อำพรางรัก ตอนที่ 1 ( ต่อ ) คดีฆาตรกรรมศยามล
จุดจบของชีวิตของผู้หญิงที่ชื่อศยามล
อ่านตอนแรกได้ที่นี่ https://board.postjung.com/1506486
ศยามลพาน้องอิงอิงออกจากศูนย์การค้าหัวหินคอมแพล็กซ์ขับรถไปตามถนนเพชรเกษมมุ่งหน้าไปทางอำเภอกุยบุรี นายสมหมาย สังข์เคลือบขับรถตามไปจนถึงบริเวณบ้านหนองตาแต้ม อำเภอ ปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายสมหมาย สังข์เคลือบได้ขับรถปาดหน้ารถของศยามลทำให้รถของเธอเสียหลักลงข้างทาง นายสาทิตย์ หรือ เอ๊ะ มีเย็น และ นายสมหมาย หรือ ลาย เนียมศรีและนายบรรจบเดินไปที่รถย์ของศยามล นายบรรจบใช้ปืนจี้ใช้ปืนจี้ศยามลเปิดประตูรถให้นายสาทิตย์ หรือเอ๊ะ มีเย็นและ นาย สมหมาย หรือ ลายเนียมศรี เข้าไปนั่งในรถของศยามล หลังจากนั้นนายสาทิตย์ หรือ เอ๊ะ มีเย็นได้ขับรถของศยามลย้อนกลับมาทางหัวหิน นายสมหมาย สังข์เคลือบขับรถตามมา ระหว่างที่อยู่ในรถนายนายสมหมาย หรือ ลายเนียมศรีได้ได้ปลดเอาสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองและกระเป๋าเงินของศยามล
ศยามลถอดแหวนให้กับนายสมหมาย หรือ ลายเนียมศรีกับ นายสาทิต หรือ เอ๊ มีเย็นอีกด้วย นายสาทิตย์ หรือ เอ๊ะมีเย็นขับรถไปตามถนนเพชรเกษมจนถึงเขตอำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรีแล้วเลี้ยวเข้าสู่ถนนทางเข้าบ้านตาลกง หลังจากนั้นขับรถไปประมาณสามกิโลเมตรจึงจอดรถ รถของนาย สมหมายสังข์เคลือบขับตาม เมื่อจอดรถ นายสาทิตย์ หรือ เอ๊ะ มีเย็นและ นายสมหมาย หรือ ลายเนียมศรีได้ลงมาจากรถมาปรึกษากันและตกลงกันจะใช้เชือกรัดคอศยามลแต่ในรถไม่มีเชือกมีผ้าขนหนูอยู่หนึ่งผืน นายสมหมาย หรือ ลายเนียมศรีใช้ผ้าขนหนูรัดคอศยามลจนหมดสติ
นายบรรจบดึงกางเกงและกางเกงในของศยามลลงมาแล้วใช้ถุงพลาสติกสวมนิ้วแหย่เข้าไปในช่องคลอดเป็นการอำพรางว่าศยามลถูกชิงทรัพย์ ข่มขืนแล้วฆ่า หลังจากนั้นนายสาทิตย์ หรือ เอ๊ะมีเย็นได้ใช้มีดแทงเธออีกสามครั้งเพื่อความแน่ใจว่าได้เสียชีวิตแล้ว นายบรรจบได้ไขประตูรถทางด้านประตูคนขับเล็กน้อยเพื่อให้มีอากาศหายใจ หลังจากนั้นนายสมหมาย สังข์เคลือบขับรถพานายสาทิตย์หรือเอ๊มีเย็นและนายสมหมาย สังข์เคลือบและนายบรรจบออกไปที่ถนนเพชรเกษมมุ่งหน้าไปทางกรุงเทพมหานคร นายสมหมาย หรือ ลายเนียมศรี ได้โยนมีดทิ้งห่างจากจุดเหตุประมาณสองร้อยเมตร
เมื่อนายสมหมาย สังข์เคลือบขับรถมาถึงสถานีบริการเติมน้ำมัรโมบิลสี่แยกวัดเขาไดอิฐเลี้ยวรถเข้าไปจอดที่ห้องน้ำ นายสมหมายหรือลายเนียมศรีได้เข้าไปล้างมือและกางเกงที่เปื้อนเลือดพร้อมทั้งมอบสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทอง แหวนและกระเป๋าเงินของศยามลให้นายบรรจบ เขาเก็บสร้อย คอ แหวน และเงินสดสี่พันบาท ส่วนกระเป๋าใส่เงิน นายบรรจบให้นายสาทิตย์ หรือ เอ๊ะ มีเย็น ระหว่างที่อยู่ในรถ นายบรรจบได้มอบสร้อยคอพร้อมพระเลี่ยมทองและแหวนหนึ่งวงให้นายสมหมาย สังเคลือบส่วนแหวนที่เหลืออีกสองวงโยนทิ้งไปแล้วแยกย้ายกันหนี
ศยามลไม่ระแคะระคายนึกสงสัยในหมอบัณฑิตแม้แต่น้อยทั้ง ๆ ที่ตัวเองมีปัญหาและสร้างความรำคาญให้กับหมอบัณฑิต ด้วยความรักที่มีให้กับชายผู้นี้ทำให้เธอลืมคิดและเชื่อใจว่าเขาคงไม่ทำร้ายเธอแต่คำพูดของหมอบัณฑิตเป็นแค่คำโกหกหลอกเธอมาฆ่าเพื่อที่จะตนเองจะได้กลับไปใช้ชีวิตกับคนรักใหม่โดยไม่มีศยามลมาคอยกวนใจอีกต่อไป หมอบัณฑิตวางแผนทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ในระหว่างรอศยามลทีมสังหารนั่งกินข้าวอยู่ภายในร้านด้านล่างและให้นายบรรจบเดินขึ้นไปดูร้านของศยามลบริเวณชั้นสองของศูนย์การค้า
ในระหว่างรอศยามลทีมสังหารไปนั่งกินข้าวนั่งรอจนกว่าศยามลออกมาจากร้าน เมื่อศยามลขับรถออกมาจากศูนย์การค้า ทีมสังหารรีบขับรถตามเธอไปอย่างกระชั้นชิดไปตามถนนเพชรเกษมมุ่งหน้าไปอำเภอกุยบุรี ศยามลขับรถไปได้ระยะหนึ่งทีมสังหารตัดสินใจขับรถปาดหน้ารถเก๋งของเธอทันทีใช้มีดและปืนจี้บังคับให้เธอลงจากรถบังคับให้เธอพร้อมกับลูกมานั่งตรงเบาะหน้าคนขับและให้หนึ่งคนในทีมสังหารเป็นคนขับรถแทนเธอ ทีมสังหารขับรถมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงจุดเกิดเหตุหยุดรถทำการฆาตรกรรมเธอต่อหน้าลูกอย่างโหดเหี้ยม
คนร้ายใช้เชือกรัดคอของเธอและใช้มีดแทงตรงหน้าอกและบริเวณลิ้นปี่จำนวนสามแผลจนเธอถึงแก่ความตาย ผู้จ้างวานฆ่าต้องการอำพรางศพเป็นการฆ่าข่มขืนแต่เมื่อถึงเวลาทำการข่มขืนเธอหลังจากเสียชีวิตทีมสังหารไม่มีใครลงมือขมขืนเธอจึงเลือกใช้วิธีเอาก้านกล้วยมาชำเราท่อนล่างของเธอแทน หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจทีมสังหารอาวุธทั้งหมดไปทิ้งตามแม่น้ำและทุ่งนาพากันหลบหนีไปคนละทิศละทางหนีไปต่างจังหวัด เด็กน้อยผู้น่าสงสารยังไม่รู้ชะตากรรมของแม่เข้าใจว่าแม่ยังมีชีวิตอยู่เอามือหยิบทิชชูขึ้นมาเช็ดเลือดให้กับแม่ของตนเองโดยที่ยังไม่รู้ว่าแม่ได้จากโลกนี้ไปแล้ว
วันวิปโยคพบศพศยามล
เช้าวันที่ 29 กันยายน 2536 พบศพศยามลอยู่ภายในรถเก๋งนิสสันสีขาว ทะเบียน ก 2344 พร้อมกับน้องอิงอิง หลังจากแม่ของศยามลทราบข่าวได้รีบติดต่อขอรับศพของศยามลพร้อมกับเล่าความสัมพันธ์ของศยามลกับหมอบัณฑิตให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าศยามลได้เลิกรากับหมอบัณฑิตมาสองปีแล้ว หมอบัณฑิตได้จ่ายค่าเลี้ยงดูน้องอิงอิงให้กับศยามลจำนวนสองล้านบาท หมอบัณฑิตเป็นฝ่ายข่มขู่ให้ศยามลย้ายออกไปจากหัวหินเพราะตนเองกำลังจะแต่งงานใหม่แต่ศยามลไม่ยอมย้ายออกไปนี่คงเป็นชนวนเหตุที่ทำให้ศยามลต้องจบชีวิตลง
ศพของศยามลถูกตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ที่วัดศาลาลัย ต. ไร่เก่า อ. ปราณบุรีโดยมีกำหนดฌาปนกิจภายใน 7 วัน ในวันที่ 9 ตุลาคม ในช่วงสายของวันฌาปนกิจศพทางครอบครัวของศยามลให้หมอผีอัญเชิญวิญญาณของเธอหลังจากเผาศพไปแล้ว หลังจากนั้นได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำรูปถ่ายของศยามลไปให้เจ้าหน้าที่โรงแรมหัวหินดูปรากฏว่ามีกลิ่นศพและกลิ่นธูปลอยมา เธอยังมาปรากฏตัวให้ครอบครัวและน้องอิงอิงเห็นอีกด้วย
ตามล่าหาคนร้าย
คดีของศยามลเป็นคดีฆาตรกรรมอำพรางสะเทือนขวัญเป็นคดีที่ถูกจับตามองของสังคมและประชาชนให้ความสนใจเป็นอย่างมากทำให้การทำงานของตำรวจเป็นไปอย่างรวดเร็ว เบาะแสของการตายของศยามลมาจากการสอบถามน้องอิงอิงและจากบันทึกของเธอจากคำให้การของครอบครัวและพี่น้องของศยามล ทุกคนล้วนสงสัยในตัวของหมอบัณฑิตว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยเฉพาะคำให้การของแม่ของศยามลที่บอกกับตำรวจและยืนยันว่าเธอไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใครมาก่อนมีเพียงหมอบัณฑิตเท่านั้นที่เธอมีปัญหาด้วยและเขาที่สำคัญเขาพูดขู่เอาไว้ว่าจะไม่ไว้ชีวิตศยามล
มีกระแสข่าวลือว่า หมอบัณฑิตได้ติดต่อขอเข้าพบ พ.ต.อ. พิสิทธิ์ ( ผกก.ภ.จ. เพชรบุรี ) เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ว่าตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของศยามลพร้อมกับให้ปากคำอย่างละเอียดแต่ทางตำรวจไม่ได้ปักใจเชื่อในคำพูดของหมอบัณฑิต น้องอิงอิงเป็นพยานสำคัญในคดีนี้เพราะตัวเธออยู่ในเหตุการณ์วันที่ศยามลถูกฆ่าทางตำรวจต้องรอให้น้องอิงอิงหายอาการหวาดผวาเสียก่อนจึงเริ่มสอบปากคำได้ ทางตำรวจได้ส่งกำลังมาคุ้มครองน้องอิงอิงตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อความปลอดภัยของน้องและครอบครัว หากมีคนร้ายบุกเข้ามาจะได้ช่วยได้ทันถ่วงที
เหตุการณ์ที่ชวนสงสัยที่ทำให้ตำรวต้องส่งกำลังมาคุ้มครองน้องอิงอิงและครอบครัว สายตำรวจนายหนึ่งได้รายงานว่าได้มีชายขับรถตู้สีขาว ไม่ทราบยี่ห้อ ขับรถวนไปมาหลายรอบตรงหน้าบ้านของน้องอิง พฤติกรรมชวนให้สงสัยทำตัวมีพิรุธ คนขับรถตู้แต่งตัวด้วยชุดซาฟารีย์แอบอ้างเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบมาขอเบอร์โทรที่บ้านของศยามล หมอบัณฑิตเก็บตัวเงียบอยู่ที่บ้านระยะหนึ่งแล้วกลับมาทำงานที่โรงพยาบาลเหมือนเดิม
สมุดบันทึกของศยามลเป็นหนึ่งในหลักฐานชิ้นสำคัญของคดีนี้ที่ทำให้นายแพทย์บัณฑิตตกตกเป็นผู้สงสัยในคดีนี้จากการสอบปากคำหมอบัณฑิตเขาปฏิเสธทุกว่าตัวเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของศยามลเพราะในวันเกิดเหตุเขาลาพักร้อนไปเที่ยวต่างจังหวัดตั้งแต่วันที่ 27-30 ตุลาคมกันยายนและขอลากิจเพิ่มอีกหนึ่งวันที่1ตุลาคม
ผู้ต้องหาคนแรก
การสืบสวนคดีนี้ใช้เวลาประมาณครึ่งเดือนในวันที่ 15 ตุลาคม 2536 พ.ต.ท.ชัยชาญ เงินมูล รอง ผกก.ภ. จ.เพชรบุรีพร้อมด้วยทีมสอบสวนได้ทำการจับกุม ส.ต.อ. แผ่ว ภู่เต็ง เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 14 สังกัดค่ายพระมงกฏเกล้า ในขณะเดินทางมาขึ้นศาลจังหวัดเพชรบุรีเพื่อไปรับฟังคำฟ้อง5 ข้อหา ได้แก่
- คดีพกอาวุธปืนและมีกระสุนไว้ในการครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
- พกอาวุธเข้าเมืองและในหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันควร
- เมาสุรา ก่อความวุ่นวาย
- ยิงปืนขึ้นฟ้าภายในหมู่บ้าน
- ปลอมแปลงเอกสาร
หลังจากถูกควบคุมตัวเขาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาแต่ไม่เป็นผลสำเร็จต้องจำนนท์ด้วยหลักฐานและพยานจากการสอบสวนพบว่า ส.ต.อ. แผ่ว มีความสนิทสนมกับผู้บงการในฐานะผู้มีบุญคุณเนื่องด้วยผู้บงการเคยให้ความช่วยเหลือเป็นพยานในการตรวจและออกใบรับรองแพทย์ในคดีที่เขายิงปืนขึ้นฟ้า นอกจากนี้ นางตา ภู่เต็ง ภรรยาของเขาเคยเป็นอดีตพยาบาลและมีความสนิทสนมและไปมาหาสู่กับผู้บงการเป็นประจำ
จากหลักฐานพบว่าในวันเกิดเหตุมีพยานเห็นเขาอยู่ในรถของศยามลอีกด้วย หลังจาก ส.ต.อ. แผ่ว ภู่เต็งถูกจับ หมอบัณฑิตได้ออกมาสัมภาษณ์ว่าตนเองไม่ได้รู้จักกับส.ต.อ. แผ่ว ภูเต็งเป็นการส่สนตัวและยังยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของศยามล
ตามล่าผู้ต้องหาคนที่สอง
หลังจากส.ต.อ. แผ่ว ภูเต็งถูกจับได้ไม่นาน ตำรวจก็สามารถจับกุม นาย บรรจบ นิลห้อย เขาเป็นลูกน้องของผู้กว้างขวางเจ้าของซุ้มมือปืนในจังหวัดเพชรบุรี ตำรวจได้ส่งสายสืบเป็นหญิงสาวที่พักอาศัยอยู่ในหอพักเดียวกับญาติของนายบรรจบ นิลห้อยทำทีสอบถามบอกว่าที่ห้องมีน้ำซึมเพื่อเข้าไปล้วงข้อมูลว่านาย บรรจบพักอาศัยอยู่ในห้องพักหรือเปล่า นายบรรจบไม่ได้พักอยู่ในห้องนี้มีแต่เพียงภรรยาของนาย บรรจบเท่านั้น ตำรวจดักฟังโทรศัพท์ของภรรยานายบรรจบทำให้รู้ว่านายบรรจบพักอยู่ที่ร้านตัดผมในจังหวัดพังงา
หลังจากสืบทราบตำแหน่งที่อยู่รีบเดินทางไปจังหวัดพังงาทันที พลตำรวจโท เรวัตร กลิ่นเกสร วางแผนจับนายบรรจบโดยแสร้งทำทีพาลูกชายไปตัดผม ในขณะที่ช่างกำลังตัดผมให้กับลูกชายได้บอกกับช่างว่าท้องเสียขอเข้าห้องน้ำเพื่อที่จะตนเองได้ดูลาดเลาและหาโอกาสจับตัวนายบรรจบวันที่ 19 ตลาคม 2536 นาย บรรจบ นิลห้อยถูกตำรวจจับกุมที่อำเภอโคกลอย จังหวัด พังงา
นายบรรจบ ถูกจับรับสารภาพซัดทอดหมอบัณฑิตเป็นผู้จ้างวานเขาเป็นกุญแจดอกสำคัญที่ทำให้ตำรวจตามหาคนร้ายอีกสองคน ในวันที่ 20 ตุลาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวนายบรรจบ นิลห้อยไปทำแผนประกอบคำสารภาพพร้อมทั้งชี้จุดเกิดเหตุ หลังจากนั้นนำตัวไปสอบสวนหาตัวคนร้ายอีกสองคน
จับตัวหมอบัณฑิต
วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2536 เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการจับกุมหมอบัณฑิตในห้องพักแพทย์ วอร์ด 3 แผนกผดุงครรภ์โรงพยาบาลหัวหิน ในข้อหาจ้างวานฆ่า ในเวลาต่อมาได้มีการแถลงข่าวการจับกุม นายแพทย์บัณฑิตพร้อมทั้งเปิดเผบว่าจับผู้ต้องหาในคดีนี้ได้สี่จากคนแล้ว มีทีมสังหารสองคนคิ ส.ต.อ. แผ่ว ภูเต็งและนาย บรรจบนิลห้อย นายแพทย์บัณฑิตจำนนท์ด้วยหลักฐานที่มัดตัวเขาได้อย่างแน่นหนายากที่ปฏิเสธได้แต่เขายังปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของศยามล
“ การตายของศยามล คล้ายกับคดี นวลฉวีซึ่งเกิดเมื่อหลายสิบปีก่อนจึงเอาเรื่องมากล่าวหาผมทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร ทำไมญาติอดีตภรรยาใส่ร้ายผมกล่าวหาจนถูกจับทั้งที่การตายของอดีตภรรยาไม่รู้ใครทำ ทำให้ผมไม่ได้รับความเป็นธรรมเช่นนี้ ”
คำพูดของหมอบัณฑิตที่พูดกับนักข่าว เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2536
หมอบัณฑิตถูกฝากขังชั่วคราวไว้ที่สภ.อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี สภาพร่างกายของหมอบัณฑิตไม่ค่อยสู้ดีนัก เขามีอาการวิตกกังวล ใบหน้าซีดเซียว เหม่อลอยทำอะไรเชื่องช้า ซึมเศร้าและนอนไม่หลับทำให้นายชูศักดิ์ซึ่งเป็นพ่อของหมอบัณฑิตเป็นห่วงลูกเป็นอย่างมากกลัวหมอบัณฑิตจะคิดสั้นฆ่าตัวตายถึงขนาดตนเองมานอนเฝ้าอยู่หน้าห้องขังตลอด
ห้องขังผีสิง ห้องขังสภ.บ้านลาดขึ้นชื่อเรื่องความเฮี้ยนแม้แต่ตำรวจยังกลัวเพราะก่อนหน้านี้ได้มีผู้ต้องหาผูกคอตายสามคนตายในห้องขังทำให้ญาติพี่น้องของหมอบัณฑิตต้องนำเครื่องรางของขลังมาให้หมอบัณฑิตป้องกันตัวและเป็นที่ยึดเหนี่ยวแต่หมอบัณฑิตกลับไม่ได้กลัวสิ่งเหล่านั้นเลย
เป็นหมอไม่กลัวผี
ผมไม่กลัวผี หากกลัวคงไม่เรียนแพทย์และไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องฆ่าตัวตายเหมือนกับทั้งสามคนก่อนหน้านี้
หมอบัณฑิตบอกกับผู้สื่อข่าว
เฝ้ารอแฟนใหม่มาเยี่ยมสุดท้ายไม่เห็นเงา
หมอบัณฑิตพยามถามหาผู้หญิงคนหนึ่งกับผู้คุมโดยขอให้อำนวยความสะดวก หากผู้หญิงคนนั้นมาเยี่ยมแต่ตลอดทั้งวันก็ไร้วี่แว่ว มีข่าวจากวงในบอกว่าผู้หญิงคนนั้นอาจเป็นคนรักใหม่ของหมอบัณฑิต หลังจากเกิดเรื่องได้ออกเดินทางไปต่างประเทศ หลังจากนั้นตำรวจได้พาตัวน้องอิงอิงมาชี้รูปถ่ายของคนร้ายโดยเอารูปถ่ายของคนร้ายปะปนกับรูปของคนอื่นอีกหลายรูปผลปรากฏว่าน้องอิงอิงสามารถชี้รูปถ่ายคนร้ายได้อย่างถูกต้องแม่นยำ วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2536 เจ้าหน้าที่ตำรวจพาหมอบัณฑิตไปค้นหาหลักฐานและเอกสารเพิ่มเติมที่คลีนิคและบ้านพักของเขาที่อำเภอหัวหิน นายแพทย์บัณฑิตยังคงให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและร้องขอทนายให้การแก่ชั้นศาลเท่านั้น
วันที่ 26 ตุลาคม นายแพทย์ บัณฑิตถูกนำตัวไปฝากขังต่อที่เรือนจำเพชรบุรีซึ่งเป็นที่เดียวกับ ส.ต.อ. แผ่วถูกนำตัวมาขังก่อนหน้านี้แล้ว
วันที่ 3 พฤศจิกกายน 2533 นายบรรจบ นิลห้อยถูกนำตัวมาที่เรือนจำเพชรบุรีให้ไปชี้ตัวผู้จ้างวานผลปรากฏว่านายบรรจบชี้นายแพทย์บัณฑิต หลังจากที่ถูกชี้ตัว
“ ผมไมม่มีอะไรจะพูดกับเขา ” นายแพทย์บัณฑิตพูดทิ้งทายก่อนที่กลับห้องขัง
ตามล่าหาตัวคนร้าย
ส.ต.ท.อรุณ โพธิ์ทอง อดีตหมู่บังคับสถานีภูธร ต. หนองจอก อ.ท่ายาง เป็นผ็ทำหน้าที่สืบสวนติดตามจับกุม นาย สมหมาย สังข์เกื้อ ผู้ต้องหาคนที่สามของคดีโดยการปลอมตัวเป็นพ่อค้ารับซื้อผลไม้ตำรวจใช้เวลากว่าแปดวันในการแกะรอยตามตัว นายสมหมาย สังข์เคลือบติดตามไปหลายจังหวัดทั้งนครสรรค์ ราชบุรีและกาญจนบุรี
ในวันที่10 พฤศจิกายายน ตำรวจก็สามารถจับกุม นาย สมหมาย สังข์เคลือบได้ที่จังหวัด กาญจนบุรี หลังถูกจับกุมนายสมหมาย สังข์เคลือบให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาแต่สุดท้ายเขาทนแรงกดดันไม่ไหวจึงยอมรับสารภาพว่าตัวเองมีส่วนร่วมในการฆ่าศยามล เขาทำหน้าที่เป็นคนขับรถ ปิคอัพนิสสันสีดำ ป้ายทะเบียน ก-7740 ขับปาดหน้ารถของศยามลพร้อมทั้งให้ผู้ก่ออเหตุอีกสองคนเข้าไปล็อคตัวพาศยามลไปฆ่า หลังจากนั้นกลับไปรับเงินจากผู้จ้างวานฆ่าแล้วหนีไปอยู่ที่อื่น
“ ผมเป็นแค่คนขับรถเท่านั้น ไม่ได้ฆ่าศยามล
คนร้ายผู้ก่อเหตุคนที่สามมีชื่อว่า นาย สาธิต มีเย็น หนึ่งในผู้ต้องหาที่รอบนิ้วมือแฝงในรถ เขาเป็นคนก่อเหตุนำผ้าเช็ดมารัดคอศยามล การติดตามจับกุมนายสาทิต มีเย็นเริมต้นขึ้นตั้งแต่วันที่ 11 ถึง วันที่ 13 พฤศจิกกายน 2536 ตำรวจตามสืบจนพบว่าเขาอยู่ที่อำเภอบ้านโป่งและอำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ผู้เป็นพ่อเป็นคนพาเขามามอบตัวในวันที่ 13 พฤศจิกกายน ให้กับ พ.ต.ท. ชัยชาญ
เป้าหมายสุดท้ายของตำรวจคือ นาย สมหมาย ( ลาย) เนียมศรี เป็นคนร้ายคนที่สี่ในคดีนี้และเขาเป็นคนแทงศยามลถูกจับกุมได้ที่หมู่บ้านพุบอน ต. โป่งกระทิง อ. ลานผึ้ง จ. ราชบุรี จากคำสารภาพของผู้ก่อเหตุทั้งสี่คนบอกว่าได้สะกดรอยตามศยามลซุ่มรอที่ร้านเสื้อผ้า เมื่อเธอเดินออกจากร้านได้ขับรถตามไปสักพักหนึ่งจนถึงเส้นทางที่เหมาะสมจึงขับรถปาดหน้าให้รถออกข้างทางก่อนที่จะลงมือสังหารเธอ
ผลของการตัดสินคดี
หลังจากที่ตำรวจสามารถจับคนร้ายได้ครบทั้งห้าคนแล้ว ประกอบไปด้วย นายสมหมาย สังข์เคลือบ นายบรรจบ นิลห้อย นายสมหมาย หรือ ลาย เนียมศรี นายสาธิต หรือ เอ๊ะ มีเย็น และนายแพทย์ บัณฑิต โฆษิตชัยวัตน์ วันที่ 22 ธันวาคม 2537 ศาลชั้นต้นตัดสิน ประหารชีวิต นายแพทย์ บัณฑิต โฆษิตชัย นายสมหมาย สังเคลือบ นายสาทิตย์หรือ เอ๊ะ มีเย็น และ นาย สมหมาย หรือ ลาย เนียมศรี ศาลชั้นต้นตัดสิน จำคุกตลอดชีวิต
จำเลยทั้งสี่คนอุทธรณ์
ในระหว่างพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ ภาค 3 นายสาทิตย์ หรือ เอ๊ะ มีเย็น เสียชีวิต ทำให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ผลของการตัดสินคดีศาลอุทธรณ์พิพากษาตามศาลชั้นตั้น
23 กันยายน 2539 ศาลฏีกาอ่านคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ตัดสินประหารชีวิตแต่นายแพทย์ บัณฑิต โฆษิตชัยวัตน์ได้รับการอภัยโทษจากประหารชีวิตและได้รับการลดโทษลง 1 ใน 4 เหลือจำคุก 40 ปีและในปีพ.ศ.2552 นายแพทย์ บัณฑิต โฆษิตชัยวัตน์พ้นโทษกลับมาชีวิตในสังคมตามเดิม
อิงอิงไม่ได้รู้สึกอะไรเลยเพราะคนดีทำดีได้ดี คนชั่วต้องได้ชั่ว เปาปุ้นจิ้นแห่งศาลไคฟงสอนไว้อย่างนี้ อิงอิงชอบเป้าปุ้นจิ้นเพราะสอนให้คนทำดีและต้องขอบคุณทุกคนที่ช่วยมาม้าของอิงอิงด้วย
คำพูดของน้องอิงอิงในขณะที่เดินทางมาฟังคำพิพากษากับนางสาวปาริชาติ ลาภก่อเกียรติ
คดีของศยามลเป็นอีกคดีหนึ่งที่ทำให้ได้เรียนรู้ถึงบทเรียนชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของคนรัก ถึงแม้กาลเวลาจะหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปนานแค่ไหนก็ไม่เคยทำให้หัวใจของผู้หญิงที่ชื่อ ศยามลหมดรักนายแพทย์ บัณฑิตได้เลย และยังเชื่อใจเขาจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
อ้างอิงจาก: https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/540511
http://chaisanookdea.blogspot.com/2015/06/blog-post_65.html