โลกใบหน้าคงดีกว่านี้
สวัสดีค่ะทุกคนวันนี้จะมาเขียนเรื่องเล่าสั้นๆที่สะท้อนสังคมในเมืองจีนบางครอบครัว
เป็นที่เรารู้กันมาบ้างอยู่แล้วว่าประเทศจีนนั้นมีประชากรที่เยอะและการแข่งขันที่สูงมาก
และคนจีนเด็กที่ไม่โดนกดดันในสังคมและครอบครัวนับเป็นเรื่องที่ดีมากเพราะที่จีนไม่สามารถซื้อบ้านเป็นของตัวเองแบบซื้อเลยสามารถเป็นมรดกให้ลูกหลานได้แบบของไทยเราดั้งนั้นการแข่งขันและการใช้ชีวิตค่อนข้างกดดัน อาจเพราะเป็นกฎหมายของประเทศเขานั้นเอง เอาละค่ะเราจะมาเริ่มแต่งเรื่องสมมุติกันขึ้นมาค่ะหวังว่าคนที่เข้ามาอ่านจะไม่คิดมากกันนะค่ะอันนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องสมมุตินะค่ะ
นามสมมุติของตัวละครหลัก
เข่อซิง เด็กสาวที่เป็นตัวละครหลักของเรา
หวังเหล่ย เด็กหนุ่มที่เป็นตัวละครเสริมของเรา
ตัวละครมีไม่เยอะนะเพราะเป็นแค่เรื่องสั้นๆ
เด็กสาวเข่อซิงผู้น่าสงสารทนแบกความเงียบในใจของเธอมาอายุได้เพียง 15 ปีเท่านั้น
ย้อนไปในวัยที่เธอยังเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆในวัยเพียง 5 ขวบนั้นพ่อแม่ของเธอได้จัดแจ้งชีวิตของเธอไว้ทุกๆวัน
หลังเลิกเรียนของเข่อซิงแม่ของเธอนั้นจะพาเธอไปเรียนเปียโนทุกวันเด็กน้อยที่ได้เพียงมองเด็กในวัยเดียวกัน
ได้ไปเล่นสวนสนุกในวันหยุดและในหลังเลิกเรียนพ่อแม่พาไปกินไอศครีมแต่เข่อซินของเรานั้นไม่เคยมีโอกาส
แบบนั้นเลยทุกวันที่เลิกเรียนเธอต้องไปเรียนเปียโนและในวันหยุดของเธอนั้นก็ไม่เคยได้ไปไหนนอกจากจะต้อง
อ่านหนังสือเงียบๆภายในห้องนอนของเธอ
เด็กน้อยในวัย 5 ขวบไม่เคยมีเสียงหัวเราะหรือรอยยิ้มที่ดีใจออกมาจากใจจริงๆของเธอสักครั้ง พ่อกับแม่ของ
เธอนั้นได้พร่ำสอนเธอในทุกวันว่าการที่เป็นเด็กดีของพ่อแม่นั้นคือการเชื่อฟังพ่อกับแม่หวังดีต่อลูกสมอโลกใบนี้
มันน่ากลัวมากถ้าหากวันหนึ่งลูกโตไปเป็นเด็กที่ไร้ความสามารถลูกจะสอบเข้ามหาลัยดีดีมีหน้าที่การงานที่ดีได้
ยังไงถ้าลูกมัวแต่เล่นแต่พ่อของเด็กนั้นลืมคิดไปสินะว่าลูกของตนนั้นเพียงแค่ 5 ขวบเท่านั้น เด็กน้อยเข่อซิง
ทำได้เพียงฟังเงียบๆตามประสาเด็กที่โดนจัดแจงชีวิตมาตั้งแต่เด็ก
เด็กน้อยคนนี้ใช้ชีวิตมาโดยที่เธอเห็นพ่อและแม่ของเธอนั้นไปทำงานเช้าเย็นกลับโดยเฉพาะพ่อของเธอนั้น
ทำงานเช้าดึกๆในแต่ละวันกว่าจะกลับบ้านมาบางทีพ่อของเธอนั้นต้องไปทำงานต่างเมืองนานๆพอพ่อกับมาเด็ก
น้อยดีใจที่ได้เจอพ่อแตแทนที่ความดีใจของเด็กน้อยจะได้รับการเติมเต็มเป็นการกอดหรือพูดคุยกับพ่อนั้นแต่
ทุกครั้งที่พ่อของเธอไปทำงานต่างเมืองะนานๆจะกลับมาทีเธอมักจะได้ยินเสียงของพ่อและแม่ทะเลาะกันเรื่อง
ของเธอทุกครั้ง
โดยที่แม่ของเธอนั้นจะเริ่มดุวาพ่อทุกครั้งที่ไปทำงานต่างเมืองว่าทิ้งให้เธอนั้นต้องมาเลี้ยงดูลูกเพียงคนเดียว
ไหนจะทำงานไหนจะดูลูกไปด้วยไหนจะต้องพาลูกไปเรียนเปียโนในทุกๆวันไหนจะดูแลบ้านคนเดียวพ่อของเธอ
นั้นก็จะตอบมาด้วยความรุนแรงไม่ต่างกันว่าต้องไปทำงานก็ตามที่บริษัทส่งไปหาเงินมาเป็นค่าเช่าบ้านแต่ละ
เดือนค่าผ่อนรถค่าโรงเรียนลูกค่าต่างๆนาๆ
เด็กน้อยเข่อซิงผู้น่าสงสารทำได้เพียงหลบที่มุมเสาร์ฟังเงียบๆเพียงลำพังเธอได้เพียงแต่คิดในใจว่าการเกิดมา
ของเธอนั้นทำให้พ่อกับแม่ของเธอลำบากขนาดนั้นเลยหรือเธอยืนกอดตุ๊กตาตัวน้อยที่แม่ของเธอซื้อเป็นของ
ขวัญในวันเกิดครบ 5 ขวบของเธอเด็กน้อยทำได้เพียงหลบเข้าไปในห้องนอนและแสร้งทำเป็นหลับเพราะเธอ
ได้ยินเสียงเท้าของคนกำลังเดินเข้ามาแต่แล้วเสียงเท้านั้นก็เดินห่างจากเธอออกไป
และแล้ววันเวลาก็ผ่านมาเนินนานเป็น 10ปี ตอนนี้เข่อซินก็ได้อายุครบ 15 ปีเป็นปีสุดท้ายของเด็กคนนี้ที่จะได้
ใช้ชีวิตบนโลกใบนี้
เข่อซินนั้นมีเพื่อนชายที่เธอพึ่งจะมารู้จักตอนเรียนโรงเรียนในวัน15ปีนี้เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกมีเพื่อนและมีคน
เข้าใจเธอ เข่อซิงและหวังเหล่ยเป็นเพื่อนรวมชั้นกัน จากเด็กน้อยที่ไม่ค่อยพูดค่อยยิ้มในวันนั้นเธอก็ค่อยๆมีรอย
ยิ้มขึ้นมาบ้างแล้วแต่โชคชะตาของโลกใบนี้มันไม่ได้ใจดีกับเธอเลยแม้แต่น้อย
เมื่อแม่ของเข่อซินนั้นมาเห็นเด็กสองคนนี้เดินเล่นด้วยกันหลังเลิกเรียนเพราะเข่อซิงนั้นมีเรียนพิเศษในตอนเย็น
ของทุกวันเช่นดั่งเดิม แม่ของเข่อซินนั้นเข้ามาดุด่าลูกต่อหน้าเด็กหนุ่มว่าเพราะคบเพื่อนแบบนี้สินะเลยเริ่มดื้อกับ
พ่อแลแม่แกกลับบ้านกับฉันเดียวนี้เลยนะวันนี้แกเรียนเสร็จต้องไปนั่งอ่านหนังสือทบทวนให้ห้องจนกว่าฉันจะ
พอใจและคืนนี้ฉันจะยึดมือถือของแกพูดจบก็กระชากแขนลูกไปอย่างแรงแต่เข่อซิงนั้นไม่พูดและไม่ร้องสักคำ
เพราะเธอมักจะโดนแบบนี้มาตั้งแต่เด็กเมื่อม่ของเธอนั้นโมโห
เข่อซิงนั้นได้แต่เพียงหั่นไปมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาสิ้นหวังแต่พ่อหวังเหล่ยหันมาโบกมือให้เธอนั้นจึงทำให้เข่อ
ซิงยิ้มได้เพราะอย่างน้อยเพื่อนคนนี้ก็ยังเข้าใจเธอ
วันต่อมาในโรงเรียนเข่อซิงมีอาการเหม่อลอยและเก็บตัวเงียบมากขึ้นและเป็นบ่อยครั้งจนหวังเหล่ยได้ชวยให้
เข่อซิงไปหาหมอด้วยกัน หมอนั้นได้สรุปว่าเข่อซิงนั้นเป็นโรคซึมเศร้าแนะนำให้ผู้ปกครองพามารักษา
เข่อซิงได้กลับบ้านไปบอกแม่ของเธอว่าวันนี้ได้ไปหาหมอมาคุณหมอบอกว่าเข่อซิงเป็นโรคซึมเศร้าแต่แม่ของ
เธอกับหัวเราะพร้อมกับตบหน้าองเข่อซิงอย่างแรงและพูดว่าแกนี้ตั้งแต่มีเพื่อนก็กลายเป็นเด็กขี้โกหกเลยนะโรคซึมเศร้าอะไรของแกกันไม่อยาก
เรียนแล้วใช่ไหมแกอย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่าแกแอบไปซื้อหนังสือนิยายไร้สาระพวกนั้นมาอ่านฉันได้เอาไปเผาทิ้ง
หมดแล้วแกอย่าได้ให้ฉันบอกพ่อแกนะว่าเดี๋ยวนี้ไม่อยากจะอ่านหนังสือเรียนแล้วพอแกจะตีเข้าให้ไปเดี๋ยวนี้
ไสหัวไปอ่านหนังสือเรียนเตรียมสอบได้แล้วอีก3ปีต้องสอบเข้ามหาลัยแล้วถ้าแกสอบเข้าไม่ได้ได้เห็นดีกัน
ในคืนนั้นของวันต่อมา
เข่อซิงได้คบทบทวนมาอย่างดีแล้วเธอได้ทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งไว้ที่โต๊ะกินข้าวในกลางดึกเพราะพ่อกับแม่ของ
เธอยังไม่เลิกงานกลับมาเด็กน้อยทบความเจ็บปวดในใจที่ต้องเจอตั้งแต่อายุ5ปีจนถึงตอนนี้15ปีแล้วอายุขอเธอ
และเธอก็ได้โพตส์ข้อความสุดท้ายของเธอลงในเว้ยป๋อไว้ว่า หนูพยายามที่สุดแล้วพ่อจ๋าแม่จ๋าแต่ไม่ว่าถึงหนูจะ
พยายามเชื่อฟังพ่อกับแม่มากแค่ไหน พอกับแม่ก็ไม่เคยพอใจในตัวหนูสักครั้งไม่ว่าหนูจะตั้งใจเรียนมากแค่ไหน
แต่มันไม่เคยดีสำหรับพ่อกับแม่บ้างเลยพ่อจ๋าแม่จ๋าต่อไปนี้หนูไม่อยู่แล้วพ่อกับแม่คงไม่ต้องทะเลาะกันเพราะหนู
อีกแล้ว
ไม่มีหนูแล้วนะพ่อกับแม่จะได้หมดตัวถ่วงในชีวิตของพวกทานสักทีขอโทษที่หนูเกิดมาในตอนที่พวก
ท่านไม่พร้อมเลยทำให้ทานทั้งสองต้องลำบากหากแม้ว่าท่านจะมีลูกอีกในภายภาคหน้าหนูขออย่างหนึ่งอย่าให้
น้องที่อาจจะเกิดมาต้องมีชะตากรรมแบบเดียวกันกับหนู ขอให้พ่อกับแม่เป็นเกาะป้องกันภัยให้ลูกแค่หนูต้องสู้
กับชีวิตแรงกดดันของสังคมที่โรงเรียนก็มากพอแล้วหนูต้องมาสู้กับแรงกดดันในครอบครัวหนูสู้ต่อไปไม่ไหวแล้ว
ตัวหนูเองเป็นโรคซึมเศร้ามีแผลในใจตั้งแต่เด็กแม่กับพ่อไม่เคยเชื่อหนูสักครั้งเลยต่อไปนี้หนูไม่อยู่แล้วพ่อกับ
แม่ดูแลตัวเองด้วยนะอย่าทำงานหนักจนเกิดไปเข่อซิงรักพ่อกับแม่มากนะแต่วันนี้เข่อซินไม่ไหวแล้ว ได้แต่หวัง
ว่าโลกใบหน้าคงต้องดีกว่านี้
ถึงเพื่อนคนแรกเพื่อนรักหวังเหล่ยต่อไปนี้เข่อซินไม่อยู่แล้วทำตามความหวังความตั้งใจของตัวเองต่อไปนะเข่อ
ซินจะค่อยมองหวังเหล่ยมาจากบนฟ้าเสมอถ้าวันไหนคิดถึงเข่อซินให้มองขึ้นบนฟ้านะเข่อซินอยู่ตรงนั้นเสมอไม่
ได้จากไปไหน
พอพิมพ์จบแล้วเข่อซินได้โพตส์ข้อความลงในเว้ยป๋อและตัดสินใจโดนตึกในที่สุดเข่อซินก้ได้มีความคิดของเธอ
เองถึงแม้มันจะเป็นวิธีคิดที่ไม่ดีก็ตามเธอต้องการไปใช้ีวิตในโลกใบใหม่ของเธอ
และบทความนี้ก็จบลงแล้ว