เข้าค่ายธรรมมะที่โรงเรียน
ประสบการณ์การเข้าค่ายธรรมะที่โรงเรียนของผมมันไม่ได้ราบรื่นเลยนะครับ
เขาเล่าลือกันว่าโรงเรียนที่ผมเรียนชั้นประถมศึกษาน่ะเป็นป่าช้าเก่า เป็นโรงพยาบาล แล้วก็มาเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด พวกเขาเล่าสืบต่อกันมาว่าอาคารชั้นของเด็กปฐมศึกษาที่สามเคยเป็นห้องดับจิตมาก่อน แต่จำไม่ได้ว่าเป็นห้องไหน คนเจอดีที่ห้องสมุดก็มี แล้วใกล้ๆกับโรงเรียนเราก็เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ก็เคยเป็นป่าช้าเก่ามาก่อนเหมือนกัน
ช่วงกลางวันที่เข้าค่ายธรรมะเหตุการณ์ทุกอย่างปกติดี ทว่าช่วงกลางคืน... เด็กผู้ชายจะได้นอนที่ห้องสมุด มันเป็นห้องใหญ่ๆเลย มืดแล้ว ทุกคนเขาก็นอนกันหมด อาจารย์ที่ดูแลพวกเราที่เห็นว่าพวกเรานอนกันหมดก็พากันนอน
ผมอ่ะอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น จะหลับ แต่ก็ยังไม่หลับ ผมได้ยินเสียงดนตรีไทยลอยมาเข้าหู เป็น เสียงวงปี่พาทย์เลย ขอบอกเอาไว้ก่อนว่าห้องสมุดที่เรานอนอยู่น่ะอยู่ใกล้กับหอประชุมซึ่งมันจะมีเครื่องดนตรีไทยอยู่ในนั้น ผมก็พยายามฟังเอ๊ะมันมาจากทางนั้นหรือเปล่า? ผมฉุกคิดขึ้นได้ว่าหอประชุมถูกจัดให้เป็นที่นอนของพวกผู้หญิง เขากำชับว่าดึกแล้วต้องนอน ถ้านอนแล้วจะมาเล่นวงปี่พาทย์กันได้ไงก่อน ผมเลยลองฟังดีๆอีกรอบ ทีนี้รู้แล้วว่ามันมาจากไหน เสียงมันมาจากอีกโรงเรียนนึงครับ ก็รู้สึกสงสัยในใจ เอ๊ะ มันมีงานอะไรวะ? พอฟังจับใจความได้อีกทีมันเป็นเสียงเพลงปี่พาทย์มอญเหมือนงานศพเลย!! เป็นเพลงธรณีกันแสง เราก็แบบเอาล่ะว้า ใจไม่ดี จะผ่านคืนนี้ไปได้ยังไงเนี่ย?
ซักพัก บรรยากาศรอบตัวเย็นเหยียบอย่างบอกไม่ถูก ตอนนั้นเป็นหน้าหนาวอยู่แล้ว แต่ว่ามันหนาวมากจนผมต้องซุกมือเข้าไปในเสื้อเอาผ้าห่มคลุมหน้า ซักพักผมรู้สึกว่าเหมือนมีใครมายืนอยู่ที่ปลายเท้าของผม ผมก็คิดว่าเป็นอาจารย์มายืนดูเราเพราะเราไม่นอนหรือเปล่า เราก็กลัวโดนอาจารย์ดุ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากรู้ว่าใครมายืนอยู่ตรงปลายเท้ากูวะ? ใช้ปลายเท้ายกผ้าห่มออกดูเล็กน้อย มองลอดเอา มันยังพอมีแสงไฟจากด้านนอกอยู่บ้าง เห็นเป็นเท้าสองข้าง แต่ที่แปลกก็คือเป็นเท้าที่ไม่ใส่ถุงเท้า ที่ข้อเท้าจะมีใส่เป็นกำไลทองคำ เอ๊ะ ใครวะเนี่ย? เท้าคู่นั้นขยับเดิน เดินแบบเหมือนรำเป็นตัวนางอ่ะ เราไม่มีโอกาสได้เห็นช่วงบนเพราะเห็นแค่นั้นก็พอแล้ว ขนลุกเกรียวตั้งแต่ขายันคอแล้วก็ตะแคงหันหน้าไปหาเพื่อนแล้วคุมโปงนอนเลย
ตีห้า... ผมกับเพื่อนๆตื่นนอนเตรียมจะไปอาบน้ำกันแล้ว การเดินไปอาบน้ำจะต้องเดินรัดสนามไปเข้าห้องน้ำที่อยู่หลังตึก ซึ่งศาลามันอยู่คนละทางกับที่จะไปห้องน้ำ ผมกำลังเดินไปกับเพื่อนกลุ่มหนึ่งแล้วหันซ้ายไปเห็นใครบางคนยืนอยู่ข้างศาลา เห็นหน้าไม่ชัด ตัวสูงพอๆกับผม แต่ผมไม่แน่ใจว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ผมพยายามมองเพ่งว่าเขาไปยืนทำอะไรตรงนั้นเพราะว่ามันเป็นคนละทางกันเลย เพื่อนถามมึงมองอะไร? ผมตอบไอ้คนนั้นน่ะแล้วก็ชี้นิ้วไป ไอ้คนนั้นไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว ไปไหนก็ไม่รู้
หลังจากที่สวดมนต์ทำวัดเช้าเสร็จก็จะเป็นเวลาพักทานข้าว เรากับเพื่อนก็ได้มีโอกาสคุยกัน ผมเล่าให้ฟังนะว่าเมื่อคืนเราเจออะไรมาบ้าง เพื่อนก็บอกอ่าฮะ กูก็เจอมาเหมือนกัน มันบอกได้ยินเสียงดนตรีปี่พาทย์มาจากอาคารสามของอีกโรงเรียนนึง ผมก็ฮ๊ะ นี่มึงรู้ยันตำแหน่งอาคารเลยหรอวะ? เพื่อนมันบอกเออ รู้ สมัยก่อนโรงเรียนข้างๆกันเป็นป่าช้าเหมือนกันมีวัดมาสร้างทับที่แล้วก็มีงานศพไรงี้ เพื่อนมันบอกว่าโรงเรียนข้างโรงเรียนเราเนี่ยมันก็เฮี้ยนเหมือนกัน
คืนวันที่สองมันไม่มีอะไรครับ พวกผู้ชายได้ย้ายไปนอนที่หอประชุมส่วนพวกผู้หญิงก็ไปนอนที่ห้องสมุด
หลังจากได้กลับบ้าน ผมมีลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งที่เรียนอยู่โรงเรียนมัธยมใกล้ๆกันนั้น เป็นพี่สาว ผมถามเลยว่าเมื่อวันก่อนที่โรงเรียนของพี่มีงานอะไรป่ะ? พี่ถามกลับว่ามึงถามทำไม? ผมก็เล่าเรื่องที่ผมไปเจอมาให้พี่เขาฟัง พี่สาวบอกไม่ได้มีงานอะไรหรอก มึงแค่โดนผีหลอกแล้วล่ะ
ไม่รู้ว่าจะเป็นความบังเอิญหรือว่าอะไรนะ
หลายปีต่อมาผมได้ย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนมัธยมที่ว่ามีประวัติเป็นวัดมาก่อนเพราะว่ามันอยู่ใกล้บ้าน ผมยังจำเรื่องเมื่อตอนเข้าค่ายธรรมะที่โรงเรียนเก่าได้ดี ผมได้มีโอกาสไปเรียนที่ตึกสาม ตึกที่เป็นประเด็นเนี่ยแหละ มันเป็นอาคารเก่าๆเป็นอาคารไม้ รุ่นพี่เล่าให้ฟังว่ามันน่าจะอยู่มาตั้งแต่แรกเริ่มของโรงเรียนเลย ตึกอื่นมันเป็นปูนหมดแล้ว แต่ตึกนี้ยังเป็นปูนผสมไม้ ดูเก่าๆ มีคราบน้ำ
ตอนกลางวันผมอ่ะชอบมานั่งที่หน้าตึกสาม มันร่มเย็นดี มันมีต้นไม้สูงหลายจุดเลย รุ่นพี่บอกกับผมว่าเห็นว่ามึงชอบมานั่งตรงนี้เดี๋ยวพี่จะเล่าให้ฟัง ตึกนี้มันเป็นนาฏศิลป์ ผมก็ฮ๊ะ จริงดิ?! คือตกใจอ่ะ ที่เพื่อนมันเคยบอกไงว่ามันเคยได้ยินเสียงดนตรีงานศพมาจากตึกนี้ รุ่นพี่ตัวดียังเล่าให้ฟังอีกว่าหลังหกโมงเย็นที่ตึกสามจะไม่มีใครอยู่แล้ว กลับบ้านกันหมด เพราะเจอดีไง บางวันก็จะมาเป็นเสียงดนตรีงานศพแบบที่มึงได้ยินอ่ะ บางวันก็แจ็คพ็อตมาทั้งวงปี่พาทย์ทั้งนางรำ
เรียนที่อาคารอื่นผมไม่เคยเจอเรื่องลี้ลับเลยนะ แต่กลับตึกสามนี่ประจำครับ ผมนั่งทำงานอยู่คนเดียวในห้องผมหันไปมองทางขวาจังหวะหางตาเห็นเก้าอี้ขยับครึก! บางทีนี่งทำงานอยู่กับเพื่อนแล้วก็ปิดประตูห้องเอาไว้ ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูช้าเนิบๆ เราก็เดินไปเปิดประตูห้องเพื่อนมันนึกว่าเราล๊อกประตูห้องหรือเปล่าวะ เปิดออกไปดู ปรากฏว่าไม่มีใคร บางทีก็ได้ยินเป็นเสียงข้างห้องที่กำลังขยับของดังลั่นหลายที เพื่อนมันพูดกับผมว่าไอ้น้ำมึงไปดูดิว่ามันทำอะไรกันกูจะทำงานไม่มีสมาธิเนี่ย ผมก็เดินไปดูจะไปถามว่าพวกมึงทำอะไรกันปรากฏว่าห้องนั้นไม่มีใครอยู่เลย บางทีก็เห็นเป็นเงาดำๆผ่านตาแว๊บเดียว บางทีเดินผ่านห้องหนึ่งได้ยินเสียงของขยับเราก็หันไปดู ไม่มีอะไร ไม่มีใครอยู่ในห้องนั้นเลย การเรียนที่อาคารสามมันทำให้ผมรู้สึกชินกับการเจอผีมาก ฟีลแบบจะมาก็เรื่องของมึงกูชินแล้วไรงี้ ครับเรื่องก็มีอยู่แค่นี้ล่ะครับ
ครั้งหน้าเดี๋ยวผมจะมาเล่าประสบการณ์หลอนๆที่ผมเจอในตอนเข้าค่ายลูกเสือที่สระบุรีเมื่อเจ็ดปีก่อนว่าผมไปเจออะไรมาบ้าง อันนี้ระทึกกว่าตอนเข้าค่ายธรรมะแน่นอนครับ