 – 20 มม. แสดงว่าฟอรามินิเฟอราพวกนี้เกิดในทะเลเขตอบอุ่นและเปลือกเป็นแบบ calcareous test ส่วนฟอรามินิเฟอราที่เป็น arenaceous test จะเป็นพวกที่อาศัยอยู่ในเขตน้ำเย็น

สรุปแล้วมันเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์สมัยโบร่ำโบราณและอาจจะเป็นต้นกำเนิดชีวิตต่างๆบนโลกนี้ที่พัฒนามาจนถึงปัจจุบันนี้ก็ได้นะครับ

โพสท์โดย: Man
อ้างอิงจาก: ไฟลัมไปรโตซัวใน บรรพชีวินวิทยา,วิกิพีเดีย
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
Man's profile


โพสท์โดย: Man
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
10 ภาพเก่าๆ แปลกๆ ที่น่ากลัวกว่าหนังสยองขวัญร้านอาหารของรัฐจีน ในช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980ภาพเก่า พิธีศพในกรุงปักกิ่งในสมัยโบราณ30 แคปชั่นต้อนรับเดือนพฤษภาคม 2567 ความหมายดี สวัสดีเดือนพฤษภา hello mayบังคลาเทศเผชิญคลื่นความร้อนที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สะเพร่าแท้!! หนุ่มนัดกิ๊กสาวเข้าโรงแรม เจอเมียตามตบถึงที่เพราะดันใช้ชื่อเมียจองโรงแรมหนุ่มแกล้งแฟนเก่า โดยการสั่งอาหารมากกว่า 50 รายการ ให้ไปส่งบ้านเธอแบบเก็บปลายทางแนะนำซีรีย์ฮิต 5 เรื่องของ “คิมซูฮยอน” ไม่ดูไม่ได้แล้วสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา สุสานใต้น้ำหรือแค่ตำนานลี้ลับ?
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
สุสานลับใต้ดิน ทำไมไม่มีใครกล้าเปิด "สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้"พี่เต้ " ย้ายซบอก " ประชาธิปัตย์เปิดที่มา “ปูโล๊ะลือแม” หรือ “ข้าวหลามบาซูก้า” อีกหนึ่งอัตลักษณ์ของพี่น้องชาวมุสลิมเฝ้าระวัง!!! แพทย์ออกมาเตือน โรคปอดอักเสบระบาดหนักติดกันทุกวัย
กระทู้อื่นๆในบอร์ด รวมสาระบทความแบ่งปั่นกัน
เปิดเผยแผนการสร้างบังเกอร์ป้องกัน วันโลกาวินาศ มูลค่า 260 ล้านดอลลาร์ของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กวิธีบอกรักโดยไม่ต้องใช้คำพูด วันนี้เราก็จะมาเสนอวิธีบอกรักโดยไม่ต้องใช้คำพูด เอ๊ะมันแปลกๆดีนะสาวสวยหนุ่มหล่อ กับวิธีทำใจอย่างไรเมื่อเวลาอกหักที่ได้ผลรู้หรือไม่ สีแห่งความรักแท้ที่บริสุทธิ์ไม่ใช่สีแดง สีเหลือง สีเหย แต่มันคือสีดำ
ตั้งกระทู้ใหม่