นิทานวรรณกรรมพื้นบ้าน เรื่อง จำปาสี่ต้น
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเมืองใหญ่เมืองหนึ่งชื่อว่า “ปัญจา” มี “พญาจุลนี” ครองราชบัลลังก์กับเทวีชื่อ “นางอัคคี” พร้อมด้วยสนมนางแก้วหลายหมื่นองค์ เมืองปัญจาเป็นเมืองร่ำรวย มีพร้อมทั้งช้างม้าวัวควาย ข้าวของมากล้น ซึ่งจะได้กล่าวถึงเมืองนี้ในภายหลัง…
ยังมีอีกเมืองหนึ่งกว้างใหญ่ มีความบริบูรณ์ไม่แพ้กันชื่อว่า “เมืองจักรขีน” มีราชาผู้ครองเมืองชื่อว่า “พญาจักรขีน” มีมเหสีชื่อ “นางจันทา” และมีบุตรีชื่อ “ปทุมา” ภายหลังได้ชื่อว่า “คำกลอง” กำลังสาวแรกรุ่น มีความงามดุจพระอินทร์เป็นผู้ปั้นแต่ง
คืนหนึ่งพญาจักรขีน ฝันเห็นสุริยคราส จนท้องฟ้ามืดมิด และฝันว่า ฝนตกหนัก จนน้ำหลากเข้าท่วมเมือง ทั้งช้างม้า หมูหมาเป็ดไก่ ต่างถูกน้ำพัดไหลไป แล้วฝันต่ออีกว่า ตนเองมีไส้ออกจากท้อง ลอยฟูฟ่องไปในอากาศ จากนั้น ก็ฝันประหลาดต่ออีกหลายเรื่อง
เสียงไก่ขันยามเช้า ปลุกพญาจักรขีนให้ตื่น พระองค์รีบสั่งให้เสนา ไปตามโหราจารย์มาด่วน ฝันร้ายนี้ โหราจารย์ทายว่า จะเสียบ้านเสียเมือง มีเคราะห์หนัก พญาจักรขีนได้ฟังดังนั้น ก็ตกใจเป็นอย่างมาก
พระองค์จึงรับสั่ง ให้เสนาสร้างศาลาทานและทำบุญ เพื่อสะเดาะเคราะห์ให้แก่เมือง
แต่สุดท้าย เมืองจักรขีน ก็ไม่พ้นเคราะห์หนัก ด้วยมีพญาฮุ้งยักษ์หลวง หรือเหยี่ยวยักษ์ คู่ผัวเมีย บินมาจับกินคนทั้งเมือง พญาจักรขีน จึงได้ซ่อนนางปทุมา หรือคำกลองผู้เป็นลูก ไว้ในกลองใหญ่ แล้วฝากเทวดาไว้ เพื่อให้รอดพ้นเหยี่ยวยักษ์ หากมีใครมาช่วยเหลือ จะได้มีโอกาสสืบวงศ์ตระกูลเชื้อเมืองไป ในวันข้างหน้าได้
หลังจากเหยี่ยวยักษ์ ได้กินคนทั้งเมืองแล้ว ก็เหลือแต่นางคำกลอง ผู้ซ่อนอยู่ในกลองอย่างเศร้าโศก นางอธิษฐานไหว้เทวดาทุกวัน จนในที่สุด เทวดาส่องญาณลงมาเห็น จึงได้ดลใจพญาจุลนีแห่งเมืองปัญจาออกมาล่าสัตว์ เพื่อจะได้มาช่วยนาง
ระหว่างล่าสัตว์ พญาจุลนี มองเห็นกวางทอง ร่างแปลงของเทวดา จึงได้ตามล่ากวางไป จนหลุดออกจากฝูงเสนาอำมาตย์ และทหารรับใช้
ทหารพากันออกตามหาแต่ก็ไม่พบ จึงพากันกลับเข้าเมือง เผื่อว่าจะเจอกลางทาง พอนางอัคคีเทวีทราบเรื่อง ก็โกรธมาก ถึงกับลั่นปากว่า ถ้าหาพญาจุลนีไม่พบ จะจับตัดหัวให้หมด ทหารจึงรีบพากันออกไปตามหาพญาจุลนีอีกรอบ
พญาจุลนีหลงป่าอยู่หลายวัน จนมาเจอเมืองจักรขีน เมืองร้างผู้คน มีแต่โครงกระดูกกองเต็มไปหมด เมื่อเข้าไปในปราสาท ก็พบกลองใบใหญ่แขวนอยู่กลางห้อง จึงตีกลอง พลันก็ได้ยินร้องดังออกมา พญาจุลนีจึงเอามีดปาดหนังกลองออก และพบกับนางคำกลอง พระองค์ตกหลุมรักทันทีเมื่อแรกเห็น นางคำกลอง เล่าเรื่องเหยี่ยวยักษ์จับคนกินเกือบหมด พญาจุลนี จึงได้รีบพานางคำกลอง หนีออกจากเมืองอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทางกลับเมือง ทั้งสอง ได้เจอกับเหล่าเสนาพลทหารที่ตามหาอยู่ เสนาทหารชื่นชมยินดี พากันจัดแต่งขบวน เชิญเสด็จกลับเข้าเมือง เมื่อถึงเมือง นางอัคคีกับนางสนมต่างๆ ได้ออกมารับเสด็จ พญาจุลนี ทรงเล่าเรื่องของนางคำกลอง และกล่าวว่า พระองค์จะรับมาเป็นเทวีร่วมกับนางอัคคี
พญาจุลนี สร้างปราสาทให้นางอยู่ต่างหาก นางคำกลอง เป็นที่โปรดปรานของพญาจุลนีมาก พระองค์เทียวมาหาทุกค่ำคืน ส่วนนางอัคคีเทวีอีกองค์นั้น แทบไม่ได้เข้าไปหาเลย ต่อมาพญาจุลนีเกิดวิตกกังวลเรื่องไม่มีลูก กลัวจะไม่มีใครครองเมืองต่อ จึงให้นางอัคคีและนางคำกลอง อธิษฐานขอลูกกับเทวดา
นางอัคคีเทวี ไหว้เทวดาขอลูก แต่ด้วยความใจบาปของนาง จึงได้ขอให้นางคำกลอง อย่ามีผู้ประเสริฐมาเกิดด้วย ขอให้นางได้แทน ด้วยนางก็เป็นเชื้อสายของเมือง ถ้าสมหวังแล้ว นางจะฆ่าวัวฆ่าควายมาเซ่นสังเวย เทวดาได้ฟังดังนั้น จึงไม่มีใครอยากมาเกิดกับนาง
ฝ่ายนางคำกลอง เมื่อตะวันเริ่มตกดิน นางจึงเข้าสู่ห้อง จุดธูปเทียน สมาทาน ตั้งไตรสรณคมน์เป็นที่พึ่ง แล้วอ้อนวอนเทวดาทุกแห่ง ด้วยนางเป็นกำพร้า พลัดพรากจากเมืองมา พ่อแม่ก็ตายหมดแล้ว ขอพระอินทร์ ทรงบันดาลให้สมหวัง แล้วนางจะถวายของหลายสิ่ง
พระอินทร์ ได้ให้เทวดาสี่องค์ ที่ถึงเวลาจุติ ไปเกิดกับนางคำกลอง นางคำกลองฝันเห็นพระฤษี ถือพระขรรค์แก้วมณีสี่ลูก ที่มีสีแตกต่างกันไป นางรับเอามาแล้วกลืนกินเข้าไป ต่อมาฝันใหม่ว่า ไส้ออกจากท้องตัวเอง แล้วโดนหมาดำคาบไปทั้งไส้ทั้งลูกแก้ว และฝันเรื่องอื่นๆ ต่ออีก จนสะดุ้งตื่น นางได้เล่าความฝันให้พญาจุลนีฟัง พญาจุลนีกล่าวว่าเป็นฝันดี จะได้ลูกสืบสกุล ไม่ต้องกังวล จากนั้นนางก็ตั้งครรภ์
นางอัคคีเทวี พอได้ข่าวนางคำกลองมีลูกก็คับแค้นใจ หาอุบายทำลายลูกในท้องของนางคำกลอง นางเริ่มให้สิ่งของมีค่าซื้อใจเหล่าทาสี ซึ่งต่างดีใจรับสินบน และยังเห็นใจนางอัคคี ที่ไม่ได้รับความโปรดปราณจากพญาจุลนีเหมือนเก่า จึงสัญญาว่า จะช่วยฆ่าลูกของนางคำกลอง และปกปิดเป็นความลับ จากนั้นนางอัคคี ก็เริ่มทำดีมาดูแลนางคำกลอง เหล่าทาสีบอกนางว่า กลัวจะเป็นลม เพราะไม่เคยเห็นเลือด จึงจะปิดตานางไว้ พอนางคลอดลูก เขาก็เอาลูกหมา มาสลับสับเปลี่ยนกับทารกทั้งสี่ ทารกทั้งสี่องค์ ถูกนำไปใส่ไห พวกทาสีนำไปถ่วงลงน้ำหวังฆ่าให้ตาย
นางอัคคี นำเอาลูกหมาใส่พาน ขึ้นไปกราบทูลพญาจุลนีว่า นางคำกลองเมียที่รักของพระองค์ ได้ให้กำเนิดลูกแต่ผิดเหล่า ได้ลูกหมา พวกนางเคยเห็นนางคำกลอง เข้าห้องน้ำอาบสรง แล้วเห็นสุนัขตามเข้าไปด้วย พญาจุลนีพอได้ฟังดังนั้น เหมือนไฟแผดเผา หลงกลอุบาย จึงสั่งให้ทาสี เอาลูกหมาไปทิ้งลงน้ำ ตายเกลี้ยงไม่เหลือ
ด้วยความกริ้วโกรธ พญาจุลนี ประกาศเรียกหมู่เสนามาประชุม ด้วยนางคำกลองได้ให้กำเนิดลูกเป็นหมา ถือเป็นกาลีบ้านกาลีเมือง จะลงโทษแบบใด จะเอาไปไหลเรือ หรือเนรเทศออกจากเมืองดี เสนาทั้งหลาย ต่างก็ทัดทานว่า นางคำกลองเคยเป็นเทวีมาก่อน หากชายใดได้ไปเป็นเมีย เขาจะกล่าวว่าได้เมียพญามาเป็นคู่ ถ้าจะขับนางไป ควรจะให้ฐานะต่ำลง ไปเป็นข้าเลี้ยงหมูแทน นางคำกลองพูดไม่ออก ได้แต่ร้องไห้
กล่าวถึงไหที่บรรจุทารก มันลอยทวนน้ำ ขึ้นไปติดยังท่าน้ำของอุทยานราชวัง ที่มีตาและยายดูแล ยายได้ลงไปตักน้ำ จึงมองเห็นไหอยู่บริเวณท่าน้ำไม่ไกลนัก ยายพยายามผลักไหออก แต่ไหกลับพัดวนเข้ามา จึงไปตามให้ตามาเอาขึ้น พอทั้งสองเปิดไหออก ก็เห็นทารกทั้งสี่ ที่มีผิวพรรณงดงาม ตาและยายที่ไม่มีลูก จึงดีใจมาก ทั้งสองได้เลี้ยงทารกไว้ โดยอาศัยยาหม้อ ที่เทวดาได้แอบใส่ยาทิพย์ เพื่อให้ยายดื่มกินแล้วมีน้ำนม
ตากับยาย เลี้ยงสี่กุมารจนเติบใหญ่ และเพลิดเพลิน จนลืมงานถวายดอกไม้เข้าวัง นางอัคคีเห็นว่าไม่มีดอกไม้จากอุทยานมานานแล้ว จึงใช้ให้สาวใช้ไปดู สาวใช้เห็นกุมารทั้งหมด จึงรีบกลับไปบอกนางอัคคี นางอัคคีจึงรู้ว่าเด็กนั้นยังไม่ตาย จึงวางแผนฆ่าอีกครั้ง วันหนึ่งตากับยายออกไปซื้อของในเมือง โดยทิ้งเหล่ากุมารไว้เพียงลำพัง ขบวนนางอัคคีมาถึง ก็นำขนมมียาพิษให้เด็กทั้งหมดกิน โดยหลอกว่าตากับยายฝากมาให้ เมื่อตากับยายกลับมาถึง ก็ต้องพบว่า บ้านตนเงียบ มองไปก็เห็นเด็กๆ นอนอยู่บนพื้นก็คิดว่าหลับ เมื่อเข้าไปจับตัวยังไม่ทันไร ก็พากันร้องไห้อย่างเสียสติ เพราะเหล่ากุมารสิ้นลมหายใจไปแล้ว
ตากับยาย เผาศพกุมารน้อยทั้งสี่ พอรุ่งเช้า จึงพากันออกไปเก็บกระดูกบริเวณนั้น ปรากฏมีต้นจำปาเกิดบนกองฟอนสี่ต้น มีลักษณะต่างกันออกไป คล้ายกับผิวลูกตน ตากับยายมั่นใจว่า ต้นจำปาที่เห็นคือเหล่ากุมารกลับชาติมาเกิด จึงหวงแหนและดูแลรักษาเป็นอย่างดี
หลายวันผ่านไป นางอัคคีสงสัยว่ากุมารตายจริงไหม จึงให้นางรับใช้ไปแอบดู เมื่อเขาเห็นต้นจำปาสี่ต้น ก็กลับไปรายงานนางอัคคี นางจึงรีบไปยังอุทยานเพื่อกำจัดต้นจำปา
เมื่อขบวนนางอัคคีไปถึงอุทยาน นางก็สั่งให้สาวใช้ไปขอดอกจำปา แต่ตายายไม่ยอมให้ นางอัคคีโกรธมาก ที่ตายายไม่รู้ที่ต่ำที่สูง จึงสั่งโบย แล้วสั่งให้ไปถอนต้นจำปาขึ้นมา พอนางได้ต้นจำปา ก็ให้เหล่าทาสา นำต้นจำปามัดใส่กัน ไปทิ้งลงในแม่น้ำ จากนั้นนางก็ขึ้นช้างกลับเข้าวัง รู้สึกสบายใจว่า ตนหมดเสี้ยนหนามแล้ว ส่วนต้นจำปาทั้งสี่ต้น ที่ลอยอยู่ในแม่น้ำ ครุฑและนาคพากันช่วยไว้ไม่ให้จม
จำปาทั้งสี่ต้น ได้ไหลไกลออกไปอีกหลายวัน จนไปถึงอาศรมของปู่ฤษีตาไฟ ที่อาศัยอยู่ชานเมือง และเมื่อเณรลูกศิษย์ ได้ออกมาหาบเอาน้ำจากท่าน้ำ ไปให้ปู่ฤาษีเช่นเคย ก็ได้มองเห็นต้นจำปา ที่ไหลลอยวนเข้ามายังท่าน้ำ พอหักดูกิ่ง ก็เจอน้ำไหลออกมา คล้ายเลือดมนุษย์ จึงรีบไปบอกปู่ฤษีตาไฟ ฤษีตาไฟ จึงให้เณร ไปพากันแบกเอาต้นจำปาทั้งสี่ต้นมาที่อาศรม และทำการชุบชีวิตโดยเทน้ำในคนโทลงไป ต้นจำปาจึงกลับกลายเป็นกุมารน้อยทั้งสี่องค์ ทั้งหมดมีผิวพรรณงดงาม มีผู้น้องที่นิ้วก้อยกุด เพราะเณรเด็ดกิ่งออกจากต้นจำปา ฤษีตาไฟเห็นดังนั้น จึงเอาเทียนขี้ผึ้งมาต่อนิ้วให้ แล้วเสกคาถาใส่ จนเกิดเป็นนิ้วที่ชี้เป็นชี้ตายได้
พระฤษีให้ชื่อกุมารทั้งสี่ ตามสีของต้นดอกไม้ที่แตกต่างกัน โดยผู้พี่คนโตนั้นให้ชื่อว่า “เสตราช” คนที่สองชื่อว่า “ปีตราช” คนที่สามชื่อว่า “สุวรรณกุมาร” และคนสุดท้องชื่อว่า “เพชรราช” ฤษีตาไฟรับเอาเป็นลูก พร้อมกับสอนอาคมศาสตร์ให้
กล่าวถึงนางคำกลอง ผู้เป็นแม่ของสี่กุมาร ซึ่งตอนนี้ เป็นทาสเลี้ยงหมู ที่ถูกเขาทุบตี ได้ไหว้อ้อนวอนพระอินทร์ให้ช่วย เมื่อพระองค์ส่องญาณมาเห็น จึงแปลงกายเป็นตาผ้าขาว นั่งเรือสำเภามารับสี่กุมาร ฤษีตาไฟ เห็นด้วยตาทิพย์ รู้ว่าเป็นพระอินทร์ จึงให้สี่กุมาร เดินทางกลับไปยังบ้านเกิด เพื่อช่วยมารดา พร้อมกันนั้นได้มอบอาวุธให้ มีทั้งพระขรรค์แก้วและธนู ที่มีอานุภาพร้ายแรง
ตาผ้าขาวและกุมารทั้งสี่ เดินทางโดยเรือสำเภาหลายวัน จนเข้าสู่เขตเมืองพญายักษ์สิงหฬ พญายักษ์ มีลูกสาวสวยเป็นมนุษย์ และกินอาหารเหมือนมนุษย์ ทำให้ไม่มีกลิ่นคาวเหมือนยักษ์ นางชื่อว่า “คันธมาลา” ยักษ์สิงหฬ ได้ให้ลูกน้อง แปลงเป็นนกกระจอกไปดูลาดเลา พอรู้ว่าเป็นคนก็ดีใจ ว่าจะมีอาหารมื้อเย็นแล้ว จึงให้ลูกน้อง แปลงกายเป็นคนพายเรือ ออกไปหลอกล่อด้วยของหวานและผลไม้
เสตราชพี่ชายคนโต ได้รับมอบหมายจากตาผ้าขาว ให้จัดการยักษ์ จึงมาดักรออยู่หน้าเรือ พอยักษ์มาถึง เจรจากันได้ไม่เท่าไหร่ ก็รีบร่ายมนต์จับยักษ์มัดลอยขึ้นฟ้า ก่อนตัดคอยักษ์ขาดสะบันตกลงน้ำจนเป็นสีแดงฉาน ยักษ์ที่โดนตัดคอตกใจกลัว รีบคว้าเอาหัวตัวเองมาต่อ แล้วหนีกลับไปหาพญายักษ์ทันที พญายักษ์โกรธมาก กระทืบพื้นท้องพระโรง มือก็ตีหมอนด้วยความเคียดแค้น
พญายักษ์ ได้สั่งให้ตีฆ้องลั่นกลองรบ พวกยักษ์พวกผี มาจนเต็มไปหมด เสตราช ฟันคอผีคอยักษ์ขาดกระเด็นลงน้ำ แต่มันก็จับเอาหัวมาต่อใหม่ แต่พวกมันก็พากันหวาดกลัวเสตราชมาก พญายักษ์เห็นดังนั้น จึงเงื้อธนูทองกับหอกขึ้น เพื่อจะฆ่าเสตราช ต่างฝ่ายต่อสู้จนยักษ์สิงหฬเริ่มอ่อนแรง จึงเป่ามนต์ให้ทหารที่ตายไปฟื้นคืนชีพ ตาผ้าขาวจึงให้เพชรราชผู้เป็นน้องเข้าไปช่วย เพชรราชใช้นิ้วชี้จนตายหมด เหลือแต่พญายักษ์สิงหฬ ที่ยอมแพ้ในที่สุด พญายักษ์ได้ถวายเมืองและลูกสาวให้เสตราช ตาผ้าขาวจึงให้เพชรราชชี้นิ้วคืนชีพให้ทุกตน
พญายักษ์สิงหฬ นำนางคันธมาลามาถวาย เสตราช เมื่อแรกเห็นนางก็รัก และรับนางไว้ ก่อนอภิเษกขึ้นครองราชย์เมืองยักษ์ แต่เมื่อหลายวันผ่านไป ก็ต้องลานางไปยังเมืองปัญจา โดยสัญญาจะกลับคืนมาในเวลาไม่นาน และขอให้พญายักษ์สิงหฬ ดูแลบ้านเมืองแทน โดยเสตราช ได้ต่อเรือสำเภาทองลำใหม่เพื่อเดินทาง เพิ่มอีกหนึ่งลำ
ขบวนเรือสำเภาทองได้เดินทางไปถึงเมืองใหญ่ ชื่อว่า “โกฏิยนคร” มีพญายักษ์ใหญ่ผู้โหดร้ายปกครองอยู่ พญายักษ์มีลูกสาวสวย ที่เกิดในสวนดอกไม้ของอุทยาน จึงได้ชื่อว่า “ปุสสามาลี” พญายักษ์พอรู้ว่ามีมนุษย์ล่องเรือมา ก็สั่งให้ทหารยักษ์ ไปจับตัวมนุษย์ทั้งหมดมาให้มันกิน
ตาผ้าขาว ให้ปีตราช พี่ชายคนรอง เตรียมอาวุธไปสู้ ไม่นานหมู่ยักษ์และผี ก็มาอย่างมืดฟ้ามัวดิน ปีตราชใช้ดาบฟันคอขาด แต่ยักษ์ก็จับกลับมาต่อกันได้อีก ปีตราชเข้าต่อสู้ พร้อมทั้งเสกฝูงงูใหญ่ขึ้นมาฉกกัดเหล่ายักษ์ แม่ทัพยักษ์จึงเสกครุฑมาไล่กินงู ต่างคนต่างประลองเวท สุดท้ายเมื่อการรบดูท่าจะยืดเยื้อ ตาผ้าขาวจึงให้เพชรราชออกไปช่วย เพชรราช ใช้นิ้วชี้จนตายกันหมดรวมทั้งแม่ทัพยักษ์
พญายักษ์โกรธ และโศกเศร้ามาก ที่ลูกน้องพากันตายไปหมด ครั้นจะไปรบก็ไม่มีพลทหาร จึงตัดสินใจขอยอมศึก โดยแปลงกายเป็นยักษ์หนุ่ม พาพลยักษ์ที่เหลือ แต่งขันไปกราบไหว้ ขอให้ปีตราชไว้ชีวิต พร้อมท้้งยกเมืองและลูกสาวให้ ปีตราชเห็นว่ายักษ์ยอมแพ้แล้ว จึงให้เพชรราชคืนชีพทั้งหมด ปีตราชได้ขึ้นนั่งครองเมือง และอภิเษกกับนางปุสสามาลี แต่ไม่นานก็ต้องออกเดินทางไปช่วยมารดา พญายักษ์จึงได้เนรมิตเรือสำเภาแก้ว พร้อมทั้งพลทหารยักษ์ ให้ติดตามไปช่วย
เรือทั้งสามลำเข้าเขตเมืองจำปา ซึ่งเป็นเมืองมนุษย์ ตาผ้าขาว ร่างแปลงของพระอินทร์ ได้ร่ายมนต์กำบังเรือ และผ่านด่านเข้าสู่เวิ้งน้ำกลางเมือง พร้อมทอดสมออยู่ที่นั่น พอรุ่งสางเรือก็ปรากฏ ชาวเมืองพากันแตกตื่น เจ้าเมืองจำปา จึงสั่งทหารพร้อมหอกง้าว ปืนใหญ่ ออกไปล้อมเรือไว้
ฝ่ายตาผาขาว จึงได้ให้สุวรรณราช พี่ชายคนที่สามออกไปรบ ทหารเมืองจำปาเปิดศึกยิงปืนใหญ่ ทั้งหอกง้าวพุ่งใส่ แต่สุวรรณราช ก็หลบหลีกได้ และใช้ดาบฟันคอเหล่าทหารขาดกระเด็น จากนั้นก็ยิงศรออกไป ลูกศรได้บินเข้าเสียบร่างพลทหารรวมถึงชาวเมือง ตายเกลื่อนเป็นจำนวนมาก
เจ้าเมือง ได้แต่งขันออกไปขอยอมแพ้และถวายเมืองให้ พร้อมมอบนางสุวรรณมาลีลูกสาว ให้เป็นคู่ครอง สุวรรณราชรับไว้ แต่มอบเมืองคืน เพราะตนนั้นยังเยาว์ ไม่รู้การปกครองเมือง ส่วนคนตายก็ทำให้ฟื้นคืนชีพทุกคน เมื่อราชาเมืองจำปาได้ฟังก็ดีใจ ยกมือไหว้นบนอบ
สุวรรณราชครองเมืองได้ไม่นาน ก็ต้องลานางสุวรรณมาลี ออกไปตามหามารดา โดยเจ้าเมืองจำปาได้ให้เรือสำเภาทองอีกลำ พร้อมผู้รับใช้จำนวนหนึ่งไปด้วย
ขบวนเรือแล่นอยู่หลายวัน ก็เข้าเขตเมืองปัญจา ตาผ้าขาวร่างแปลงพระอินทร์ ก็จะกลับสู่สวรรค์ ตาผ้าขาวได้สั่งว่า ถ้าเข้าเขตเมืองให้กำบังเรืออย่าให้ใครเห็น เรือล่องมาจนถึงอุทยานหลวง เพชรราชไปตามหาตาและยาย เมื่อพบจึงนำกลับขึ้นเรือ ตากับยายเฒ่า ได้เล่าถึงพญาจุลนี เจ้าเมืองได้ขับนางคำกลองออกจากวัง ไปเป็นข้าเลี้ยงหมูแสนทุกข์ยากเวทนา เพชรราช จึงอาสาไปดูลาดเลาของพระบิดากับเทวีก่อน เมื่อเขาไปถึงเมือง ได้ร่ายมนต์สะกดให้ทุกสิ่งหยุดนิ่ง แล้วเข้าไปในห้องบรรทมของพระบิดา เขียนสาส์นไว้ว่าพระองค์ปกครองบ้านเมืองไม่เป็นธรรม ลงท้ายให้เอานางคำกลองมาคืน จากนั้นรอจนรุ่งสางจึงไปหามารดา เมื่อสืบดูรู้แน่ว่าใช่นาง จึงได้พากลับเรือ
เมื่อนางคำกลอง ได้เจอลูกทั้งสี่อีกครั้ง นางดีใจมากร้องไห้จนสลบ และขอให้ออกจากเมืองปัญจาโดยเร็ว แต่สี่พี่น้องขอแก้แค้นเสียก่อน จึงทำให้มนต์ที่กำบังเรือนั้นคลายลง ชาวเมืองแตกตื่นที่เห็นเรือทอดสมออยู่ใกล้เมือง ทั้งพวกยักษ์ ก็ได้รับคำสั่งจากเพชรราชให้กลับร่างดูน่ากลัว พวกเสนาเห็นจึงรีบหนีเข้าวังไปแจ้งพญาจุลนี พญาจุลนีที่รับสาส์นแล้ว จึงรีบสั่งให้ไปหาตัวนางคำกลองไปคืน แต่หาไม่เจอ จึงได้ส่งสาวใช้ที่หน้าตาเหมือนไปแทน แต่เพชรราชก็รู้ล่วงหน้าว่าเสนาจะส่งตัวปลอมมาให้ จึงเนรมิตสะพานเข้ามายังเรือ จากท่าน้ำอย่างสวยงาม แล้วให้ทุกคนแอบฟังว่า เสนาจะพากันโกหกว่าอย่างไร
พวกเสนามาถึงท่าน้ำก็ประหลาดใจ ที่มีสะพานสวยงามทอดไปยังเรือ พวกเขากำลังจะนำนางคำกลองตัวปลอมมามอบให้ เพชรราชที่รู้อยู่แล้วก็โกรธมาก พวกเสนาตัวสั่น รีบเอานางตัวปลอมกลับไป แล้วไปทูลพญาจุลนี พญาจุลนีหมดหนทาง หานางคำกลองตัวจริงมาคืน จึงตัดสินใจจะถวายบ้านเมืองให้แทน จึงสั่งให้พวกเสนาอำมาตย์ แต่งดอกไม้เงินดอกไม้ทอง แล้วพระองค์จะถวายเมือง
เมื่อพญาจุลนีไปถึงเรือ สี่กุมารจึงส่งคนออกไปต้อนรับ และเชิญพระองค์นั่งบัลลังก์ จากนั้นเมื่อพระองค์รู้สึกผ่อนคลาย สี่กุมารจึงออกมาแล้วก้มกราบไหว้พ่อของตน และบอกว่า ตนนั้นเป็นลูกของพญาจุลนี ที่เกิดกับนางคำกลอง เมื่อทรงรู้ความจริง จึงให้เสนาไปตามนางอัคคี
เมื่อเสนาทหารเข้าไปถึงวังนางอัคคี เสนาได้แจ้งโองการแล้วเชิญตัวนางไป เมื่อนางโดนซักหาความจริง ก็ได้สารภาพว่า ทำไปโดยความอิจฉาริษยา และเคียดแค้นนางคำกลอง ที่พญาจุลนีรักมากกว่า แล้วจึงเล่าแผนการทั้งหมดที่ได้ทำไป
พอพญาจุลนี ได้ฟังที่นางเล่าทั้งหมด ก็โกรธจนตาแดง เท้ากระทืบพื้น หันไปบอกทหารให้จับ แล้วก็สั่งให้ฆ่าทาสีทาสาที่รับสินบน ทหารจับนางอัคคี แล้วผูกมัด พร้อมทั้งเอาตีนถีบหน้าทุบตีนาง จนเลือดอาบ บริวารทั้งหมดก็ถูกจับ สี่กุมารมองเห็นจึงคิดอยู่ในใจว่า จะเป็นเวรกรรมต่อไป จึงพากันก้มกราบขอพระบิดาให้ยกเว้นโทษ โดยแค่ให้เอาไปเป็นทาส เหมือนกับที่นางคำกลองเคยเป็นก็พอ พญาจุลนีจึงทำตามที่กุมารทั้งสี่ได้ขอไว้
พญาจุลนี อยากพบนางคำกลอง แต่ไม่รู้ว่านางไปอยู่ที่ใด เมื่อสี่กุมารได้ฟังดังนั้นจึงบอกว่า ได้นำพระมารดามาอยู่ด้วยแล้ว จึงได้ไปเชิญนางคำกลอง ออกมาพบพญาจุลนี นางคำกลอง พอได้เห็นพญาจุลนีก็ตัดพ้อต่อว่า และจะไม่ยอมคืนดี สี่พี่น้องจึงได้อ้อนวอน เพราะจะเป็นเวรเป็นกรรมต่อกัน ตอนนี้กรรมเก่านั้นก็ได้หมดสิ้นไปแล้ว ขอให้พระมารดา ทรงทำบุญละเว้นบาปกรรมเสียเถิด นางคำกลองจึงยอม
เหล่าเสนา แห่เสลี่ยงทองคำของพญาจุลนี พร้อมนางคำกลองเข้าสู่วัง เพื่ออภิเษกนางขึ้นเป็นมเหสี ชาวเมืองหลั่งไหลพากันเข้ามายินดี เสตราช ปีตราช สุวรรณราช และเพชรราช เดินเท้าตามกันเข้าเมือง พร้อมด้วยเครื่องดนตรีปีพาทย์กลองฆ้องแคนขลุ่ยซอแห่แหนเข้าเมือง
เมื่อถึงเมือง พญาจุลนี จึงเอ่ยปากจะให้บ้านเมืองแก่บุตรทั้งสี่ แต่ทั้งหมดถวายคืน และกล่าวว่าหากมีศึกสงครามก็พร้อมจะมาช่วย เมื่อเสร็จสิ้นงานสมโภชน์ สามกุมารผู้พี่ได้ลากลับไปครองเมืองตนเอง เหลือเพียงเพชรราชน้องคนสุดท้อง ที่คอยการสืบต่อเมืองจากพระบิดา
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันเวลาผ่านไป เพชรราชที่ไม่มีคู่ครอง ก็รู้สึกเหงาและเบื่อหน่าย จึงได้ขอลาพระบิดาและพระมารดา เพื่อออกเดินทางท่องเที่ยว
กล่าวถึงคู่ครองของเพชรราช เมื่อคราวลงมาจุติ กระแสลมได้พัดนาง ไปตกใส่เกสรดอกบัว ในสระน้ำของพระฤษีที่ป่าหิมพานต์ นางจึงเป็นทารกที่เกิดจากดอกบัว พระฤษีจึงให้ชื่อว่า “ปทุมเกสร” ผู้มีใบหน้างดงาม ผมหอมเหมือนดังดอกบัว และช่างพูดช่างเจรจา พอโตขึ้นเป็นสาว พระฤษีก็ได้เนรมิตปราสาทให้อาศัย อยู่บริเวณริมสระดอกบัว
วันหนึ่ง เพชรราชเดินทางท่องเที่ยว มาจนถึงสระดอกบัว ก็มองไปเห็นปราสาทของนางปทุมเกสร จึงเข้าไปสำรวจและพบกับนางปทุมเกสร เพชรราชรู้สึกชอบพอนางเป็นอย่างมาก จึงขอให้นางมาเป็นคู่ครอง เพชรราชได้ไปขอนางกับพระฤษี พระฤษีจึงได้อวยชัยให้พร ให้ทั้งสองครองคู่กัน ทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข มาเป็นเวลาหลายเดือน จนนางปทุมเกสรตั้งครรภ์ได้สามเดือน นางเกรงว่า จะไม่สามารถดูแลตัวเองและสามีได้ ทั้งสองจึงได้ไปลาพระฤษี เพื่อจะกลับเมืองปัญจา
เพชรราช พานางปทุมเกสร เหาะกลับเมืองปัญจา การเดินทางเป็นเวลาหลายวันหลายคืน เพชรราชพานางปทุมเกสร เที่ยวชมธรรมชาติตามทาง แล้วทั้งสองก็ได้ลงหยุดพักหลับนอน ในป่าเขตเมืองหนึ่ง ซึ่งเป็นเมืองของ “พันธมหายักษ์” ยักษ์ตนนี้มีลูกสาวชื่อ “อุษามาลา” เกิดอยู่ในเกสรดอกไม้ในอุทยาน นางเป็นมนุษย์ กินแต่ผลหมากรากไม้เป็นอาหาร พันธมหายักษ์เลี้ยงเป็นลูก ดูแลอย่างดี อยู่มาวันหนึ่งพันธมหายักษ์ ได้เหาะเที่ยวชมป่า แล้วพบกับเพชรราชและนางปทุมเกสร ซึ่งนอนหลับอยู่ พันธมหายักษ์ได้หลงรักนางปทุมเกสร จึงร่ายมนต์ให้เพชรราชนอนหลับสนิท แล้วอุ้มเอานางปทุมเกสร เหาะกลับไปยังวังของตน
นางปทุมเกสรตื่นขึ้นมาก็พบว่า ตัวเองอยู่เมืองยักษ์ พันธมหายักษ์จะเอานางเป็นเมีย นางปฏิเสธไม่ได้ จึงออกอุบายเพื่อถ่วงเวลา โดยขอให้ผ้าขาดก่อนสักสามปี จึงจะได้ไม่เป็นเวรกรรมกับผัวเก่า ยักษ์รู้สึกยินดี จึงได้ตกแต่งปราสาทให้นางอยู่ ผ่านไปหลายวัน นางคิดถึงเพชรราช จึงได้ยกมือไหว้ระลึกถึงพระฤษีและไหว้วอนเทวดา จากนั้น นางจึงพยายามหลบหนีออกจากวัง โดยเทวดาได้ช่วยกำบังกายนางไว้ ทำให้นาง สามารถกลับถึงปราสาทตนเองได้ในสามวัน
กล่าวถึงเพชรราช ตื่นขึ้นมา ไม่เห็นนางปทุมเกสร จึงออกตามหา และมาพบกับพวกยักษ์ ที่กำลังออกตามหานางอยู่เช่นกัน พอยักษ์เห็นเพชรราช ก็อยากจับกิน เพชรราชไม่อยากยุ่งกับยักษ์ จึงเตือนว่าถ้าไม่หยุดก็จะ “เล่น” ต่อสู้ด้วยก็ได้ หัวหน้าเสนายักษ์ชื่อ “พันธเวส” ได้ฟังดังนั้นก็โกรธมาก สั่งให้พวกผีมารล้อมเพชรราช แต่ผีมารถูกฆ่าตายกระจัดกระจายแตกพ่าย ส่วนพันธเวสกำตะบองเข้าสู้ แต่ด้วยความที่เห็นพลเสนาโดนฆ่าจำนวนมาก สู้ไม่ได้ จึงได้ให้พลทหาร กลับไปบอกพันธมหายักษ์
กล่าวถึงนางปทุมเกสร พอกลับมาถึงก็ไปอาศรม และได้เล่าเหตุการณ์ให้พระฤษีฟัง เล่าไปก็ร้องไห้ไป พระฤษีจึงปลอบว่า หากหมดเคราะห์กรรมเมื่อไหร่ เพชรราชก็จะกลับมาหา นางปทุมเกสรได้ฟังดังนั้นจึงหายโศกเศร้า
พวกพลทหารยักษ์ นำความกลับไปบอกพันธมหายักษ์ พันธมหายักษ์โกรธมากจนตัวแดง จึงลงไปต่อสู้กับเพชรราชด้วยตนเอง แต่ในที่สุดพันธมหายักษ์ก็พ่ายแพ้ เพราะเพชรราช ชี้นิ้วทำให้ตัวแข็ง ตกลงมาแตกบนดิน ทำให้พันธมหายักษ์ เหลือเพียงแต่หัวกับสองแขนเท่านั้น เพชรราชเห็นว่าแพ้แล้ว จึงจะคืนร่างให้พันธมหายักษ์และยักษ์ทั้งหมด แต่ด้วยความอับอายที่พ่ายแพ้ พันธมหายักษ์จึงขอให้ฆ่าตนเสีย ไม่เช่นนั้นจะจองเวรตลอดไป ทำให้เพชรราชจำเป็นต้องทำตาม โดยปลุกชีพยักษ์ผีทั้งหมดมาเป็นประจักษ์พยาน พวกบริวารยักษ์ ต่างกลัวเพชรราชเป็นอย่างมาก เพชรราชกล่าวว่า ไม่ได้ต้องการฆ่าใคร แค่จะมาเอาเมียคืน เสนายักษ์จึงเล่าว่านางปทุมเกสรได้หนีไปแล้ว
เพชรราช ได้จัดงานถวายพระเพลิงพันธมหายักษ์ เสนายักษ์ ได้ปรึกษานางเทวีผุสสวงศ์ มเหสีของพันธมหายักษ์ และต่างก็เห็นพ้อง ให้เพชรราชขึ้นเป็นเจ้าเมืองแทน พร้อมยกนางอุษามาลาให้เป็นมเหสี
มหรสพ เป็นไปตลอดสามวันสามคืน เพื่อฉลองการขึ้นครองราชย์ และการอภิเษกสมรส เพชรราชได้ถือโอกาสนี้ สั่งสอนให้มารกลายเป็นคนดี ไม่สร้างเวรสร้างกรรม บริวารในเมืองต่างก็มีความสุขมากขึ้น
เวลาผ่านไปหลายเดือน นางอุษามาลาก็ท้องได้สามเดือน ตกดึกคืนหนึ่ง เพชรราชสะดุ้งตื่น แล้วก็คิดถึงนางปทุมเกสร ที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย จึงได้บอกนางอุษามาลาว่าจะไปตามหา แม้ว่านางอุษามาลาจะขอให้รอลูกคลอดก่อน แต่ในที่สุดก็ห้ามไม่ได้ เพชรราชออกเดินทางเพื่อตามหานางปทุมเกสร
กล่าวถึงเมืองจักรขีน บ้านเกิดของนางคำกลอง ตอนนี้ผู้คนตายหมด เหลือแต่เทวดารักษา เทวดาจึงปรึกษากันว่า ควรจะไปตามเพชรราชให้กลับมายังเมืองจักรขีน จึงมอบให้เทวดาสี่องค์ไปหาเพชรราช
เพชรราช ที่กำลังเดินทางไปหาพระฤษี เพื่อสอบถามหานางปทุมเกสร ก็ถูกเทวดาเมืองจักรขีนบังตา ให้มองไม่เห็นอาศรม จึงเหาะเลยไปจนถึงเมืองจักรขีน บ้านเกิดของนางคำกลองผู้เป็นมารดาแทน ในยามพลบค่ำ เมื่อเพชรราชนอนพัก เหล่าเทวดาทั้งสี่องค์ ก็ได้ลงมาคุ้มครองเพชรราชจากภูติผีปีศาจ จนกว่าเพชรราชมาถึงเมืองจักรขีน
เพชรราชมาถึงเมืองจักรขีนแล้ว ก็มองเห็นแต่เมืองร้างและกองโครงกระดูก เพราะไม่รู้ว่ามีเหตุร้ายอะไร เพชรราช จึงตัดสินใจชุบชีวิตโครงกระดูกสองโครงขึ้นมา เพื่อสอบถาม เมื่อโครงกระดูกได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมา เพชรราชก็พบว่า นี่คือตาและยายของเขา ซึ่งเป็นกษัตริย์และมเหสีของเมืองจักรขีน ทั้งสอง ได้เล่าเรื่องที่ถูกเหยี่ยวยักษ์จับกินทั้งเมือง จนต้องเอานางคำกลองใส่ไว้ในกลองเพื่อให้หนีรอด จากนั้นเพชรราช จึงได้ชุบชีวิตชาวเมือง และสัตว์เลี้ยงทั้งหมดกลับคืนมา
พวกผู้รับใช้ในวัง ก็พากันเข้าสู่ท้องพระโรง แล้วทูลถามพระราชาในเหตุอัศจรรย์ ที่ตายแล้วฟื้น พญาจักรขีนจึงเล่าให้ฟัง ทุกคนในที่นั้นเมื่อเห็นเพชรราช จึงได้ยกมือไหว้ท่วมหัว บางคนก็ถวายดอกไม้ธูปเทียน
เมื่อชาวเมืองจักรขีน กลับถึงบ้านแล้ว พวกเขาก็ยังกลัวตายเหมือนเดิม ไม่กล้าก่อไฟนึ่งข้าว พากันซ่อนอยู่ จนกระทั่งเสนาไปกราบทูลให้ทราบ พญาจักรขีน จึงให้ตีฆ้องร้องป่าวออกไปว่าไม่ต้องกลัว จะให้เพชรราชจัดการ ให้หุงหาอาหารก่อไฟกันได้
เหยี่ยวยักษ์ผัวเมีย พวกมันอาศัยอยู่ที่ภูเขา พอมองเห็นควันไฟในเมืองก็คิดว่า โชคดีจะได้กินคนแล้ว มันจึงพากันบินไปสู่เมืองจักรขีน ผู้คนมองเห็นก็พากันแตกตื่นหลบหนี เพชรราช ที่ได้ยินว่าเหยี่ยวยักษ์มา ก็รีบทะยานออกไปขวางไว้
ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเพชรราช ไม่นานเหยี่ยวยักษ์ก็พ่ายแพ้ และขอให้ฆ่าพวกมัน เพื่อหลุดพ้นออกจากบาปเวรที่เคยก่อ รวมถึงความอดอยากหิวโหย ที่กินไม่พอจนแสบท้อง เพชรราชไม่อยากฆ่า แต่เหยี่ยวยักษ์ก็ขอร้องเพราะทรมานมากมานานแล้ว พร้อมทั้งถวายลูกแก้ววิเศษบนหัวให้ เพชรราชจึงจำเป็นต้องเมตตา ชี้ นิ้วให้เหยี่ยวยักษ์ตายสมความปรารถนา เมื่อเหยี่ยวยักษ์ตายลง ร่างก็ได้กลายเป็นภูผา
เพชรราชกลับมาถึงเมือง เสนาทั้งเมืองพากันออกมาต้อนรับ ตายายกษัตริย์เมืองจักรขีนจึงกล่าวว่า บัดนี้ เราจะอภิเษกหลานขึ้นเป็นพญาแทน แล้วก็ตีฆ้องร้องป่าวประกาศไปทั่วเมือง ฝูงหมู่อำมาตย์และชาวเมือง ต่างพากันชื่นชมยินดี สาธุการ น้อมรับเพชรราชขึ้นสืบเมือง
พราหมณ์จัดพิธีราชาภิเษก และเข้าถวายพระพร มหรสพสมโภชน์ถูกจัดขึ้น เป็นเวลาสามวันสามคืน มีทั้งเพลงพาทย์ ฆ้อง ระบำเสียงปี่ซอ และอาหารมากมาย
กล่าวถึงนางปทุมเกสร ที่ยังคิดถึงผัวอยู่ทุกค่ำคืน ได้ให้กำเนิดโอรสผู้มีผิวพรรณเหมือนพ่อ เมื่อแรกเกิด ก็กำเอาธนูลูกศรออกมาด้วย นางรักลูกมาก จึงเพียรเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ตั้งแต่ออกจากครรภ์มา ก็ไม่มีเจ็บป่วยไข้ใดๆ มากล้ำกลาย เด็กน้อยเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะมีเทวดาช่วยค้ำชู
นางปทุมเกสร พาโอรสเข้าไปไหว้พระฤษี พระฤษีให้ชื่อว่า “สุวรรณเกสร” ตามชื่อของแม่ สุวรรณเกสรเรียนกับพระฤษี จนสามารถเหาะเหินเดินอากาศ มีฤทธิ์เดชใช้ธนูยิงภูเขาทะลายลงได้ เมื่อโตขึ้น พอรู้ความจึงถามถึงพ่อ นางปทุมเกสรน้ำตาไหล เล่าเรื่องราวให้ลูกฟัง สุวรรณเกสรได้ยินดังนั้น ก็จำเรื่องราวไว้ไม่เคยลืม
ชีวิตประจำวันของสุวรรณเกสร ชอบไปเที่ยวป่าเที่ยวเล่นกับสัตว์ เมื่อพระฤษีรู้จึงสั่งห้าม ไม่ให้ไปทางทิศตะวันออก เพราะเมื่อพ้นเขตภูเขาไปแล้ว จะมีพวกธรรพ์ พวกเทพ พวกยักษ์โหดร้าย ที่จับคนกินเป็นอาหาร สุวรรณเกสรได้รับคำเป็นอย่างดี
กล่าวถึงนางอุษามาลา ผู้อยู่ในเมืองยักษ์ ก็ประสูติโอรสเช่นกัน โอรสน้อยถือดาบด้ามแก้ว ธนู และศรออกมาด้วย นางให้ชื่อว่า อุษาราช ตามนามของนาง อุษาราชพอโตมาก็ถามถึงพ่อ นางอุษามาลาเล่าว่าเป็นชาวเมืองปัญจา ชื่อ เพชรราช มีฤทธีเก่งกล้ากว่าผีทั้งหลาย แต่มาวันหนึ่ง ก็เสด็จไปตามเมียคนแรกที่พลัดพราก จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้กลับมา อุษาราชได้ยินดังนั้น ก็จดจำชื่อบิดาไว้ไม่ลืม
อุษาราช ออกไปเที่ยวเล่นในป่า แม้ว่ามารดาทัดทาน ขณะที่ฝ่ายสุวรรณเกสร ก็ออกไปป่าเช่นกัน แต่หนนี้ เขาจะไปทางทิศตะวันออก ที่พระฤษีห้ามไว้ เพราะอยากลองกำลังจากสิ่งที่เรียนมา
ระหว่างที่เหาะ สุวรรณเกษร ได้ข้ามหัวของอุษาราชไป ทำให้อุษาราชไม่พอใจ จึงตะโกนต่อว่า สุวรรณเกษรที่ได้ฟังก็โกรธ สุดท้ายทั้งสองฝ่ายจึงสู้กันไปจนพลบค่ำ ไม่มีใครแพ้ใครชนะ เมื่อเห็นดังนี้จึงตกลงกันว่าจะเลิกกันไปก่อน วันหน้าจะมาสู้กันใหม่ พอกลับถึงที่พัก แต่ละคนก็เล่าว่า วันนี้ตนได้สู้กับคนที่ฝีมือเสมอกันสนุกมาก มารดาแต่ละคนได้ฟังดังนั้น จึงถามหาแนวเชื้อ ซึ่งก็ไม่ได้มีใครทันได้ถามกัน
ทั้งสองกุมารได้มาพบกันอีกครั้ง คราวนี้ได้ต่อสู้กันอีกเช่นเคย จนเข้าเที่ยงวันก็หมดแรง อุษาราชจึงได้ถามหาแนวเชื้อจากสุวรรณเกสร ซึ่งในที่สุดทั้งสองก็รู้ว่ามีบิดาคนเดียวกัน จากนั้นจึงพากันไปบอกให้มารดารู้
อุษาราชและสุวรรณเกสร มาถึงปราสาทนางปทุมเกสร พอนางปทุมเกสรมองเห็น จึงได้เอ่ยปากถามบุตรชาย ทำให้ทราบว่าเป็นลูกพ่อเดียวกัน อุษาราชบอกว่า เพชรราชกำลังตามหานาง นางก็น้ำตาไหล แล้วจึงโอบเอาอุษาราชขึ้นมาจูบ พลางกล่าวว่า ไม่รู้ตอนนี้ พ่อเจ้าไปอยู่เมืองใด ขอให้อยู่ดูแลกันและกัน กับสุวรรณเกสร ทั้งหมดสนทนาได้ซักพักก็มืด นางปทุมเกสรจึงให้อุษาราชพักอยู่ก่อน แล้วค่อยให้สุวรรณเกสรตามไปเยี่ยมมารดาของอุษาราช เพื่อแจ้งให้ทราบข่าว
กล่าวถึงเพชรราช ที่ยังอยู่กับตาและยาย ปกครองเมืองจักรขีน เมื่ออยู่ช่วยฟื้นฟูเมืองได้ซักพักหนึ่งแล้ว ก็อยากจะไปตามหานางปทุมเกสร จึงไปลาตาและยาย พร้อมมอบแก้วมงคลของเหยี่ยวยักษ์ ไว้รักษาเมือง
ระหว่างทางไปอาศรมพระฤษี เพื่อให้พระฤษี ช่วยใช้ญาณหานางปทุมเกสร เพชรราชได้พบกับอุษาราชและสุวรรณเกสร กำลังเอาสัตว์ต่างพันธุ์มาผสมพันธุ์เล่นกัน เพชรราชเห็นดังนั้นก็เข้าไปต่อว่า ไม่รู้ธรรมเนียมไม่รู้ฮีตใจบาป ไม่กลัวฟ้าผ่าลงหัวอย่างนั้นหรือ
เมื่อสองหน่อได้ยินดังนั้น จึงโกรธมากจนตัวสั่น คว้าเอาธนู แล้วก็ไล่เอาดาบฟัน หาว่ามาข่มเด็กน้อย เพชรราชทะยานตัวเองขึ้นสูงเท่ายอดต้นตาลแล้วนั่งอย่างสบาย ทั้งสองคนแม้พยายามจะฟันเพชรราชแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย ซ้ำธนูที่ยิงไป ก็กลายเป็นดอกไม้ ถวายเพชรราชไปเสียทั้งหมด
เสียงยิงธนูต่อสู้ของสองกุมาร ดังไปไกลจนถึงนางปทุมเกสร พอนางได้ยินก็รู้ว่า เป็นฝีมือของลูกตนจึงรีบออกไปดู พอไปเห็นคนที่ลูกกำลังต่อสู้อยู่ นางก็ร้องบอกให้หยุด แล้วร้องไห้ และบอกกับกุมารทั้งสองว่าเพชรราชคือพ่อ ทั้งสองจึงหยุดแล้วเข้าไปกราบ
รุ่งเช้า นางปทุมเกสรจัดดอกไม้ธูปเทียนแต่งขันธุ์ พาทุกคนไปไหว้พระฤษี พระฤษีได้อวยชัยให้พร บัดนี้หมดบาปหมดเวร ให้อยู่ดีมีสุข ทั้งหมดก็ยกมือไหว้ขึ้นเหนือหัว รับพรพระฤษี
อยู่มาได้ 7 วัน เพชรราช ด้วยความคิดถึงพ่อแม่ที่เมืองปัญจา จึงพาลูกเมียหาธูปเทียน ไปถวายลาพระฤษี พระฤษีได้เอาน้ำเต้าแก้วสรงให้ทุกคน ให้อายุมั่นขวัญยืน หมดสิ้นกรรมเวรแต่ชาติก่อน ทั้งหมดไหว้พระฤษี แล้วเหาะไปเมืองยักษ์ เพื่อไปหานางอุษามาลา
เพชรราช ให้บุตรทั้งสองคนเหาะนำไปก่อน เพื่อแจ้งข่าวนางอุษามาลา พอนางได้ยินดังนั้นก็ตกใจ เอามือลูบอกร้องไห้ ฝูงหมู่เสนาได้ยิน ก็ตีฆ้องประกาศไปทั่วเมืองว่า เพชรราชกำลังจะกลับมาแล้ว ชาวเมืองดีใจหลั่งไหลไปรอต้อนรับเพชรราช
เพชรราชและนางปทุมเกสร เข้ามาถึงเมือง นางอุษามาลา ได้เห็นผัวของตนเองก็ร้องไห้ ก้มกอดเท้าและเอายกขึ้นใส่หัว เพชรราชก็ก้มจูบนางอุษามาลา แล้วนางอุษามาลาก็กราบนางปทุมเกสร เหล่าเสนาแจ้งว่า บ้านเมืองอยู่สุขสบาย เป็นเพราะบารมีของกษัตริย์ และเชิญพระองค์นั่งประทับบนบัลลังก์
เพชรราช อยู่ครองเมืองมานานหลายปี คิดอยากจะกลับไปยังเมืองปัญจา จึงแต่งตั้งให้อุษาราชครองเมืองแทนโดย ให้เสนาช่วยสอนการปกครองบ้านเมือง ภายหลังจากอุษาราชครองเมืองแล้ว ก็ได้ติดตามบิดาและมารดาไปยังเมืองปัญจาด้วย
นางอุษามาลา ร่ำลาแม่นมทั้งหลายเพื่อเดินทางไกล แม่นมก็อวยชัยให้พร ให้จำคำที่แม่นมได้สอน และให้ถือคำผู้เฒ่าโบราณ พอถึงเวลาดีเสนาก็ตีฆ้องร้องป่าว ชาวเมืองก็แห่มาส่งเพชรราช และมเหสีทั้งสององค์ รวมถึงกุมาร ขึ้นเกวียนแก้วยนตร์เหาะไปบนอากาศ
กล่าวถึงบรรดาพี่ชายทั้งสามของเพชรราช แต่ละคนก็ได้มีบุตรชายเช่นกัน และต่างก็มีอาวุธวิเศษคือดาบและธนู ติดตัวมาตอนเกิด ทั้งสามเมืองของพี่ชาย ยังไปมาหาสู่ค้าขายกันทางเรือ จนมาวันนี้รู้สึกคิดถึงน้องชายสุดท้อง ที่จากกันไปนาน จึงให้อำมาตย์แต่งสำเภา เดินทางไปเมืองปัญจา พร้อมทั้งเหล่ามเหสี ส่วนลูกหลาน ต่างขอเดินทางด้วยการเหาะไปด้วยกัน
กุมารทั้งสาม ลูกของพี่ชายเพชรราช เหาะมาถึงกลางป่าแห่งหนึ่ง ได้พบกับอุษาราชกับสุวรรณเกสรที่เหาะข้ามหัวไป จึงไม่พอใจอย่างมาก ทำให้ทั้งหมดสู้กัน โดยต่างก็ไม่รู้ว่าเป็นญาติกัน เมื่อเพชรราชมาถึงจึงสั่งให้หยุด และได้ถามไถ่กุมารทั้งสามว่าเป็นใคร ทั้งสามจึงเล่าให้ฟัง ทำให้เพชรราชรู้ว่าเป็นหลาน จึงบอกว่าตนนั้นเป็นอา ส่วนเด็กสองคนนี้ก็คือลูก กุมารทั้งสามเมื่อได้ฟังดังนั้น จึงยกมือไหว้เพชรราช
เพชรราช ให้ลูกหลานทั้ง 5 องค์ เหาะไปแจ้งพญาจุลนีกับนางคำกลองว่า กำลังจะมาถึง เด็กทั้งห้าเหาะมาจนถึงเมืองปัญจา เมื่อสอบถามกับชาวบ้าน ก็แน่ใจแล้วว่า ใช่เมืองปัญจาจริง จึงได้พากันไปกราบพญาจุลนี พญาจุลนีและนางคำกลองดีใจมากที่ได้พบหลาน และรู้ว่าลูกของตนกำลังพากันมา
ชาวบ้าน พอทราบข่าวว่า ขบวนเสด็จของเพชรราชและพระมเหสี กำลังจะกลับเข้าเมือง จึงได้พากันอุ้มลูกจูงหลานออกมารอต้อนรับ พวกเขาพากันแหงนหน้ามองฟ้า ในที่สุด ก็มองเห็นยนต์แก้วสีทองดุจดั่งของพระอินทร์ ส่วนพวกยักษ์ที่ติดตามขบวนมา ก็ได้สร้างวังที่มีกำแพงแข็งแรง รองรับขบวนเสด็จที่นอกเมือง
ในขณะเดียวกันพี่ชายทั้งสามของเพชรราช ก็ล่องเรือสำเภาทองมาถึง และเข้าไปพบกับเพชรราชที่ในวังชั่วคราว ส่วนกุมารทั้ง 5 องค์ ก็ได้เหาะกลับมายังวังชั่วคราวของเพชรราช เช่นกัน เมื่อทุกคนมาพร้อมหน้าแล้ว ต่างก็พากันไตร่ถามสารทุกข์สุขดิบ
ในวันถัดมา ทั้งหมด จึงได้เข้าเฝ้าพญาจุลนีและนางคำกลองร่วมกัน เพชรราชได้เล่าเรื่องเมืองจักรขีน ที่ตนนั้นได้ชุบชีวิตตาและยาย รวมถึงราษฎรและสัตว์เลี้ยง ทำนุบำรุงบ้านเมืองให้กลับคืนมา นางคำกลองได้ยินดังนั้นก็ดีใจจนน้ำตาไหล เพชรราชสัญญาว่า จะกลับไปในปีหน้า และจะพานางคำกลองไปด้วย ในค่ำคืนนั้น ผู้คนต่างก็พากันฉลองการกลับมาพบหน้ากัน ของเหล่ากษัตริย์ และยาวออกไปถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน
พญาจุลนีต้องการให้เพชรราชครองเมืองแทน แต่เพชรราช ขอให้พระองค์อยู่เสวยราชย์ต่อ เพราะเมืองจักรขีนนั้นตาและยายแก่แล้ว ไม่มีใครสืบเมือง เพชรราชจะขอกลับไปสร้างเมืองจักรขีนต่อ และหากวันข้างหน้า พญาจุลนีเริ่มชราแล้ว อยากขอให้สุวรรณเกสรเป็นผู้สืบแทน ซึ่งพญาจุลนีก็เห็นด้วย
เพชรราช ขอให้พญาจุลนี ออกทุนสร้างถนนไปยังเมืองจักรขีน โดยให้มีคนตั้งขายของทุกที่ เพื่อคนเดินทางไปมาหาสู่กันได้ง่าย โดยจะให้ยักษ์ไปทำทาง พร้อมกันนั้น ได้ส่งคนไปแจ้งเมืองจักรขีน เพื่อไม่ให้ผู้คนตื่นกลัวฝูงยักษ์
เมื่อทางเสร็จ เพชรราช จึงเชิญบิดามารดา และพี่น้องทั้งหมดไปยังเมืองจักรขีน เพื่อไปไหว้ตาและยาย ขบวนได้ถูกตกแต่งอย่างสวยงาม มีทั้งเสียงขับลำ แคน ปี่ สังข์ ขลุ่ย ซอ คนมากมายที่เดินทางไปด้วยก็พากันละเล่นตลอดทาง
กล่าวถึงพญาจักรขีน ก็ได้นำชาวเมือง ทั้งช้างและม้า เดินไปในป่า เดินชมนกชมไม้ไปเรื่อย และในที่สุดก็ไปพบกับขบวนที่มาจากเมืองปัญจา ทำให้เพชรราชพบกับตาและยาย จึงให้ยักษ์สร้างที่พักกลางป่า ลูกหลานกษัตริย์ทั้งหมด ก็ได้พบหน้ากัน นางคำกลองพอเห็นพ่อกับแม่ ก็รีบเข้าไปก้มกราบเท้าพ่อแม่ร้องไห้ ต่างคนก็ต่างเล่าเรื่องของตนสู่กันฟัง
ต่อมา เมื่อถึงเวลาอุษาราชจะเดินทางกลับ ไปครองเมืองเขาขงเมืองยักษ์ เขาได้ไปลาตาและยาย พ่อกับแม่ ทุกคนก็อวยชัยให้พร อุษาราช จึงออกทะยานสู่เวหา พร้อมเสนามารยักษ์เมืองเขาขง อุษาราชเมื่อได้ครองเมือง ก็เป็นกษัตริย์ที่ทำให้ชาวเขาขง อยู่อย่างผาสุข
พญาจุลนี จะกลับไปเมืองปัญจา จึงอวยชัยให้พรเพชรราช ให้ครองเมืองยืนยง ขณะที่นางคำกลองก็ลาพญาจักรขีน กับนางจันทาแม่ของตน กลับเมือง กษัตริย์ทั้งหมดต่างก็ร่ำลากัน
เมื่อทุกคนกลับถึงเมืองปัญจา บรรดาพี่ๆ ของเพชรราช ก็ได้ลาพญาจุลนีและนางคำกลอง กลับสู่บ้านเมืองของตนทางเรือสำเภา
หลายวันหลายปีผ่านไป พญาจุลนีเริ่มแก่ชรา จึงให้หลานสุวรรณเกสร ขึ้นครองราชย์เมืองปัญจาแทน อันว่าเหล่ากษัตริย์ ก็พากันเทียวไปมาหาสู่กัน ทั้งทำการค้าร่วมกัน ไพร่ฟ้าก็อยู่เป็นสุข เพชรราชก็เสวยราชย์ที่เมืองจักรขีน มีศีลธรรมครองเมืองทำให้เจริญรุ่งเรือง จนเมื่อคราวกลับสู่สวรรค์ เพชรราช ก็ทรงเสวยวิมานอยู่ที่ชั้นดาวดึงส์
อ้างอิงจาก: https://youtu.be/ct821BUbSVY?si=mxZqA9eo-jtzB--E
https://www.isaninsight.com/jampaseeton/